แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๑๘ ความงามของมนุษย์ ก็คือ ศีล อันเป็นศิลปะในชีวิต ที่จะนำเราออกจากวัฏฏะสงสาร เป็นฐานไปสู่สมาธิและปัญญา
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนา วันอังคารที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๕
พระศาสนา คือมรรคผล คือพระนิพพาน คืออริยมรรคมีองค์ ๘ คือรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงการดับทุกข์ ตามธรรม เรียกว่า พระศาสนา ความเป็นพระนี้ไม่ใช่เรื่องทางกาย ไม่ใช่เรื่องทางใจ ผู้ที่บวชมาในพระพุทธศาสนา ไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณ์ตัวเอง ไม่ทำตามความรู้สึก สามารถพัฒนาการประพฤติการปฏิบัติของตัวเอง เข้าถึงความเป็นพระได้ตั้งเเต่พระโสดาบัน จนถึงพระอรหันต์ สำหรับประชาชน มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง เข้าถึงความเป็นพระ ตั้งเเต่พระโสดาบันจนถึงพระอนาคามี เมื่อวานได้พูดถึง เรื่องจิตเรื่องใจ เพื่อให้เข้าใจ
ทุกท่านทุกคนต้องพากันสมาทาน ตั้งใจ ปฏิบัติเสียสละซึ่งทิฏฐิมานะ อัตตาตัวตน เราจะได้เข้าถึงคำว่าพระ คือพระศาสนา ชีวิตของเราถึงจะมีความสุข เป็นชีวิตเข้าสู่กระบวนการเเห่งมรรคผลนิพพาน เราทุกคนไม่อาจจะทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ได้ พระพุทธเจ้าให้เราทำอย่างนี้ โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอริยเจ้า จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ ถ้าเราปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านเมตตาสั่งสอนอยู่เเล้ว ธรรมวินัย อริยมรรคมีองค์ ๘ คือตัวเเทนของพระพุทธเจ้า ให้ทุกท่านเข้าใจ รายละเอียด ระบบความคิด ว่าอันไหนไม่ดีไม่ถูกต้อง ว่าอันไหนจะทำให้เราเห็นเเก่ตัว เราอย่าไปคิด ถ้ามันอยากขึ้นอีก มันจะไปพูด มันจะไปกระทำ ต้องเริ่มต้นจากความคิด เราทุกคนที่ได้มาบวชยังไม่ใช่พระนะ เป็นเพียงภิกษุ เราอย่าไปหลง เหมือนข้าราชการ เค้าเเต่งตั้งให้เป็นข้าราชการ ที่เราไปเรียนหนังสือ เราไปสอบมา ถ้าเราไม่มีเจตนาตั้งใจมาเสียสละทำงานให้มีความสุข ตามที่เค้าเเต่งตั้ง เราก็ยังไม่ใช่ข้าราชการหรอก ผู้ที่มาบวชยังไม่เข้าใจอยู่ ยังคิดเเต่ว่าตัวเองเป็นพระ มันไปคิดเอาไม่ได้ มันต้องปฏิบัติ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ อย่าไปหลง หลงมันยิ่งกิเลสมากกว่ายังไม่บวชอีก เราอย่าไปเข้าใจว่าเราเป็นพระ สี่พรรษา ห้าพรรษา ไปหลงนั่งผิงหมอน อยู่นั้น เราอย่าไปหลงตัวเองว่าตัวเองเป็นข้าราชการ ใส่ชุดใส่สูทใส่อะไร เราไม่ได้เป็นข้าราชการนะ ถ้าเราไม่เสียสละ ถ้าเราไม่มีความสุขในการทำงาน อย่างนักการเมืองเราก็ไม่ได้เป็นนักการเมือง ถ้าเราไม่เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง มีความสุขในการทำงานมาเสียสละ มาบริหาร
ชีวิตของเราทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ความสุขความดับทุกข์มันย่อมเกิดกับเรา ในชีวิตประจำวันมันเรียกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะความสุขความดับทุกข์ทางวัตถุ มันไม่ใช่ทางดับทุกข์ที่เเท้จริง มันเปลี่ยนการบรรเทาทุกข์เฉยๆ ทรงไว้ให้ร่างกายมันอยู่ได้ เราจะได้ประพฤติปฏิบัติธรรม เราอย่าได้พากันมาหลงในร่างกายนี้ เพราะร่างกายนี้มันเป็นเพียงของชั่วคราว เพราะอันนี้ไม่ใช่เรา มันเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ เป็นอากาศ ถึงเราจะทานอาหารทำอะไร มันก็เกิดเเก่ เจ็บ ตาย พลัดพราก เเต่งทำเฟอนิเจอร์อะไร มันก็เเค่นั้น พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ถึงไม่ใช่ความงาม มันเป็นอสุภะกรรมฐาน ความงามก็คือศีล คือ ศิลปะในชีวิต ที่จะนำเราออกจากวัฏฏะสงสาร ความงามในท่ามกลางคือสมาธิ คือเรามาตั้งมั่น ความงามในปัญญา คือเราพากันรู้จักตามความเป็นจริง เราพากันเสียสละ ให้มันเป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม อย่าพากันหลงไปตามอวิชชา เค้าเรียกเราอย่าพากันมาโง่ มาเเข่งบ้าน เเข่งรถ เเข่งยศ เเข่งตำเเหน่ง เค้าเรียกว่ามันไม่มีสาระอะไร เราต้องเข้าถึงความสุข ความดับทุกข์เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียง คนจนก็ให้มีความดับทุกข์ได้ ในชีวิตประจำวัน คนรวยก็ให้มันดับทุกข์ได้ในชีวิตประจำวัน
เราต้องกลับมาหาสติ หาสัมปชัญญะ มีความสุขอย่างนี้ เราทุกคนต้องกลับมาหาสติสัมปชัญญะคือรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออก ก็รู้ชัดเจน สัมมาทิฏฐิเราต้องมี สัมมาสมาธิเราต้องอยู่ในปัจจุบัน ปัจจุบันให้ใจเราอยู่ในระดับอุปจารสมาธิได้ในอิริยาบถทั้งสี่ คือใจสงบใจเย็นใจ ไม่ฟุ้งซ่าน คือใจมีศีล ใจมีสมาธิ มีปัญญาในปัจจุบัน ทุกท่านทุกคนต้องจัดการตัวเอง เราไม่ต้องไปตามอารมณ์ ตามความคิด ที่ต้องพลัดถิ่นทางบ้านเกิด ไปหาความดับทุกข์อะไรอย่างนี้ เราต้องพัฒนาใจของตัวเอง พัฒนาที่อยู่ที่อาศัย ที่หากิน ที่ไม่ทำบาปทั้งปวง เพราะเราต้องภาวนาสู่พระไตรลักษณ์ ให้เราเกิดสติ เกิดปัญญา เราจะได้เป็นตัวอย่างให้ลูก ให้หลาน ว่าความสุขความดับทุกข์ของมนุษย์มันอยู่อย่างนี้ ไม่ได้อยู่ที่กายหรอก มันอยู่ในชีวิตประจำวันนี้เเหละ เราจะได้เป็นพระคุณของพ่อของเเม่ ของพระอริยเจ้า ทุกอย่างก็จะมีเเต่คุณ
เราไม่ต้องหาพระที่ไหนหรอก ถ้าทุกคนประพฤติปฏิบัติ ใจของเราจะเเน่วเเน่อย่างนี้ เเน่นอน เราไม่ต้องไปถามหรอกว่าถูกหรือไม่ถูก เพราะถูกหรือผิด เราก็รู้อยู่ในใจอยู่เเล้ว เพราะปฏิบัติ พระพุทธเจ้าก็ไม่ให้เราอะไร ให้เรามีความสุขในการเสียสละ ถ้าเราจะเอาอะไร เเสดงว่ามันผิดเเล้ว มันเป็นระบบอัตตาตัวตน ระบบครอบครัว ระบบสักกายทิฏฐิ เราอย่าคิดว่าถ้าไม่เอา ไม่ใช่ว่างขาดสูญ อันนี้เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่เราจะเอา เราต้องเป็นมิจฉาทิฏฐิ เราอย่าไปสรุปเอา คิดเอา ว่าอะไรก็ว่าว่างหมด เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ มันว่างอย่างนั้น มันเรียกว่า ว่างจากศีล