แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพุธที่ ๒๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พรรษาแห่งการตื่นรู้ ตอนที่ ๗ ศีล คือ ความรับผิดชอบ สมาธิ คือ ความหนักแน่น ปัญญา คือ รู้จักรู้แจ้ง ปล่อยวาง เสียสละ พัฒนาตัวเองอย่างนี้ตลอดไป
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้พระเณรพากันเข้าใจอย่างนี้นะ ว่าเราทุกคนเข้าสู่เเผนภาคประพฤติภาคปฏิบัติในปัจจุบัน ในชีวิตประจำวันของเรา เช่น ตื่นตีสาม สำหรับพระวัดเราเณรวัดเรา ตื่นขึ้นกราบพระไหว้พระ เก็บที่นอน ไปที่ศาลา ถ้ายังไม่ทำวัตรสวดมนต์ให้ตั้งใจทำสมาธิ ฝึกอานาปานสติ ตั้งใจฝึก ให้เเยกกายเเยกใจ ใจของเรา ร่างกายของเราต้องการนอนการพักผ่อน เเต่ใจของเราให้สดชื่นรู้ตื่นเบิกบาน หายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ หายใจเข้าท่องพุท หายใจออกท่องโธ ถ้าใจสงบใจมันใส ค่อยเอาสติมาไว้ที่ลิ้นปี่ ไว้ที่ท้อง ท้องยุบก็รู้ ท้องพองก็รู้ จนใจอยู่กับสติตัวผู้รู้ ใจเป็นหนึ่ง ทุกคนต้องตั้งใจฝึกอย่างนี้แหละ
ฝึกทำไม ฝึกเพื่อเราจะได้ เสียสละ การทำ เราทำเพื่อเสียสละ เวลาทำวัตรสวดมนต์ต้องตั้งใจสวด อย่าไปนั่งหลับ อย่าไปสวดครึ่งหลับครึ่งตื่น เมื่อเวลาทำวัตรเสร็จ ถ้าเค้ายังไม่เลิก ก็ฝึกสมาธิ เราเลิกเเล้วก็ตั้งใจทำข้อวัตรกิจวัตร ปัดกวาดเช็ดถู ตั้งใจทำ คนอื่นก็เป็นเรื่องของคนอื่น เราต้องเสียสละ เราอย่ากลับไปนอนตอนเช้า มันก็ดีเเล้วที่มีความง่วงเหงาหาวนอน มีความฟุ้งซ่าน มันจะได้ฝึกเรา ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ ก็ไม่ได้ฝึกใจหรอก เน้นที่ปัจจุบัน เวลาเรายังไม่จบ เราก็ทำอะไรต่อไป
ห่มผ้าให้ดีให้ได้มาตรฐาน วันนี้ดีเเล้ว งวดหน้าก็ยิ่งทำให้ดี ให้เป็นปริมณฑล เราต้องฝึกเสียสละ ฝึกกตัญญูกตเวที รับบาตรครูบาอาจารย์ เวลาเราเดินไปก็เจริญสติสัมปชัญญะ ไม่จำเป็นไม่ต้องพูดคุยกับใคร สมาทานไว้ในใจ ต่างคนก็ต่างปฏิบัติเเต่ทุกคนก็ต้องปฏิบัติเหมือนกัน กลับจากบิณฑบาต ให้มันเลยหมู่บ้าน เเล้วค่อยรับบาตรครูบาอาจารย์ รับบิณฑบาตจากคนสุดท้ายก่อน เเล้วค่อยรับบาตรครูบาอาจารย์ พระที่ไม่ใช่พระป่วยไม่ใช่พระมาทำกิจสงฆ์ ไม่ใช่พระเเก่ ให้บิณฑบาตสุดสาย เรามีเวลา ถ้ายังไม่ตีระฆังเข้าศาลา เราก็อ่านหนังสือ ท่องหนังสือ หรือ นั่งสมาธิ เราต้องเข้าศาลาก่อนเค้าตีระฆังสัก ๕ นาทีได้เป็นดี เวลาตักอาหารให้ตั้งใจ เอาเท่าที่เราฉันหมด อย่าฉันเหลือ เพราะความโลภทำให้เราฉันเหลือ เพราะเราจะได้ฝึกใจ เราจะได้คำนวณ เราไปตักเองเเล้วไปฉันเหลืออยู่ เเสดงว่าไม่ได้ ไม่ถูกต้อง ใช่ไม่ได้ นอกจาก มันเค็มเกิน หวานเกินนี้ก็อย่างนึง
