พระมหาธีระชัย ปุญญชีโว เลขานุการสำนักศาสนาศึกษา วัดบวรมงคลราชวรวิหาร กรุงเทพฯ ปรารภธรรมว่าด้วยเรื่องที่เนื่องกับวันมาฆบูชา ในกิจกรรม ธรรมะในสวน ตักบาตรเดือนเกิด เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ณ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ
#มาฆบูชา #โอวาทปาติโมกข์ #ชฏิลสามพี่น้อง #พระสารีบุตร #พระโมคคัลลานะ #ธรรมะบำบัด
ท่านปรารภธรรมเรื่องที่เนื่องกับวันมาฆบูชา ว่า
-
วันมาฆบูชาเป็นวันที่พระพุทธองค์แสดงธรรม ชื่อ “โอวาทปาติโมกข์” เป็นวันที่มีพระสงฆ์ “๑,๒๕๐ รูป” มาประชุมพร้อมกัน
-
พระสงฆ์ ๑,๒๕๐ รูปที่มาประชุมกัน ๑,๐๐๐ รูปมาจากบริวารสามพี่น้อง (อุรุเวละกัสสปะ นทีกัสสปะ คยากัสสปะ)
-
หลังจากตรัสรู้ พระพุทธองค์เสด็จจากพุทธคยาไปพาราณสีเพื่อโปรดปัญจวัคคีย์
-
จากนั้นจึงเสด็จกลับมาเพื่อโปรดชฎิลสามพี่น้อง ซึ่งอาศัยอยู่ที่ตำบลอุรุเวละเสนานิคม (ใกล้พุทธคยา)
-
เหตุที่ไม่แสดงแก่ชฏิลสามพี่น้องตั้งแต่แรกตรัสรู้ เพราะว่าตอนนั้นชฎิลสามพี่น้องยังมีบารมีไม่สุก, บารมียังไม่ถึง
-
พระพุทธองค์เสด็จมาถึงไม่ได้แสดงธรรมทันที แต่ใช้เวลา ๓ เดือน จึงได้แสดงธรรมแรก
-
แรกเสด็จมาถึง พระพุทธองค์ขอที่พักจากชฎิลสามพี่น้อง สามพี่น้องบอกไม่มี
-
พระพุทธองค์จึงขอพักที่โรงบูชาไฟซึ่งมีงูใหญ่อาศัยอยู่ สามพี่น้องอนุญาต
-
ที่โรงบูชาไฟพระพุทธองค์อยู่กับงูใหญ่(พญานาค) งูใหญ่แผลงฤทธิ์ต่างๆนานา พระพุทธองค์เฉยจนงูใหญ่หมดฤทธิ์ พระพุทธองค์จึงจับงูใหญ่ไปให้ชฎิลสามพี่น้อง จากนั้นจึงขอย้ายไปพักในป่า ชฏิลผู้พี่-อุรุเวลกัสสปะอนุญาต
-
อุรุเวลกัสสปะไปดูวัตรปฏิบัติพระพุทธองค์ เห็นปรากฏการณ์พิเศษ เช่น แผ่นหินซักจีวร กิ่งไม้โน้มลงมาตากจีวร, บางคืนเห็นแสงสว่างสวยงาม
-
อุรุเวลกัสสปะสงสัยก็เลยถาม พระพุทธองค์ทรงตอบว่าแสงเหล่านั้นคือลูกศิษย์ ได้แก่ ท้าวมหาราชทั้งสี่ พระอินทร์ พระพรหม, ครั้นน้ำท่วมก็ไม่ท่วมที่ที่พระพุทธองค์ทรงอยู่ เป็นต้น
-
อุรุเวลกัสสปะสงสัยว่าตนอยู่ที่นี่นานแล้วทำไมไม่มีแบบนั้น
-
อุรุเวลกัสสปะคิดในใจว่า สมณะผู้นี้แม้จะมีฤทธิ์ แต่สมณะนี้ก็ไม่ใช่อรหันต์เหมือนเรา พระพุทธองค์ตรัสว่า “อุรุเวลกัสสปะเธอหลอกตัวเองยังไม่พอ ยังหลอกตถาคตเจ้าว่าเป็นพระอรหันต์ แม้แต่ธรรมที่จะนำไปสู่พระอรหันต์ก็ยังไม่มี ...”