จากธรรม ว่างจากมรรคผลนิพพานนะ พวกเราที่เดินกันเป็นเเถว นอนก็เป็นเเถว ทำอะไร มันว่างจากศีล จากสมาธิ ปัญญา พากันว่างจากมรรคผลนิพพาน เราต้องรู้จัก ต้องลงรายละเอียดให้กับตัวเอง ว่าความสุขความดับทุกข์ มันจะมีกับเราทุกๆ คน อยู่ทุกครอบครัว อันนี้ๆ เรียกว่า ธรรมะอันนี้เค้าเรียกว่าศาสนา ศาสนาคริสต์ก็ต้องทำอย่างนี้เเหละ ศาสนาอิสลามก็ต้องทำอย่างนี้ ทุกศาสนาต้องเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ เพราะทุกคนเกิดมาเพื่อมาเสียสละ ทิฏฐิมานะ อัตตาตัวตน รู้จักว่าเราต้องทำอย่างนี้ๆ เราไปทำอย่างอื่นไม่ได้ มันไม่ถูก เราถึงต้องมีบ้าน มีที่อยู่อาศัยเป็นท้องถิ่น มีที่ทำมาหากินเป็นถิ่น เเล้วก็มีตัวเราเป็นผู้ปฏิบัติ เราจะได้รู้จักบ้าน บ้านภายนอกคือร่างกาย บ้านภายในคือจิตใจ เรียกว่า มีข้อวัตร ข้อปฏิบัติ ที่รู้ ที่เรียนเป็นที่เรียนเพื่อศึกษาทำมาหากิน วัดที่เราเห็นอยู่ในเมืองไทย ก็เป็นส่วนรวมของผู้เอามรรคผลนิพพาน ผู้ที่มาบวชต้องเข้าใจอย่างนี้ อย่าพากันเข้าใจผิด พามาปลงผมห่มผ้าเหลือง มีอุปัชฌาย์บวชให้นั้นยังไม่ใช่ เค้าให้เราเป็นภิกษุเฉยๆ เราต้องประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เราเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย พวกกามนี้เราต้องเสียสละ เราอย่ามากินมานอนมาพักผ่อน เราพากันรักษาศีลให้มันได้เต็มร้อย ตั้งมั่นในสมาธิให้มันเต็มร้อย เราเสียสละให้เต็มร้อย ไม่ว่าวัดบ้านวัดป่า มันก็สามารถที่พัฒนาใจเราทุกคนที่จะเป็นพระได้ เพราะไม่ได้อยู่ที่สถานที่ อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เเล้วเราฝึกอานาปานสติ มันก็จะสงบลง เพราะเราไม่ได้ตามอารมณ์ ตามอะไรไป
ผู้ที่เจริญอานาปานสติทุกๆ อิริยาบถ จิตใจมันสงบ หลวงปู่มั่นถึงสอนให้พระให้ประชาชนพากันท่องพุทโธๆ ในการกำกับลม เพื่อทุกคนจะได้สงบ ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ ไม่ได้ มันจะฟุ้งซ่าน เราที่เป็นพ่อเป็นเเม่ต้องตั้งใจ ต้องกราบพระไหว้พระสวดมนต์ คนไหนกินเหล้าต้องหยุด คนไหนสูบบุหรี่ก็พากันหยุด การที่จะหยุดอันนี้ได้ต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๓ อาทิตย์ เพราะความรู้ความเข้าใจเป็นมรรค เป็นอริยมรรค เราประพฤติปฏิบัติอริยมรรค ต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์ ผลมันจะออกมา เราถึงจะสงบเย็น เราถึงจะหยุดกินเหล้า ถึงจะหยุดสูบบุหรี่ พวกนี้มันต้องทำ เราต้องหยุดสูบบุหรี่ หยุดกินเหล้าเพื่อลูกมันจะได้เห็น ลูกเราไม่เคารพเรา เพราะเราไม่มีศีลอะไร เราเทียบเท่ากับสัตว์เดรัจฉานเอง ทำตามสัญชาตญาณเค้าเรียกว่าสัตว์เดรัจฉาน ยังกินเหล้าสูบบุหรี่ มีเเต่บริโภคกาม ใจของเรายังมีเซ็กซ์ ยังยินดีในลูกเค้าเมียเค้า ผู้หญิงยังยินดีในผัวเค้า ลูกเค้า อย่างนี้ ยังมีเซ็กซ์ทางจิตใจอยู่
