วัดป่าสุคะโตตั้งอยู่ที่หมู่ 8 บ้านใหม่ไทยเจริญ ตำบลท่ามะไฟหวาน อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ห่างจากตัวจังหวัดชัยภูมิประมาณ 50 กิโลเมตร บนเนื้อที่ 500 ไร่ ในเทือกเขาภูแลนคาหรือภูโค้ง ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 470 เมตร
หลวงพ่อคำเขียนสุวณฺโณ ได้กล่าวถึงวัดป่าสุคะโต และ ความตั้งใจในการสร้างวัดป่าสุคะโตไว้ว่า
“สุคะโต เป็นสถานที่ให้ผู้มาที่นี่ก็มาดี ผู้ออกจากที่นี่ไปก็ไปดีไปอยู่ที่ไหนก็ไปดี เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม ผู้คน แผ่นดิน แม่น้ำ ป่าไม้ อากาศ นี่แหละ ไปดี มาดี อยู่ดี เกิดจากคนก็ได้ เกิดจากดิน น้ำ ลม ไฟ ก็ได้ ไม่ใช่เราคนเดียว ให้ดินดี ให้ดินไปดีมาดี ป่าไปดีมาดี หลายๆอย่าง เรียกว่าสุคะโต
ตั้งใจสร้างสุคะโตให้เป็นที่ตั้งที่เกิดของความดีหลายๆอย่าง เรามาอยู่ที่นี่แม้แต่ดินเราก็ไม่ขุด การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เราจะไม่เบียดเบียนอะไรไม่กระทบกระเทือนอะไร ให้เป็นที่ปลอดจากพิษภัยต่างๆ อยู่ด้วยกันทั้งสัตว์ ทั้งคน ทั้งป่าไม้ ทั้งแม่น้ำ ทั้งแผ่นดิน เป็นแหล่งชีวิตทุกๆด้านให้ครบวงจร ความตั้งใจที่มาอยู่ที่นี่จนถึงมรรคผลนิพพานนั่นแหละ
ขอรับผิดชอบตรงนี้และขอท้าทายในเรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า ให้มาพิสูจน์ช่วยกันดู มีสถานที่ เราไม่พูดเฉยๆ มีที่ให้อยู่ มีข้าวให้กิน เป็นเพื่อน เป็นมิตร แนะนำพร่ำสอน ทำให้ดู อยู่ให้เห็น พูดให้ฟัง ถ้ามีคนมาอยู่ที่นี่ก็สมความตั้งใจ มาปฏิบัติธรรมก็เป็นความประสงค์อยู่แล้ว”
ครูอาจารย์
หลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณ เกิดที่บ้านหนองเรือ ตำบลหนองเรือ (ชื่อเดิมว่าตำบลบ้านเม็ง) อำเภอหนองเรือ (เดิมอยู่ในเขตอำเภอเมือง) จังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2479 ตรงกับวันพุธ แรม 9 ค่ำ เดือน 9 ปีชวด โยมพ่อชื่อ นายสมาน เหล่าชำนิ โยมแม่ชื่อ นางเฮียน แอมปัชฌาย์ (เหล่าชำนิ) มีพี่น้องรวมเจ็ดคน ท่านเป็นบุตรคนที่สาม
เมื่อท่านอายุย่างเข้า 10 ขวบ บิดาและมารดาของท่านได้ย้ายไปอยู่บ้านหนองแก อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ทำการบุกเบิกที่ทำกิน ประกอบอาชีพทำไร่ ทำนา
ชีวิตวัยเด็กของท่านเหมือนกับเด็กไทยในชนบททั่วไปที่ครอบครัวทำเกษตรกรรม มีอาชีพทำนา ทำสวน ทำไร่ และเลี้ยงสัตว์ ครอบครัวสามารถพึ่งพาตนเองได้ ถึงแม้ไม่มีเงินก็ไม่เดือดร้อน เพราะมีข้าว ปลา อาหาร ผัก ผลไม้ รวมถึงมียาสมุนไพรอยู่รอบบ้าน และเลี้ยงวัว เลี้ยงควายไว้ใช้แรงงาน ท่านใช้ชีวิตวัยเด็กคลุกคลีกับการงานเหล่านี้อยู่กับครอบครัว แต่ไม่มีโอกาสได้เที่ยวเล่นสนุกสนานเช่นเด็กทั่วไป เนื่องจากบิดาของท่านเสียชีวิตตั้งแต่ท่านอายุได้ประมาณ 10 ขวบ ประกอบกับพี่ของท่าน 2 คนไปอยู่กับปู่และย่า ท่านจึงต้องรับผิดชอบการงานแทนบิดาของท่าน
ท่านบวชเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ 15 ปี หลังจากบวชอยู่ได้ประมาณสองปีก็จำต้องลาสิกขา ออกไปช่วยงานของครอบครัวอย่างเต็มที่ ด้วยความจริงจังกับงานและขยันหมั่นเพียรอย่างสม่ำเสมอนี้เอง ทำให้ท่านเป็นที่ยกย่องของคนในหมู่บ้าน
ในช่วงเวลานั้นเองท่านได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาคาถาอาคม ทำน้ำมนต์ ปัดรังควาน ไล่ผี และรักษาคนป่วยไปด้วย ฉะนั้นทุกคืนก่อนนอนท่านต้องสวดมนต์ ภาวนา บริกรรม ท่องคาถาอาคมต่างๆจนคล่องแคล่ว เกิดความชำนาญ จนสามารถใช้วิชาเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี ยามชาวบ้านเดือดร้อนท่านได้เข้าทำการช่วยเหลือ นับตั้งแต่เจ็บไข้ได้ป่วย ไล่ผี คลอดบุตร ตลอดจนผูกข้อมือให้เด็ก จนเป็นที่เรียกขานกันในหมู่บ้านว่า ท่านเป็นหมอธรรม