เรากำลังฝึก กำลังปฏิบัติอยู่ ต้องทำอย่างนี้ เดี๋ยวจะทำให้เสียคน ล้างบาตรเช็คบาตรอย่าไปคุยกัน หลังจากนั้นพระใหม่ก็ไปหาหลวงพ่อใหญ่ ที่เวลาก่อน 11 นาฬิกา ไปดูเเลอุปัฎฐาก ไปฟังโอวาทธรรม หลังจากนั้นค่อยกลับกุฏิไปอ่านหนังสือ ท่องหนังสือ เดินจงกรม ฝึกสมาธิ ต้องวางเเผนข้อวัตรปฏิบัติ ใจของเราจะได้ไม่ว่างงาน เข้าสู่ระบบ ทุกอย่างมันไม่ลำบาก ที่มันลำบากก็เพราะเราอยากจะตามใจเรา ทุกคนปฏิบัติต้องมีความสุข ใจของเราต้องอยู่กับหน้าที่การงาน หน้าที่ในปัจจุบัน ไม่ให้ใจล่องลอย เพราะปัจจุบันคืออนาคต ถ้าปัจจุบันมันฟุ้งซ่านไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อนาคตก็เป็นอย่างนั้นตลอด ปัจจุบันต้องให้ศีลของเราเต็มที่ สมาธิของเราเต็มที่ปัญญาของเราเต็มที่ในปัจจุบัน เราจะได้จัดการกับตัวเอง ปัจจุบันเราต้องให้ศีลของเราสมบูรณ์ สมาธิของเราสมูรณ์ ปัญญาสมบูรณ์ เราจะให้มันสมบูรณ์มันยังไม่สมบูรณ์เลย เพราะมันเจริญอริยมรรคอยู่ เเต่การกระทำของเราจะเกิดความชำนิชำนาญไปเอง ต้องฝึกปรือให้ใจมันดี ใจมันมีปัญญาให้ได้ในปัจุบัน
การปฏิบัติมันต้องทำติดต่อกันจนกว่าเราจะหมดลมหายใจ เพราะการพัฒนาใจพร้อมกับพัฒนาวัตถุมันต้องไปพร้อมๆ กัน เค้าวางเเผนที่เรียนหนังสือเรียนอนุบาลกี่ปี เรียนประถมกี่ปี มัธยมกี่ปี อันนั้นเค้าเน้นเเต่ทางกาย เค้าไม่เน้นทางใจ มันยังไม่สมบูรณ์ ชีวิตประจำวันของเรามันถึงไม่สมบูรณ์ เพราะเราพัฒนาตั้งเเต่ภายนอก ไม่ได้พัฒนาใจ มันถูกอยู่ เเต่ถูกเเค่ครึ่งเดียว หรือว่าไม่ถึงครึ่ง ถ้าเราทำอย่างนี้ มันก็บังคับไปในตัว ฝึกความอดทนไปในตัว เราไม่มีโอกาสที่จะคิดผิด พูดผิด เเค่เราเรียนหนังสือเอาใจใส่อย่างนี้ เเทบจะเอาไม่รอด ทีนี้เข้าสู่การปฏิบัติมันต้องละเอียดมากกว่านี้อีก เราต้องวางเเผนการ เราทำอย่างนี้ เเสดงว่าเราเจริญสติ เจริญสัมปชัญญะ เจริญศีล เจริญสมาธิ เจริญปัญญา เพราะมันต้องอยู่ที่ปัจจุบัน
ถ้ามันอยากสึกก็อย่าไปสึก ถ้ามันอยากไปก็อย่าไป ถ้ามันอยากอยู่ก็อย่าอยู่ อันนี้มันเป็นความคิดเฉยๆ เราต้องจัดการกับตัวเองในปัจจุบัน ถ้างั้นใจของเรามันจะไม่เย็น เพราะใจเรามันจะฟุ้งไปข้างหน้า ใจของเราจะส่งออกเเต่ข้างนอก เพราะคนเราเค้าไม่อยากจากกัน คนเราไม่อยากจะจากความหนุ่ม เเต่อาหารอร่อยๆ มันก็ไม่อยากปล่อย ที่ไม่พอใจ มันก็ไม่อยากปล่อย อันนี้ก็ต้องเสียสละ เพื่อให้เป็นปัจจุบันธรรม การปฏิบัติก็ต้องทำอย่างนี้ เพื่อให้ใจมันเย็น เราจะได้เอาศีลเอาสมาธิ เอาปัญญา ไปปฏิบัติอย่างนี้ อย่างพวกฝรั่งเค้าวางเเผนอะไร ปีนั้นจะไปโน่น ปีโน่นจะไปนี่ อันนั้น เค้าวางเเผนไว้ มันก็ดีอยู่ เเต่ว่าใจของเรามันต้องอยู่ที่ปัจจุบัน ถ้าเราไม่มีวางเเผน เค้าเรียกว่า เราไม่มีการสมาทานตั้งไว้ในพระนิพพาน ใจพวกมนุษย์เราจะได้เย็นลงด้วยอริยมรรคมีองค์ 8 เวลาเราทำสมาธิ ใจก็อยู่กับสมาธิ เราไม่ต้องอะไรหรอก เราไม่ต้องอยากหรือไม่อยากอะไร เพราะอยากหรือไม่อยากเป็นความคิดปรุงเเต่งทั้งนั้น นึกว่าการปล่อยวางเเล้วจะไม่คิดอะไร ต้องเลิก เจริญปัญญา ถ้าเราเจริญปัญญาอย่างนี้มันไม่ผิดหรอก เพราะทุกคนมันก็ไม่อยากเรียนหนังสือ ไม่อยากท่องหนังสือ ไม่อยากอ่านหนังสือ มันไม่อยากเจริญปัญญา เเต่ปัจจุบัน มันต้องเจริญปัญญา ถ้าไม่อย่างนั้นเราปล่อยไปตามสัญชาติญาณเฉยๆ มันไม่ได้หรอก