คนเราต้องรู้จัก เพราะเราต้องเเก้ที่จิตที่ใจของเรา ความเป็นพระมันอยู่ที่ใจ เราต้องคิดก่อนพูด คิดก่อนใช้เงิน คิดก่อนอะไร เราต้องทำอย่างนี้ ต้องมีความสุขในการทำงาน จะเป็นคนขี้เกียจขี้คร้านไม่ได้ มันเห็นเเก่ตัว มันเป็นอบายมุข มันจะทำให้เราตกต่ำไปสู่อบายภูมิ ที่เราไม่อยากทำงาน เเสดงว่าเราเห็นเเก่ตัว เรามีสักกายทิฏฐิมาก ทุกคนเห็นเเก่ตัว อยากจะทำเเต่งานเบา อยากจะอยู่ในร่ม อยากจะหน้าขาวหน้าสวยอะไรอย่างนี้ มันเป็นสักกายทิฏฐิ เราต้องพากันเสียสละ เราต้องทำงานให้มีความสุขกัน เพราะวันหนึ่งคือหนึ่งมันมี ๒๔ ชม. เราตื่นอยู่มันตั้ง ๑๐ กว่าชั่วโมงเเล้ว เราต้องมีความสุขในการทำงาน การพูดดีๆ คิดก่อนพูด คิดก่อนทำ พวกนี้ก็คืองานทั้งใจ งานทั้งกาย เราต้องรู้จักว่าศาสนา เราต้องรู้จักว่าพระ เพราะทำอย่างนี้ เราเป็นประชาชน เราจะได้เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันไปเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ เป็นพระอรหันต์ต้องเสียสละหมด อย่างนี้ให้เข้าใจนะ อยู่ในบ้านเรา ต้องสมัครสมานสามัคคีกัน อย่าไปทะเลาะวิวาทกัน เพราะครอบครัวเรา บางคนก็เป็นโรคจิต โรคประสาทอะไรกัน ความเมตตามันต้องมี ถ้าคนเรายังทะเลาะกัน ไม่มีใครดีกว่ากันหรอก คนเราต้องใช้ความเมตตา ใช้ความฉลาด เพื่อจะให้กำลังใจซึ่งกันเเละกันในการท่องเที่ยวในวัฏฏะสงสาร ชีวิตของเรามันก็จะสงบ จะเย็น
พระบวชมาใหม่ๆ ก็ดีอยู่ บวชเป็นพระภิกษุนี้ บางทีมันตามใจตามอารมณ์ตัวเอง ยิ่งบวชหลายวัน กิเลสยิ่งเเก่กล้า อย่างนี้ เค้าไม่เอาความบวชมาเป็นตัววัด เค้าเอาปัจจุบัน ที่เรามันกิเลสมากขึ้น มันยังยินดีในความขี้เกียจขี้คร้าน ยินดีในการนอน การพักผ่อน เราทำไม่ถูก เราต้องเน้นที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเเสดงว่าปัญญาเราไม่เกิน เราถึงยินดีสบายๆ เเบบฟรีสไตล์ ชอบมีโทรศัพท์มือถือ ชอบเล่นไลน์ เล่นอะไรอย่างนี้ เรามันเริ่มเพี้ยนเเล้ว ให้ทุกคนเน้นที่ปัจจุบัน เริ่มฝึกตัวเอง เราอย่าคิดว่า เราเเก่เเล้วเราต้องพักผ่อน การพักผ่อนทางกายมันผ่อนได้ เเต่จิตใจต้องสมาทานหนักเเน่นขึ้น ยิ่งเเก่ ยิ่งเฒ่า ยิ่งเสียสละทางจิตใจ เพราะถ้าเราไม่เสียสละ ทางกายใจนี้ เราก็จะยิ่งเเก่ยิ่งทุกข์ เพราะขันธ์ห้ามันก็เริ่มเจ็บป่วยแล้ว ไหนเราจะทุกข์กับลูก กับหลาน ทุกข์กับอะไรๆ ที่เป็นประชาชน ถ้าเป็นพระ มีทุกข์กับเรื่องการรับผิดชอบอาคาร อาวาส พระภิกษุสามเณร
พระภิกษุสามเณรไหนเค้าจะมานับถือคนมีกิเลสมาก คนที่มีตัณหามาก เราอย่าไปกด ไปข่มไปเหง งานสิ่งภายนอก เราเป็นพระเเก่เเล้ว กำปั้นเราก็สู้เค้าไม่ได้หรอก ก็เตะเค้าไม่ได้หรอก เราจะสู้เค้าได้ต้องเสียสละ ไม่มีตัวไม่มีตน ก็ต้องเป็ผู้ที่เงียบ บุคคลผู้ที่เกิดมาเพื่อที่เสียสละ มีเเต่คิดดีๆ ทำดีๆ พูดดีๆ อย่างนี้ อย่าไปยิ่งเเก่ ยิ่งเพี้ยน หน้าสมเพศ สงสาร เราที่มันทั่วประเทศไทย เค้าเรียกว่า มันไม่ใช่ระดับพื้นทางของที่จะเป็นพระอริยเจ้าได้นะ พากันตกต่ำเป็นปุถุชน เป็นมหาปุถุชนไม่เรื่อย เราต้องพากันพินิจพิจารณา เราเเก่เราเฒ่า กินอะไรมันก็ไม่อร่อยเเล้ว ทางกายเจ็บป่วย เเต่จิตใจนี้สำคัญมันเป็นสัญญา