-
อุรุเวลกัสสปะละอายใจ ลดทิฐิได้ ขอบวช พระพุทธองค์ให้ไปลาบริวาร บริวารทราบจึงขอบวชด้วย, น้องอีกสองคน (นทีกัสสปะ คยากัสสปะ) ก็บวชด้วย
-
ธรรมแรกที่แสดงคือ “อทิตตปริยายสูตร” สูตรว่าด้วยของร้อน ของร้อนคือ 'โลภะ โทษะ โมหะ' (โทสะคือไฟล้างโลก โลกคือตัวเรา,โมหะคือคนที่แม้คนอื่นใช้เหตุผลมาเตือนก็ไม่ฟัง ฟังแต่ตนเอง)
-
แสดงอทิตตปริยายสูตรเสร็จ ชฎิลสามพี่น้องและบริวารอีก ๑,๐๐๐ รูปก็บรรลุอรหันต์
-
คราวหนึ่ง พระพุทธองค์พักที่ลัฏฐิวัน (สวนตาลหนุ่ม) ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงราชคฤห์ ๓๐ กม
-
ขณะพระเจ้าพิมพิสารกำลังประชุมผู้บริหาร ก็มีม้าเร็วมารายงานว่ามี เกิดเหตุพระมาชุมนุมกันที่อุทยานลัฏฐิวันจำนวนมาก
-
พระเจ้าพิมพิสารเสด็จไป เห็นอาจารย์ใหญ์ (อุรุเวลกัสสปะ) โกนผมก็สงสัย เลยถาม
-
อุรุเวลกัสสปะจึงตอบในที่ประชุมว่า บัดนี้เขาเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมที่เขาปฏิบัติมาตลอดไม่มีแก่นสารเลย วันนี้พบทางพ้นทุกข์แล้ว พระเจ้าพิมพิสารจึงเก็ต
-
จากนั้นพระพุทธองค์ก็แสดงธรรมเรื่อง “อนุปุพพิกถา” กล่าวเรื่อง ทาน ศีล สวรรค์ กามทีน (โทษของความอยาก) เนกขัมมะ (บวชใจ)
-
ฟังจบ พระเจ้าพิมพิสารและบริวาร ๑ แสนคนบรรลุโสดาบัน, อีก ๑ หมื่น ยังไม่บรรลุ แต่ถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
-
ภิกษุสงฆ์อีก ๒๕๐ รูป มาจากกรุงราชคฤห์
-
อุปติสสะ(พระสารีบุตร) และ โกลิตะ(พระโมกคัลลานะ) เป็นเพื่อนกัน วันหนึ่งทั้งคู่ไปดูการแสดงแล้วเกิดเบื่อหน่าย จึงคิดแสวงหาโมกขธรรม (โมกขธรรมคือเครื่องช่วยให้หลุดพ้นจากสิ่งครองงำจิตใจ)
-
วันหนึ่งอุปติสสะเห็นพระบิณฑบาต เกิดศรัทธา จึงตามพระรูปนั้นไป แล้วถามข้อสงสัย ภิกษุตอบว่า บวชในสำนักพระพุทธองค์ พระพุทธองค์สอนเรื่อง ‘เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป’ ฟังจบอุปติสสะก็บรรลุโสดาบัน แล้วก็ไปบอกโกลิตะ โกลิตะฟังจบก็บรรลุโสดาบันด้วย จากนั้นทั้งคู่ก็ชวนกันบวชกับพระพุทธองค์
-
ขณะประทับที่เวฬุวัน เมื่อพระพุทธองค์เห็นสองคนนี้มา พระพุทธองค์ก็ตรัสว่าคู่แห่งสาวกของเรามาแล้ว
-
หลังบวชได้ ๗ วันโกลิตะก็บรรลุอรหันต์, หลังบวชได้ ๑๕ วันอุปติสสะก็บรรลุอรหันต์
-
อุปติสะ คือ พระสารีบุตร, โกลิตะ คือ พระโมกขลานะ ทั้งคู่มีบริวาร ๕๐๐ (คนละ ๒๕๐) ตามมาบวช ๒๕๐ คน อีก ๒๕๐ กลับไปหาอาจารย์เดิมคือสญชัยปริพาชก)
-
พระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นก็อยู่แถวนั้น ไม่ได้ไกล
-
พอถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนมาฆะ พระภิกษุสงฆ์ก็มาประชุมกัน
-
พระพุทธองค์ก็แสดง “โอวาทปาฏิโมกข์” ใจความว่า ‘การไม่ทำบาปทั้งปวง, การทำกุศลให้ถึงพร้อม, การทำจิตให้ผ่องใส’