พระใหม่พระเก่าต้องสมัครสมานสามัคคีกัน ดูแลช่วยเหลือกัน ปลุกกันทำวัตรสวดมนต์ ทำข้อวัตรกิจวัตร มันต้องสมัครสมานสามัคคีกันมันถึงจะไปได้ไปรอด ถ้าอย่างนั้นมันต้องพลาดขาดทำวัตรเช้าแน่นะ ถ้าไม่มีความสมัครสมานสามัคคี ต้องดูแลกันดีๆ ที่เราพากันมาบวชนี้นะ มันลูกหลายพ่อหลายแม่ บางคนนิสัยดี นิสัยไม่ดี เห็นแก่ตัว บางคนก็เป็นโรคจิตโรคประสาท ทุกคนก็พยายามที่จะเอาตัวเอง เน้นมาที่ตัวเอง ถ้าใจของเราไปมองคนอื่น ไปเพ่งคนอื่น เดี๋ยวมันจะไม่สงบ
ทุกคนพากันผิดพลาด ตามอารมณ์ ตามความคิด ตามความปรุงแต่งไป เราไปมี sex กับความคิด มี sex กับอวิชชา มี sex กับความหลง ทำให้ภพชาติเราเกิด เราต้องรู้จักภาวนาวิปัสสนา การประพฤติการปฏิบัติของเรามันอยู่ที่ปัจจุบัน เราเป็นประชาชนต้องหูตาสว่างขึ้น เพราะเรามีตา มันก็ต้องมีข้อสอบ มีหูก็มีข้อสอบ มีอายตนะก็มีข้อสอบ เราก็ปฏิบัติในปัจจุบัน ปีใหม่แล้วคือการก้าวไปแล้ว เราต้องพัฒนาอย่างนี้ ทุกคนจะได้จิตใจเบิกบานขึ้น
คนเรารู้จักไหม รู้จักจิตใจของเราไหม ใจของเรามันยังไม่มีความเห็นถูกต้อง ยังไม่เข้าใจถูกต้อง ยังไม่ปฏิบัติถูกต้องนะ ไปทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกตัวเองไม่ได้ คนเรามันมาจากความคิดความปรุงแต่งมาจากเจตนา ความปรุงแต่งถึงเป็นความทุกข์ที่สุดในโลก ที่เราเวียนว่ายตายเกิด เราต้องรู้จักความปรุงแต่ง เราจะไปทำตามใจไม่ได้ ทำตามใจก็คือเราไปเพิ่มเชื้อไฟ เชื้อเพลิง มันมาจากใจ เป็นจากใจที่เราต้องแก้ไข ปีหนึ่งไม่ให้มันคิด หลายปีก็ไม่ให้มันคิด มันถึงจะสูญพันธุ์
คนเราการเสพมี ๒ อย่าง คือ เสพทางกายคือเพศสัมพันธ์ทางกาย และเพศสัมพันธ์ทางจิตใจ เรายินดีพอใจในสตรีเพศ มีความยินดี เรามีเพศสัมพันธ์ทางจิตใจแล้ว เราคิดไป คิดไป น้ำอสุจิจะพุ่งได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือนักไม่บวช พระพุทธเจ้าถึงให้เรารู้จักอารมณ์รู้จักความคิด ท่านบอกว่า เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว เจ้าจะทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป คนเราต้องรู้จักตัวเองในปัจจุบัน ว่าปัจจุบันเราคิดอะไรอยู่ กำลังทำอะไรอยู่
ถ้าเราไม่แก้เรื่องจิตเรื่องใจ เราจะไปเข้าปริวาส เพื่อออกจากอาบัติสังฆาทิเสสเมื่อไหร่ก็แก้ไม่ได้ เพราะกายมันไม่รู้เรื่องอะไร ใจมันร้องไห้ กายมันถึงจะร้อง กายมันไปนู้นไปนี้ มันอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่กาย เราเป็นโรคประสาทมันก็เป็นเรื่องของใจ ที่เราไปปรุงไปแต่ง คนเราแม้แต่นอนฝัน เราตื่นขึ้นมาพระพุทธเจ้าก็ไม่ให้เรายินดีนะ ถ้าเรายินดีอย่างน้อยก็เป็นอาบัติถุลลัจจัยอย่างนี้มันไม่ได้ เพราะอันนี้มันเป็นอันตราย