บอกเเล้วว่าร่างกายเราใกล้จะหยุดทำงานเเล้ว เราใช้สังขารมาค่อนคนเเล้ว ต้องเน้นปัจจุบันให้เต็มที่เลย เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เเต่การประพฤติการปฏิบัติของเราไม่ได้เข้าถึงพื้นฐานของพระพุทธเจ้า เราเป็นลูกศิษย์หลานศิษย์ของหลวงปู่มั่น ลูกศิษย์อาจารย์ชา หลวงตามหาบัว ลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณพุทธทาส เเต่พื้นฐานในความคิด ในการเสียสละ ในการปฏิบัติมันยังไม่เข้าถึงฐาน เพราะมันเเสดงออก สู่ภายนอก สู่สังคม มันไปทางอวิชชา ไปทางความหลง ไม่สมกับชื่อว่าเป็นศาสนาพุทธ มันไม่ได้พัฒนาเทคโนโลยี เเละก็พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ยังมีความเศร้าหมองอยู่เยอะ
พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกท่านทุกคนมาปฏิบัติที่ 'ใจ' ของตัวเอง ที่คำพูดของตัวเอง การกระทำของตัวเอง เหมือนพระพุทธเจ้าท่านประพฤติปฏิบัติ เพราะทุกๆ คนนั้นมันเหมือนกันหมดน่ะ ทำดีก็ย่อมได้ดี ทำไม่ดีก็ย่อมได้ไม่ดี ทำอย่างไรได้อย่างนั้น
ประการแรกที่เราจะคิด ที่เราจะทำ ที่เราจะพูดนี้ เราพากันมาสมาทานเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า เราทุกท่านทุกคนถือว่าชีวิตนี้ เป็นชีวิตที่ประเสริฐ เป็นชีวิตที่เกิดมาเพื่อสร้างคุณธรรม เพื่อสร้างบารมี เอาแบบอย่างเอาเยี่ยงอย่างของพระพุทธเจ้า ธรรมทั้งหลาย... เราไม่ต้องไปคิดมาก ไม่ต้องไปค้นคว้ามาก เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านบอกเราสอนเราตรัสไว้ดีแล้ว เพียงแต่ทำตามปฏิบัติตาม
คนเราทุกท่านทุกคนที่มีปัญหานี้ ก็เพราะเราเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เอาตัวเองเป็นใหญ่ เอาตัวเองเป็นประธาน ไม่ได้เอาธรรมะ ไม่ได้เอาความถูกต้อง ไม่ได้เอาความดีเป็นที่ตั้ง พากันไปคิดไปเข้าใจว่า ถ้าเราปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามธรรมะน่ะมันเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องลำบาก มันเป็นการลิดรอนสิทธิ์ความสุข...ความดับทุกข์ของตัวเอง เราไม่ใช่พะพุทธเจ้า เราไม่ใช่พระอรหันต์ แล้วเราจะปฏิบัติอย่างนั้นได้อย่างไร...? เราน่ะมีความเข้าใจอย่างนี้ เรามีความคิดอย่างนี้ เลยเอาตัวเองเป็นใหญ่ เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง สร้างอัตตา สร้างตัวตนขึ้น
ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความอยากใหญ่ เป็นไปเพื่อตัวเพื่อตนนั้น ไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ความดับทุกข์ มีแต่จะเพิ่มความทุกข์ มีแต่จะเพิ่มปัญหา
พระพุทธเจ้าท่านไม่มีตัวไม่มีตนน่ะ พระอรหันต์ท่านไม่มีตัวไม่มีตนน่ะ ท่านถึงไม่มีทุกข์น่ะ ที่ไหนมีตัวมีตนนั้นที่นั่นมีทุกข์ทั้งนั้นเลย
ชีวิตของเราเป็นของประเสริฐน่ะ การเกิดมาเป็นมนุษย์นี้มันเป็นของน้อยนัก เป็นโอกาสที่เราจะได้สร้างความดี สร้างบารมี