-
วิธีทำจิตให้ผ่องใส ก็คือ ๑.ให้ทาน ๒.รักษาศีล ๓.ปฏิบัติภาวนา
-
ความตอนหนึ่งในโอวาทปาฏิโมกข์ กล่าวว่า ‘อะนูปะวาโท, อะนูปะฆาโต’ -คนทุกคนไม่ควรกล่าวร้าย ว่าร้ายกัน, ไม่ทำร้ายกัน, ‘ปาติโมกเข จะ สังวะโร’ - สังคมมีกฎระเบียบ เราควรสังวรระวัง ไม่แหกกฎ, ‘มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง’ -บริโภคพอดี รับประทานพอดีเป็นยา รับประทานมากไปเป็นโรค, ‘ปันตัญจะ สะยะนาสะนัง’ -การนอนการนั่งในที่อันสงัด, ‘อะธิจิตเต จะ อาโยโค’ -การทำจิตให้สงบ การสงบกายเป็นความสงบระดับหนึ่ง สงบจิตก็อีกระดับหนึ่ง
-
อานุภาพของพระรัตนตรัย บรรเทาทุกข์ได้
-
ครั้งหนึ่ง เกิดอหิวาตกโรคระบาดที่เมืองไพศาลี หมอรักษาไม่ได้ ยารักษาไม่ได้ ล้มตายกันจำนวนมาก ผู้ปกครองพยายามแก้ไขก็ไม่สำเร็จ นึกถึงพระพุทธองค์ จึงส่งทูตไปนิมนต์
-
พระพุทธองค์ประทับอยู่กรุงราชคฤห์ก็เสด็จมา
-
ขณะนั้นเมืองไพศาลีเกิดภัย ๓ อย่าง ๑.ทุพภิกขภัย-ฝนไม่ตก แห้งแล้ง ประชาชนขาดอาหาร ๒.อมนุษยภัย-สิ่งที่มองไม่เห็นมาเบียดเบียน เมื่อมนุษย์ร่างกายไม่แข็งแรง ก็ทำให้เจ็บป่วยง่ายขึ้น ๓.โรคภัย
-
ก่อนพระพุทธองค์เสด็จ เกิดฝนตกหนักก็ชะล้างสิ่งสกปรกไป
-
เสด็จถึงพระพุทธองค์ทรงให้พระอานนท์เวียนรัตนสูตร (คือสูตรว่าด้วยขอให้เมตตาต่อมนุษย์ เมตตาต่อกัน) แล้วให้ไปประพรม เวลาผ่านไปก็เกิดอัศจรรย์โรคที่ติดต่อก็หายไป
-
การเวียนรัตนสูตรก็เลยกลายเป็นที่มาของการประพรมน้ำมนต์ในปัจจุบัน
-
ธรรมะสามารถบรรเทาทุกข์ได้ ทั้งทุกข์กาย และทุกข์ใจ คือเมื่อใจมีพลัง ทุกข์กายก็หายได้ เรียกว่า ธรรมะบำบัด
-
สิ่งต่างๆ ไม่ว่าฝุ่น หรืออะไรๆ ก็จะเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย ทุกอย่างเป็นอนัตตา
-
วันสมควรแก่เวลา ขอให้ญาติโยมมีความสุข เจริญในธรรม
-
เอวัง ด้วยประการฉะนี้
รายชื่อเจ้าภาพเดือนกุมภาพันธ์
ด.ญ.พิมพ์ชยา ดวงพัตรารัตน์
คุณ ปทุมทิพย์ ว่องพยาบาล
คุณ ภูวเดช มหาดำรงค์กุล เยาวมาลย์ ศุภผล
คุณ พิมพ์วราห์ พิมพ์สุวรรณ
คุณ ยงยุทธ เงินวิวัฒน์กุล
คุณ พรทิพย์ ลาภดำรงกิจ
คุณ จิรภาส ทองปิยะ
คุณ พยนต์-วิมล ถาวรวงศ์
คุณ กุลภา ตันติวรสิทธิ์
คุณ ชุติมา ศรวงศ์มงคล
คุณ ธันยพรรษ เกตุคง
คุณ กาญจนา พรชัยพานิช
คุณ ปณิสรา ร่วมสุข
คุณ คุณพ่อประสิทธิ์ สิทธิศักดิ์
คุณ บุณยวัฒน์ เหลืองสุวรรณ
คุณ พรรณี เสาวโรจน์
คุณ วิชญ์ ทับเที่ยง
คุณ piyarat chaiyatham
คุณ สมฤดี ศรีบุตรโรจน์
คุณ บุณยวัฒน์ เหลืองสุวรรณ
คุณ ชมพูนุช เล็กพูนเกิด
คุณ สิริวัฒน์ พงศ์พัฒนานุกุล
ด.ช.วินทร์ หงษ์โภคาพันธ์
คุณ สุชน วิทยารัฐ
คุณ กรองกร ทองเจริญพงษ์
คุณ วรเทพ วงศ์สถาปัตย์