เราต้องรู้จักอันนี้คือศาสนาที่เราจะต้องประพฤติปฏิบัติ ถ้าใจเรามันไม่ดี มาบวชอย่างนี้มันก็ไม่ได้บวช มันเป็นเพียงบทละคร บทแสดงเฉยๆ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้นอนในที่นิ่มที่นวล ให้นอนที่ปกติธรรมดา สำหรับพระธรรมดาไม่เหมือนพระอรหันต์ ท่านจะไปอยู่ที่ไหนจิตใจท่านก็ไม่ปรุงไม่แต่ง ไม่ตัดไม่เติม จิตใจของท่านเป็นปกติ ใจของท่านเป็นศีล เป็นสมาธิ คือความตั้งมั่นในธรรมวินัย ใจของคนเรามันไม่มีแก่ไม่มีหนุ่มนะ แก่ๆ ยังไปชอบสาวอยู่นะ ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย มันทำท่าทำทางอย่างนั้น ถ้าใจยังไม่เป็นพระอรหันต์มันเป็นปัญหาทุกคน
ทุกคนต้องลงทุนด้วยการประพฤติปฏิบัติโดยกลับมาสู่ระบบธรรมะ ระบบที่เค้าเรียกว่าญาณ เหมือนที่เราข้ามทะเลข้ามมหาสมุทรก็ต้องมียาน แล้วเราเกิดมาอาศัยพ่ออาศัยเเม่เป็นหลัก อาศัยการเรียนการศึกษาเป็นหลัก เพื่อสิ่งอันนั้นเป็นยานเป็นความรู้ เป็นสัมมาทิฏฐิ เพื่อให้มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง การเรียนการศึกษาของเราถึงต้องเข้าใจอย่างนี้ เราจะอยู่ที่บ้าน อยู่ที่วัด อยู่ที่ไหน ก็ปฏิบัติให้ถูกต้อง มันถึงจะเเก้ปัญหาได้ ถึงจะสันติสุข เข้าถึงพระนิพพาน เราต้องพากันเข้าใจ อย่างไปหลงไหลศาสนาที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เครื่องลางของขลัง ฤกษ์ดียามดี ทุกอย่างมันเกิดจากเหตุจากผล เกิดจะการประพฤติปฏิบัติ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
ผู้ที่มาบวช เพราะเรายังเป็นเด็กเป็นน้อยอยู่ เเต่ทีนี้เราเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราจะได้ทุ่มเท ประเทศไทยเราถือพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านทรงเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ ถึงให้ข้าราชการสามารถลาราชการมาบวชได้ โบสถ์ของเเต่ละวัด ถึงเป็นที่ปลอดภัยปราศจากที่เค้าจะไปจับในเขตวิสุงคามสีมา
คำว่า “พระ” ไม่ได้หมายถึงคนห่มผ้าเหลืองหรอก พระหมายถึงพระธรรม พระวินัย เเต่ทุกอย่างมันต้องมีรูปเเบบ เเบบฟอร์ม ตำรวจก็มีเเบบฟอร์ม เเพทย์หมอพยาบาลก็มีเเบบฟอร์ม ทหารก็มีเเบบฟอร์ม เพราะจะได้เเยกเเยะสมมุติ แสดงให้เราเข้าใจว่า ความเป็นพระอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง อยู่ที่เราพากันมาบวช เพราะวัดเป็นศูนย์รวมของบุคคลพิเศษ บุคคลที่เอามรรคผลนิพพาน ผู้บวชบ้านก็ไม่ได้เช่า ข้าวก็ไม่ได้ซื้อ พ่อเเม่ก็มากราบไหว้ ปู่ย่าตายายก็มากราบไหว้ พระเจ้าอยู่หัวก็มากราบไหว้กรณีพิเศษ เพราะเราไม่ได้เอาตัวตน ไม่ได้เอาทิฏฐิ เราเอาธรรมะ ให้ทุกคนเข้าใจอย่างนี้นะ ผู้ที่มาบวชก็ปฏิบัติเต็มที่ ผู้ส่งเสบียงให้อุปภัมถ์เต็มที่ ไม่ได้ฝืนใจกราบไหว้ ผู้บวชต้องเข้าใจ การที่เรามาบวชอย่างนี้ ประชาชนเค้าต้องหุงข้าวหาอาหาร จะได้มีเงินมีตังค์มาสร้างกุฏิสร้างวิหารอย่างนี้ วัดกับบ้านกับโรงเรียนมันถึงเเยกกันไม่ได้ วัดมันคือศูนย์รวม เดี๋ยวนี้มันลดค่าลดราคา ผู้ที่มาบวชในเมืองไทย มันไม่ได้เป็นวัดเป็นวา เป็นเเต่คนมาอาศัย เกรดมันตกลงเกิน มันเป็นศูนย์รวมของคนจนที่เอาพุทธศาสนาเอาศาสนาทำมาเลี้ยงชีพอย่างนี้มันไม่ได้ ผู้คนต้องเข้าใจ มันจะได้เปลี่ยนเเปลง มาประพฤติปฏิบัติ เราต้องละมิจฉาทิฏฐิ