พระพุทธเจ้าถึงให้เราเข้าใจ ตั้งใจ... เพราะสิ่งที่ให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า นั้นคือ 'ธรรมะ' สิ่งที่จะให้ประชาชนที่เป็นหญิง เป็นชาย เป็นคนเล็ก เป็นผู้ใหญ่ ที่จะเข้าถึงธรรมะ หรือเข้าถึงความ ดับทุกข์ที่แท้จริง นั้นคือ 'ธรรมะ' การปฏิบัติธรรมะให้เน้นเข้าที่จิตที่ใจ เพื่อจะได้ละความโลภ ละความโกรธ ละความหลง โดยเอาการเสียสละ
ทุกๆ ท่านนั้นต้องเสียสละ ให้ระลึกในใจว่าชาตินี้เราเกิดมา เพื่อเสียสละ เพื่อความดี ปฏิบัติธรรม เราทุกท่านทุกคนนั้น จะทำอะไรก็หวังผลประโยชน์ตอบแทน ว่า ทำอย่างนั้นจะได้รับผลอย่างนั้น ทำอย่างนี้จะได้รับผลอย่างนี้ พระพุทธเจ้าให้เราเสียสละ ให้ทานไป...ให้ทานยังไม่พอก็ยังมารักษาศีลอีก ศีลนั้นคืออะไร? 'ศีล' นั้นคือความบริสุทธิ์น่ะ เป็นทางสายกลาง เป็นเครื่องมือ เป็นอุปกรณ์ ที่ให้เราทุกคนได้ปฏิบัติเข้าถึงความสุข...ความดับทุกข์ เข้าถึงความดับไม่เหลือแห่งอัตตาตัวตน เน้นเข้าไปที่ 'ศีล' เน้นไปตัวที่ 'เจตนา'
ศีลส่วนใหญ่... ถ้าเราไม่ตั้งใจไม่เจตนานั้น ถือว่าไม่ผิด ถ้าเราสงสัยอยู่แล้วก็ยังทำอยู่ อย่างนี้ถือว่าผิด เจตนาของเรายังมีความหลง มีความโลภแอบแฝงอยู่แล้วฝืนกระทำลงไป การประพฤติการปฏิบัติของเราถึงเน้นลงไปที่ศีล ไม่ได้เน้นเพื่อโลกธรรม
เน้นมาเพื่อจิตเพื่อใจ เพื่อคุณธรรมที่แท้จริง คนอื่นจะรู้จะเห็นไม่เกี่ยวน่ะ พระพุทธเจ้าท่านให้เน้นลงมาที่ใจเรา พยายามให้ใจเรามีพุทธะ มีพุทโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทำอะไรบริสุทธิ์ออกจากจิตจากใจ มีความเชื่อมั่นในความดี ไม่เอาใครเป็นที่ตั้งนอกจากพระพุทธเจ้า เน้นความบริสุทธิ์ทางจิตทางใจ เป็นผู้ที่ตั้งมั่นในความดี เป็นผู้ที่มีความสุข เป็นผู้ที่มีสติสัมปชัญญะ
ผู้ไม่มีตัวไม่มีตนอย่างนี้มันดีมาก มันประเสริฐมาก อยู่ที่ไหนก็สบาย อยู่ที่บ้านก็สบาย อยู่ที่ทำงานก็สบาย อยู่ที่ไหนก็สบาย มีแต่ความสุข มีแต่ความดับทุกข์น่ะ ไม่มีอะไรที่จะเป็นพิษเป็นภัย
'ศีล' นี้พาให้เราเข้าถึงสวรรค์ เข้าถึงพระนิพพานในปัจจุบันเดี๋ยวนี้...ขณะนี้ที่เรายังไม่หมดลมหายใจ ลมหายใจเข้า... ก็เข้าถึงสวรรค์ เข้าถึงพระนิพพานที่แท้จริง ได้ด้วยการเป็นผู้ที่มีศีล ถ้าเรารักษาศีลเพื่อสวรรค์ เพื่อนิพพานนั้น...มันก็ยังไม่ถูกน่ะ เพราะเราต้องการผล ต้องการประโยชน์ ให้เรารักษาศีลเพื่อเสียสละ เพื่อละการเห็นแก่ตัว เพื่อไม่มีตัวไม่มีตนนั้น การรักษาศีลการปฏิบัติของเราถึงจะไม่มีโทษ
คนเราน่ะมันมีความเห็นแก่ตัว คิดว่าถ้าเรารักษาศีล ถ้าเราปฏิบัติธรรม เราจะถูกคนอื่นเอารัดเอาเปรียบ การดำเนินชีพดำรงชีวิตของเรามันก็จะไม่สะดวกสบาย นั้นคือความเห็นผิด คือการเข้าใจผิด
ในโลกนี้เราก็ต้องการคนมีศีลน่ะ คนอื่นเค้าก็ต้องการคนมีศีล ที่บ้านเมืองสังคมเค้ามีกฎหมาย มีระเบียบ มีวินัยทางสังคม เค้าก็ต้องการให้คนมีศีลน่ะ