ก่อนมาปฏิบัติธรรมในสายหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ท่านได้ฝึกสมาธิแบบพุทโธ เมื่อปฏิบัติมาเป็น เวลานานจึงทำให้จิตสงบได้บ้าง แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจนัก เมื่ออายุย่างเข้า 30 ปี หลังจากมีครอบครัวมาได้ 7-8 ปี ท่านได้เริ่มแสวงหาครูบาอาจารย์ที่แนะนำเรื่องสมาธิ วิปัสสนา ตามแนวทางอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับตัวท่านบ้าง
เมื่อปลายปี พ.ศ. 2509 ท่านมีโอกาสได้ไปศึกษา และปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อเทียนที่ป่าพุทธยาน จังหวัดเลย หลวงพ่อเทียนสอนให้สร้างจังหวะและเดินจงกรม ท่านเคยฝึกหัดมาแบบพุทโธ โดยนั่งนิ่งๆ และสามารถเข้าถึงความสงบได้อย่างว่องไว ทำให้ไม่ชอบการสร้างจังหวะ แต่หลวงพ่อเทียนสอนไม่ให้สงบแต่เพียงอย่างเดียว สอนให้รู้สึกตัวอยู่เสมอ กำหนดรู้ไปกับการสร้างจังหวะ และไม่ให้เข้าไปอยู่กับความสงบ
คำสอนของหลวงพ่อเทียนนี้ สวนทางกับวิธีที่ท่านฝึกหัดมา ทำให้บางทีท่านไม่อยากทำ เกิดความรู้สึกคัดค้านอยู่ในใจ แต่ในที่สุดท่านก็ตกลงทำ เพราะอย่างไรก็ตั้งใจมาปฏิบัติแล้ว จึงทดลองดู โดยพยายามทวนความรู้สึกเดิม ตั้งใจสร้างจังหวะ เพื่อปลูกสติสัมปชัญญะ และสร้างสติ จากนั้นจึงเริ่มต้นปฏิบัติไปเรื่อย ๆ
ในการปฏิบัตินั้น เมื่อเริ่มคิด ให้กลับมาอยู่กับการสร้างจังหวะ จะเกิดความสงบ ความรู้สึกตัว ไม่เข้าไปอยู่ในความสงบ รู้กาย รู้ใจ ชัดขึ้น มีสติสัมปชัญญะมากขึ้น รู้ทันต่อการเคลื่อนไหว รู้ทันต่อใจ ที่คิด เกิดปัญญาญาณขึ้นมา รู้เรื่องรูป เรื่องนาม เรื่องกาย เรื่องใจ ตามความเป็นจริง ลำดับไปจนจบอารมณ์รูปนามเบื้องต้น จากนั้นจิตใจของท่านได้เปลี่ยนไป พ้นจากภาวะเดิม ความลังเลสงสัยหมดไป ได้รู้เรื่องสมถะ และเรื่องวิปัสสนา ท่านรู้สึกว่าความทุกข์ที่มีอยู่หมดไป 60 เปอร์เซ็นต์ จึงมั่นใจในคำสอนหลวงพ่อเทียนมาก จนไม่สนใจต่อความรู้เดิมที่มีอยู่
คาถาอาคมเครื่องรางของขลังที่เคยเรียนมานั้น ท่านเริ่มเห็นว่าเป็นเรื่องสมมติ พิธีรีตองต่าง ๆ ที่เคยยึดมั่นถือมั่นนั้นก็เริ่มวางได้ มีความเชื่อในการกระทำ รู้เรื่องบุญ เรื่องบาป เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ รู้เรื่องศาสนา พุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ท่านมีความรู้สึกเหมือนว่า แบกของหนักมา 100 กิโลกรัม พอเกิดปัญญาญาณขึ้น น้ำหนักที่แบกนั้นหายไป 60 กิโลกรัมทันที
ท่านจึงคิดไปว่า เมื่อทำเพียงเท่านี้ ความทุกข์ที่มียังหลุดไปได้ถึงเพียงนี้ หากทำให้มากกว่านี้ จะเป็นอย่างไร ทำให้ท่านคิดปฏิบัติต่อไป และมีความมั่นใจต่อการเจริญสติสัมปชัญญะแบบเคลื่อนไหว จนในที่สุดท่านไม่คิดแสวงหาครูบาอาจารย์ และไม่แสวงหาวิธีปฏิบัติตามแนวทางอื่นอีกเพราะได้บทเรียนที่สมบูรณ์แบบที่สุดในชีวิต
ในช่วงที่ยังมีชีวิต ท่านประจำอยู่วัดป่าสุคะโต อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ และได้ดูแลวัดภูเขาทอง บ้านท่ามะไฟหวาน และวัดป่ามหาวัน(ภูหลง) ด้วย ซึ่งทั้งสองวัดอยู่ไม่ไกลจากวัดป่าสุคะโตนัก หลวงพ่อคำเขียนละสังขารคืนสู่ธรรมชาติอย่างสงบ ที่กุฏิวัดป่าสุคะโต เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2557 เวลา 04.59 น. สิริอายุรวม 78 ปี 46 พรรษา