เรามาบวช ไม่ใช่มาเอาเจ้าอาวาส เจ้าคุณ มาเอาอุปัชฌาย์ มาเอาปกครอง เราต้องมาจัดการตัวเอง เพื่อตามเเนวพระพุทธเจ้า ตามตำเเหน่งที่เราสละซึ่งตัวซึ่งตน ให้ทุกอย่างที่พามาก็พาไป ตอนเช้าก็รุ่งอรุณ ตอนกลางวันมันก็เเดด ตอนค่ำมันก็มืด เราต้องเข้าใจ พระที่มาบวชใหม่ต้องเข้าใจ อย่ามาฉันเเล้วนอน พักผ่อนอย่างนั้นไม่ใช่ ไปคิดไปเรื่อยไม่ได้ คิดไปเรื่อยอันนั้น มันมี Sex ทางความคิด มี Sex ทางอารมณ์ มันเสียหาย บวชเเล้วก็บวชทั้งกายบวชทั้งใจ
เมื่อเราอยู่ทางบ้าน เราทำการทำงาน ใจของเราอยู่กับการงาน เราเป็นนักเรียนใจของเราก็อยู่กับการเรียน เมื่อเรามาบวช ใจของเราก็อยู่กับการหายใจเข้าหายใจออก นั่งอย่างนี้เราก็รู้ ขาขวาพุท ขาซ้ายโธ เพื่อใจของเราจะได้เเข็งเเรง กายของเราจะได้เเข็งเเรง ดำรงชีวิตให้ตั้งมั่น หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ หายใจเข้าให้สบาย หายใจออกให้สบาย ไม่ต้องรู้อะไร ดำรงชีวิตไป ไม่ต้องตามความคิดไป มันจะฟุ้งซ่าน ที่เราเวียนว่ายตายเกิดก็เพราะเราตามความคิดไป เรารู้ว่าลมเข้ามันไม่ก็เที่ยง ลมออกมันก็ไม่เที่ยง ลมเข้ามันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ลมออกมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ลมของเราก็เป็นทั้งสมถะ เป็นทั้งวิปัสสนา เป็นพระพุทธเจ้าก็ใช้อานาปานสติ เป็นพระอรหันต์ก็ใช้อานาปานสติ เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็ใช้อย่างนี้เเหละ เเม้เป็นประชาชนที่อยู่บ้านก็ใช้ลมอย่างนี้เเหละ
ถ้าอย่างนั้นมันเป็นเหมือนที่เราเห็นอยู่นี้เเหละ ประชาชนก็อยู่กับตัวเองไม่เป็น อยู่แต่กับโทรศัพท์ อยู่กับโทรทัศน์ อยู่กับอะไรอย่างนี้ มันเลยไปมีเเต่ SEX ทางความคิด ทางอารมณ์ เราเลยเเย่เลย เป็นคนไม่ได้เเก้ไขใจตัวเอง ไปเเก้เเต่ภายนอก เรามาบวชต้องรู้นะ เรามาทำงานกันเป็นทีม ไปบิณฑบาตก็ไปพร้อมกัน สำรวมอินทรีย์ เดินบิณฑบาตให้สุดสายสำหรับพระที่เเข็งเเรง พระที่ไม่สุดสาย คือพระป่วย กับ พระเเก่ เเละ พระที่หลวงพ่อใหญ่ให้ทำการสงฆ์กลับมาเตรียมงาน ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ สำรวมดีๆ ท่องพุทโธ โปรดสัตว์ สัตว์ที่ไหน ก็สัตว์ที่อยู่ในใจของตัวเองนั้นเเหละ สัตว์ที่เวียนว่ายตายเกิด สัตว์ที่ไม่ได้อยู่กับพุทโธ เราไปอย่างนี้ พระก็ได้บุญ โยมก็ได้บุญ อย่าไปหล่อกเเหล่กๆ คนไม่เคยท่องพุทโธ มันก็อยู่กับภายนอกนะ การฉัน การอะไรก็ต้องสำรวมระวัง กลับมาก็ไปรับบาตรครูบาอาจารย์ กลับจากหมู่บ้านก็รับบาตรครูบาอาจารย์ ล้างบาตรครูบาอาจารย์ เพื่อกตัญญูกตเวที เวลาเราลาสิกขาลาเพศไป จะได้อุปัฎฐากพ่อเเม่เป็น เราเป็นคนเห็นเเก่ตัว เอาอะไรก็จะใส่ปากตัวเอง มีเเต่กินเเต่นอนพักผ่อนอย่างนี้ไม่ได้