สิ่งที่สำคัญนั้นให้เราตั้งอกตั้งใจ ทำใจดี ใจสบาย ใจไม่มีทุกข์ให้ได้ เมื่อเราใจดี ใจสบายแล้ว ทุกอย่างนั้นน่ะมีแต่คุณ ถ้าเราใจไม่ดี ใจไม่สบายแล้วเรายังไม่ตายมันก็ตกนรกทั้งเป็น มันเครียด มันมีทุกข์ ทุกข์ทั้งกาย ทุกข์ทั้งใจ สารพัดทุกข์เลย สงบก็ไม่สงบ ฟุ้งซ่านไปหมดน่ะ สติสัมปชัญญะไม่มี เพราะความโลภ ความโกรธ ความหลงของเรา มันทำให้จิตใจของเรากระจุยกระจาย
เรามาคำนวณดู... เรามาคิดดูน่ะ... พระโสดาบันท่านเป็นคนไม่มีทรัพย์ ไม่มีสมบัติ ท่านก็มีความสุข...มีความดับทุกข์มากกว่าสามัญชนที่ยังโลภ ยังโกรธ ยังหลง ในพระวินัยของพระพุทธเจ้าน่ะ พระพุทธเจ้าท่านยังบัญญัติไว้เลยว่า ไม่ให้ไปภิกขาจารบิณฑบาตกับพระโสดาบันที่เค้ายากจน ถ้าไปบิณฑบาตแล้วเค้ามีสิ่งของชิ้นหนึ่งเล็กน้อย เค้าก็ทำบุญตักบาตรหมด มันเป็นการเบียดเบียนเค้า เพราะผู้ที่ตั้งมั่นในธรรมนั้น คิดตั้งแต่จะเป็นผู้ให้ จะเป็นผู้ที่เสียสละ
เรามาย้อนดูชีวิตของเรา ปฏิปทาของเรา ว่าเรามีพื้นฐานเป็นอย่างไร สิ่งไหนมันจะต้องเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือจะเพิ่มเติมให้ดียิ่งๆ เพื่อความเจริญ เพื่อความงอกงาม ความถูกต้องในชีวิตที่ประเสริฐที่เราได้เกิดมา ทุกคนนั้นมีอายุจำกัดน่ะ ไม่เกินร้อยปี ส่วนใหญ่ก็ต้องจากโลกนี้ไป สมควรที่จะต้องมาสร้างประโยชน์ตน และประโยชน์ท่าน ด้วยความเสียสละ ด้วยความไม่ประมาท
เราเป็นผู้ที่มีศีล ตัวเราก็เคารพในตัวเรา คนอื่นก็เคารพในตัวเรา ทุกอย่างมันก็ดีหมดน่ะ พูดอะไรคนอื่นเค้าก็เชื่อฟัง ไม่ต้องไปเครียด ไม่ต้องไปทุกข์กับลูกน้องพ้องบริวาร เพราะทุกท่านทุกคนนั้นย่อมเคารพในศีล ในความดี
เราเป็นพหูสูต เป็นผู้ฉลาดในหน้าที่ในการงาน เราเป็นผู้ที่ฉลาด เรื่องศีลเรื่องธรรม เรื่องที่ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เรื่องที่ไม่มีตัวไม่มีตน ทุกอย่างน่ะมันจะดำเนินไปในทางที่ดี ความเป็นพระของเราทุกๆ คน ทุก ๆ ท่านน่ะมันจะเกิดขึ้น มีขึ้นเองโดยธรรมชาติ เพราะความเป็นพระนั้นไม่ได้อยู่ในรูปแบบ ไม่ได้อยู่ที่การแต่งตั้ง มันเกิดที่เรามีศีล เราไม่มี ความโลภ ความโกรธ ความหลงที่ไม่มีตัวไม่มีตน
เป็นพระแต่งตั้งนี้มันก็เครียด เป็นเณรแต่งตั้งนี้มันก็เครียด เป็นผู้ปฏิบัติธรรมแต่งตั้งมันก็เครียดน่ะ สิ่งที่ไม่เครียด ก็คือ การเสียสละ คือการมีศีล คือการรักษาศีล
ทำไมมันถึงไม่เครียด...? เพราะเราไม่มีตัวไม่มีตนมันจะเครียดได้อย่างไร เค้าว่าเราเป็นผู้นำเราก็เครียดแล้ว เพราะตัวตนเรามันมาก เค้าว่าเราเป็นพ่อเป็นแม่เราก็เครียดแล้ว เพราะเราแบกความเป็นพ่อเป็นแม่ เค้าว่าเราเป็น ดร. เป็นตำแหน่งใหญ่ๆ มีแต่เครียดน่ะ สิ่งที่จะไม่เครียดก็คือเรามีศีลนี้แหละ 'ศีล' นี้คือความงามเบื้องต้นในการดำเนินชีวิตของเรา ความงามนี้ไม่ใช่หน้าตาสวย ไม่ใช่แต่งตัวสวย ความงามนี้ คืองามที่ใจที่มีศีล การกระทำที่มีศีล วาจาที่มีศีล คือความงามที่แท้จริง
คนเรานั้นยิ่งมีศีล เราก็ไม่มีเรื่องไม่มีราวกับใคร ไม่เอาดีเอาชั่วกับใครน่ะ เราแก้ที่ตัวเองแต่ผลกระทำเราเป็นปูชนียบุคคล เป็นตัวอย่างเป็นแบบอย่างกับคนอื่น ปูชนียบุคคลเป็นสิ่งที่เป็นมงคล ผู้ที่ได้พบเห็นเกิดบุญเกิดกุศลน่ะ สิ่งที่ดีๆ น่ะมันเป็นมงคล