เพราะพระพุทธเจ้าคือผู้ที่เสียสละ พระอรหันต์คือผู้ที่เสียสละ เราไม่เสียสละ ศีลสมาธิปัญญาเราไม่มีหรอก มันไม่ฉลาด มีเเต่ความโง่ เดี๋ยวนี้โควิดมันออกระบาด อยู่ใกล้กัน ไปตักอาหารก็ต้องสวมเเมสก์ โยมที่ตักอาหารก็ต้องสวมเเมสก์ อย่าไปอยู่ใกล้กันเกิน เพราะเราจะได้หยุดเชื้อโรค หยุดอะไร ถ้าไม่รู้ตัวเองในปัจจุบัน มันจะไปหยุดวัฏฏะสงสารไม่ได้ เพราะการเวียนว่ายตายเกิดมันอยู่ที่ปัจจุบัน เหมือนกับว่าเราก็ปฏิบัติเพื่อตัวตนทั้งนั้น ถ้าเราไม่รู้จักตัวเองในปัจจุบัน นั้นเเหละคือการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเราไม่รู้จักปัจจุบัน การดำรงชีวิตของเราปฏิบัติเพื่อเจ้าโลก เพื่อตัวเพื่อตน เจ้าโลกก็คือ เจ้าที่เวียนว่ายตายเกิด คือ เจ้าโลก เจ้าที่ยึดมั่นถือมั่น เจ้าหมู่เฮา เค้าเรียกว่า ปฏิบัติเพื่อเกิดโลกทางจิตใจ
ต้องรู้จักเบรคตัวเอง มีสติ สัมปชัญญะ มีปัญญาว่าอันนี้ผิด อันนี้ถูก ต้องหยุดตัวเอง คนเค้าไม่อยากเเก้ไขตัวเอง ไปเเก้ไขคนอื่น มันไม่ได้ ตอนเช้าต้องทำงานเป็นทีมไปปลุกกัน เราก็อย่าอาศัยแต่ครูบาอาจารย์ปลุก อย่าถือนิสัย ครูบาอาจารย์บังคับครึ่งนึง เราบังคับตัวเองครึ่งนึง เราต้องอาศัยการประพฤติการปฏิบัติ ทำวัตรสวดมนต์ก็ทำให้มีความสุข นั่งสมาธิจะเอาเเต่นอนเเต่พักผ่อนไม่ได้ เราไม่ได้ฝึกใจ ฝึกพุทโธ เดี๋ยวพุทโธหาย เราก็ตกภวังค์ ไปหมกหมุ่นกับเวทนา มันหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ คนเค้านั้นข้างๆ ได้ยินเสียงกรน เเต่ตัวเองว่าไม่หลับหรอก ผู้ที่สมาทานไม่นอน ถึงหลังเสีย หลังคดหลังงอ ต้องเข้าใจนะ ข้อวัตรกิจวัตรต้องปรับตัวเองให้เต็มที่เลย เอาความขี้เกียจขี้คร้านให้มันสูญพันธุ์ไป ที่ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด ที่ทำให้เรายากจนทรัพย์ภายนอก จนทั้งคุณธรรมคุณงามความดี
เราถึงเรียกว่าเป็นสุปฏิปันโน เราถึงจะได้มีบุญให้พ่อเเม่มีบุญให้ประชาชน เราพยายามดัดเเปลงเข้าหาความถูกต้อง หาความเป็นธรรม เราอย่าไปเอาพรรคพวก เพื่อนฝูงระบบเพื่อนพ้อง ระบบหมู่เราหมู่เฮา ไม่เอา มันไม่ใช่ศาสนา เราจะได้ โอ้... ศาสนามันเป็นสิ่งที่ประเสริฐจริง ทำให้เราถล่มทลาย วัฏฏะสงสารด้วย เอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่
พึ่งของเรา คือระเบียบ คือพระวินัย คือศีล ข้อวัตรปฏิบัติ ที่พระพุทธเจ้าท่านวางหลักการและจุดยืนไว้ให้เราแล้ว ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน แห่งใด พระธรรม พระวินัยก็จะได้รักษาคุ้มภัย มีแต่ความเจริญความงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไป
พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า พระธรรม ธรรมวินัย จะเป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระบบความคิดและคำพูด การกระทำ ต้องให้อยู่ในธรรมวินัย อย่าให้ย่อหย่อนอ่อนแอ นาฬิกาย่อมเดินสม่ำเสมอ ไม่ช้า ไม่เร็ว "ใจของเราก็ต้องปรับใจเข้าหาระเบียบหาวินัย เข้าหาเวลา"
ทุกๆ ท่าน ทุกคนน่ะ พระพุทธเจ้าไม่ให้เราเอาอัตตาตัวตนเป็นใหญ่เป็นประธาน ให้เอาธรรมวินัยเป็นใหญ่ เป็นที่ตั้ง เป็นประธาน เราไปอยู่ไหน แห่งหนตำบลใด ที่นั้นก็จะมีแต่ความสงบ มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองตลอดไป ตลอดกาล เราจะเป็นที่พึ่งให้กับตัวเอง และเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่น เพราะว่าเราเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าไม่ให้เราทั้งหลาย พากันหลงทางหลงประเด็น ให้จับหลักในการประพฤติการปฏิบัติให้ได้ เราทุกคนจะได้ทำความเพียรช่วยเหลือประชาชน ดูแลประชาชน
คนเราเกิดมา... ก็พึ่งคุณพ่อคุณแม่ อาศัยความดีบารมีของคุณพ่อคุณแม่ เราบวชมาพึ่งพระพุทธเจ้า อาศัยบารมีของพระพุทธเจ้า ที่ประชาชนเขาให้ความเคารพนับถือกราบไหว้ เพราะเป็นบารมีของพระพุทธเจ้า
บารมีของเราก็คือเรามาเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า เรื่องอามิส เรื่องวัตถุ ความสะดวกสบาย ไม่ใช่จุดมุ่งหมาย ไม่ใช่ประเด็นของเรา ประเด็นของเรา คือรักษาพระวินัยให้ได้ทุกข้อ รักษาศีลให้ได้ทุกข้อ มีปัญญา คือการเสียสละ ไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ทำตามอารมณ์ตัวเองซึ่งเป็นสิ่งที่บาป เป็นสิ่งที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิด ถึงมันอยากทำ ก็ไม่ทำ มันอยากพูด ก็ไม่พูด มันอยากคิด ก็ไม่คิด สิ่งอื่นใดไม่ประเสริฐ ไม่ยิ่งไปกว่าพระรัตนตรัย
ทุกท่านทุกคนต้องพึ่งความดี ความถูกต้อง พึ่งพระวินัย พึ่งศีลทุกข้อเราอย่าไปหลงประเด็นน่ะ พึ่งอาหาร พึ่งบ้าน พึ่งกุฏิ พึ่งศาลา พึ่งรถคันสวยหรู อันนั้นมันไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริง ไม่ใช่ที่พึ่งที่ถาวร สิ่งเหล่านั้นมันก็เป็นเพียงบรรเทาทุกข์ เราต้องมีสมาธิแข็งแรง แข็งแกร่งกว่านั้น เดินไปอีก ก้าวไปอีก ถ้ารู้ว่าตัวเองมีจิตใจย่อหย่อนอ่อนแอ ก็ต้องถอนใจออกจากอารมณ์นั้นๆ ให้คิดเสียว่าการไม่ได้ทำตามใจ ไม่ได้ทำตามอารมณ์ ไม่ได้ทำตามกิเลสนั้นมันเป็นสิ่งที่ไม่ตาย มันเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ประเสริฐ
'ศีล' 'ธรรมวินัย' เป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้เราเข้าถึงความสุข ความดับทุกข์ที่แท้จริง มันไม่ใช่ความสุขชั่วคราวประเดี๋ยวประด๋าว เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นความดับทุกข์แท้ ชีวิตของเราจะได้หมดเรื่องหมดปัญหา เพราะเราจับหลักจับข้อวัตรปฏิบัติได้ เราจะได้ถึงบางอ้อว่า อ้อ..! เราเพียงแต่ปฏิบัติตามธรรม ตามพระวินัย เราจะเข้าถึงความขลัง ความศักดิ์ ความสิทธิ์ กิเลสทั้งหลายทั้งปวงก็จะไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ให้แก่เราได้...
เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เราต้องเข้าใจพระธรรมวินัย คำสั่งสอน ให้แจ่มแจ้งชัดเชน มันก็ปฏิบัติได้เหมือนกันหมด เราจะเป็นพระภิกษุนอกรีต นอกรอย เราต้องเป็นพระธรรม พระวินัย เราจะได้พัฒนาทรัพยากรแห่งความประเสริฐที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เราจะเข้าถึงบริสุทธิคุณ เราทุกคนมันจะทุกข์ได้ยังไง ถ้าเราพากันมุ่งมรรคผลนิพพาน ประชาชนตื่นขึ้นมาก็มีความสุขในการทำงาน เด็กก็มีความสุขในการเรียนหนังสือ
พระนี้ไม่อดตาย เพราะพระคือพระธรรมพระวินัย คนเขาเห็นพระเขาก็ได้บุญ เห็นภิกษุผู้ที่หลงในวัตถุ หลงในสวรรค์ มันอัปมงคล พระพุทธเจ้าให้ปวารณาออกพรรษา เพราะว่าพวกที่มาบวช คือพวกที่ตามอุดมการณ์ ตามจุดมุ่งหมาย คือพวกที่มุ่งมรรคผลนิพพาน คือพวกที่จะไม่มีทิฏฐิมานะ เพราะท่านได้วางหลักการไว้ เพราะอยู่ด้วยกันมีทั้งพระอริยเจ้า มีทั้งปุถุชน มุ่งมรรคผลนิพพาน อย่าเป็นผู้ที่มีทิฏฐิมานะตัวตนมาก เหมือนพากันเป็นอยู่อย่างนี้แหละ เขาเรียกว่าทิฏฐิพระ มานะของปุถุชน เราต้องอย่าเป็นผู้มีทิฏฐิมานะเห็นแก่ตัว เราอย่าพากันไปก๋าไปกร่าง การอ่อนน้อมถ่อมตน คือคุณธรรมของผู้ที่จะเป็นพระอริยเจ้า เพราะคนเราน่ะ คนไม่ดีมันก็ไม่กี่เดือนกี่ปีมันก็ไปหากัน เพราะว่ามันไม่ละทิฏฐิ เรานี่นะอย่าเป็นผู้มีทิฏฐิมานะความเห็นแก่ตัวนะ ฉันข้าวก็เสียข้าว ฉันน้ำก็เสียน้ำ เรามีทิฏฐิมานะตัวตน
เราจะเป็นพระอย่างไร มาเอาตัวเอาตน เราต้องเสียสละ เข้าวัดอย่างนี้ พวกหมูหมากาไก่ มันยังไม่มีทิฏฐิมากเท่ากับพวกที่มีมิจฉาทิฏฐิ อย่างนี้มันเป็นแก๊งค์นะเราต้องทำลายแก๊งค์ที่มันอยู่ในใจของเรานี่ เพราะว่าไม่กี่เดือน คนประเภทเดียวกันมันก็ไปหากัน ทาสีดำๆ ก็ไปหากัน สีเทาๆ ก็ไปหากัน ทาสีด่างๆ ก็ไปหากัน สีบริสุทธิ์มันก็ไปหากัน ทิฏฐิมานะตัวตนนี้ทุกคนต้องละลาย มันถึงจะมีศีล ถึงจะมีสัมมาสมาธิ ถึงจะมีปัญญาจริง ถึงละตัวตนได้ จะได้มีปัญญารู้แจ้งว่า โอ้...เราทำไมดีอย่างนี้ เพราะว่าพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นดีนั้นประเสริฐ
ผู้ที่มาบวช บวชเก่าก็ยิ่งไม่มีทิฏฐิมานะ ไม่มีตัวไม่มีตน ผู้มาบวชใหม่ ต้องฝึกตนปฏิบัติตน จะได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง อย่ามาตุบป่องตุบป่อง น่าเกลียดอยู่ไม่ได้นะ ทุกคนอย่าไปเก้อเขินอย่าไปอาย โจรกลับใจมันก็อายนะ เก้อเขินนะ เป็นธรรมดานั่นแหละ ทำไปไม่กี่วันกี่เดือนกี่ปี มันก็เป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่มีใครถึงปริญญาเอกทันทีหรอก มันก็ต้องผ่านอนุบาล ผ่านประถม ผ่านมัธยม ผ่านอุดมศึกษา ผ่านปริญญาตรี ปริญญาโท มันถึงปริญญาเอก เพราะนี้เป็นภาคปฏิบัติของเราทุกคน เพราะความประพฤติการปฏิบัติ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เป็นการประพฤติการปฏิบัติ ให้เป็นกุศลกรรม คือการกระทำดีของเรามันพัฒนาไป เพราะถ้าทำอย่างนี้นะ สถานการณ์มันจะเย็นลง ทั้งตัวเองและ ผู้อื่น เราทุกคนจะได้เป็นพระ เป็นสมณะ ถ้าเราปฏิบัติไม่ถูกต้อง เป็นพระไม่ได้ เป็นสมณะไม่ได้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างวัน มันเป็นทางแห่งการประพฤติการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ให้เราพัฒนาปัญญาขึ้นสู่วิปัสสนา
เราทุกๆ คนทุกท่านปฏิบัติได้เหมือนๆ กัน ไม่ยิ่งไม่หย่อนกว่ากันนะ เราต้องเอาศักยภาพที่ประเสริฐออกมาใช้ออกมาประพฤติปฏิบัติ ถึงเวลาแล้วสมควรแล้วที่เราจะได้ฉายแสง
"ความดี ความถูกต้อง ธรรมวินัย" เท่านั้น จะเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน ทำอะไรนั้นน่ะ "ศีล คือความรับผิดชอบ สมาธิ คือความหนักแน่น ปัญญา คือรู้จักรู้แจ้ง ปล่อยวาง เสียสละ อบรมบ่มอินทรีย์ พัฒนาตัวเองอย่างนี้ตลอดไป"