"ถ้าเรามีศีล สมาธิของเรามันก็มีน่ะ"
สมาธิ คือความสุข คือความดับทุกข์ คือสติ คือสัมปชัญญะในปัจจุบัน เราจะอยู่ที่ไหนก็มีความสุข มีความดับทุกข์ในปัจจุบัน
ปกติใจของเราทุกคนน่ะมันร้อน มันฟุ้ง มันไม่สงบ มันไม่มีความสุขในปัจจุบัน มันตกนรกทั้งเป็นในปัจจุบันน่ะ สมาธิตัวความสงบ ตัวความเย็น ตัวที่ดับไม่เหลือ ถ้ามันช้าเกินไปมันก็ไม่ใช่ มันเร็วเกินไปก็ไม่ใช่ ปัจจุบันถ้าเรามีตัวมีตนก็ไม่ใช่
การมีสมาธิต้องให้ปราศจากนิวรณ์ ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลงในปัจจุบัน ไม่มีสมมุติ ไม่มีบัญญัติน่ะ
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็ถึงมี ถ้าสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี ทุกอย่างมันไม่มีตัวไม่มีตนน่ะ มีแต่สติ มีแต่สัมปชัญญะ ไม่มีความปรุงแต่งที่ให้ตัวเองมีทุกข์เป็นทุกข์
การฝึก 'สมาธิ' ของเราในชีวิตประจำวันนี้ถึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เป็นสิ่งที่สำคัญ ทำงานก็ให้มีความสุขในการทำงาน ทำงานเพื่อเสียสละ เพื่อไม่หวังผลตอนแทน เพื่อไม่มีตัวไม่มีตน เราจะได้ทั้งความสุข ความดับทุกข์ ได้ทั้งเงินทั้งสตางค์ทรัพย์สมบัติต่างๆ โดยที่ไม่มีทุกข์อะไร เพราะเราไม่ต้องการผลประโยชน์อะไร เราเสียสละ ก็ชื่อว่าเราเป็น 'สุปฏิปันโน' ผู้ที่ปฏิบัติดี ผู้ที่ปฏิบัติตรงต่อศีลต่อธรรม ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ ปฏิบัติสมควรเพื่อกราบไหว้ตนเองหรือบุคคลอื่นที่จะกราบไหวั ชีวิตในประจำวันของเราจึงเป็นปูชนียบุคคลที่เดินได้อยู่ทุกหนทุกแห่ง เราไม่ต้องไปแข่งกับใคร เราไม่ต้องไปเลื่อยเก้าอี้ใคร เราแข่งกับตัวเองนี้แหละ เราปฏิบัติตัวเองนี้แหละ ทุกอย่างมันก็จะดีเอง
เรามีความสุขกับการทำงาน เรามีความสุขกับการหายใจเข้าหายใจออกให้มันสบาย เราทำงานไปก็มีความสุขกับการทำงาน ทำงานห้านาที สิบนาทีหรือแล้วแต่ที่เราคิดได้ เราก็กลับมาหายใจเข้าสบาย ออกสบาย เพื่อฝึกจิตใจเป็นปฏิปทาความดี เป็นศีล เป็นธรรม เป็นคุณธรรม เราจะได้เป็นคุณพ่อคุณแม่ทั้งกายทั้งใจ เราจะได้เป็นผู้นำทั้งกายทั้งใจ เป็นผู้ปฏิบัติที่ไม่หวังอะไรตอบแทน ความสุข ความดับทุกข์ของเรามันก็จะชำนิชำนาญไปเรื่อยๆ น่ะ เราเกษียณงานเกษียณการไป เราก็มีความสุข...มีความดับทุกข์...ต่อไปเรื่อยๆ
เราฝึกจิตใจให้ตั้งมั่นในศีล ให้หนักแน่นในศีล หนักแน่นในสมาธิ ตั้งมั่นในสมาธิ ความเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นผู้นำของเรานี้ มันถึงจะได้เกิดประโยชน์ เราจะไม่ได้กลัวอุปสรรค ไม่ได้กลัวปัญหา เพราะอุปสรรคนั้นไม่มี ถ้าเราไม่มีอัตตา ถ้าเราไม่มีตัวไม่มีตน ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันจะ เดินไปก้าวไปด้วยศีล ด้วยธรรม ด้วยคุณธรรม ชีวิตของเราก็ถือว่าเป็นชีวิตที่ประเสริฐที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่มีคุณธรรม เป็นผู้ที่จิตใจสูง จิตใจไม่ตกต่ำ