แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้พระบรมศาสดา ได้ทรงสอนวิธีปฏิบัติทำสมาธิ ซึ่งประการแรกได้แสดงอธิบายไปแล้ว คือโดยปรกติเมื่อยังไม่ปฏิบัติ จิตย่อมมีอารมณ์มากเพราะกำหนดหรือทำไว้ในใจ อาศัยนิมิตคือเครื่องกำหนดหมายของจิต ในอารมณ์นั้น ในอารมณ์นี้ อันเป็นที่ตั้งของฉันทราคะความยินดีติดใจ ด้วยอำนาจความพอใจบ้าง อันเป็นที่ตั้งของโทสะความโกรธแค้นขัดเคืองบ้าง อันเป็นที่ตั้งของโมหะความหลงบ้าง จิตใจจึงมีอกุศลวิตก ความตรึกนึกคิดอันเป็นอกุศลต่างๆ อาศัยฉันทะคือความพอใจบ้าง อาศัยโทสะบ้าง อาศัยโมหะบ้าง
ฉะนั้น ประการแรกจึงได้ตรัสสอนให้กำหนดทำไว้ในใจซึ่งนิมิต คือเครื่องกำหนดหมายของจิตอย่างอื่น จากนิมิตที่อาศัยอกุศลนั้น และเมื่อได้ปฏิบัติดั่งนี้แล้ว ถ้าอกุศลวิตกเหล่านั้นก็ยังไม่สงบ ยังบังเกิดขึ้นต่อไป
โทษของอกุศลวิตก
จึงได้ตรัสสอนวิธีที่ ๒ ให้พิจารณาโทษของอกุศลวิตกเหล่านั้นว่า อกุศลวิตกเหล่านั้น เป็นอกุศล คือไม่ใช่เป็นกิจของคนฉลาด ไม่ใช่เป็นของดี มีโทษ เป็นความเดือดร้อน ทำจิตใจให้เศร้าหมอง กันให้ไม่ได้สมาธิไม่ได้ปัญญา มีผลเป็นทุกข์ คือทำให้เกิดทุกข์เดือดร้อนต่างๆ อย่างนี้ๆ เมื่อพิจารณาไปดั่งนี้ อกุศลวิตกทั้งหลายก็จะสงบไป
เปรียบเหมือนอย่างว่า บุรุษสตรีซึ่งยังอยู่ในเยาว์วัย ยังพอใจการประดับตบแต่งร่างกาย หากว่าจะมีศพงู ศพสุนัข หรือศพมนุษย์มาแขวนที่คอ ก็ย่อมจะอึดอัดเอือมระอาไม่พอใจ จะต้องสลัดศพเหล่านั้นออกไปเสีย นี้ฉันใด ผู้ปฏิบัติธรรมก็ฉันนั้น เมื่อใช้อารมณ์อื่นคือใช้นิมิตอย่างอื่น จากนิมิตที่เป็นที่ตั้งของอกุศลวิตกทั้งหลายดังกล่าวในข้อ ๑ แล้ว คือว่านำจิตมาตั้งอยู่ในกรรมฐาน (เริ่ม) ข้อใดข้อหนึ่งแล้ว อันอาศัยกุศล จิตก็ยังไม่สงบจากอกุศลวิตกทั้งหลาย จึงให้พิจารณาโทษ ว่าอกุศลวิตกทั้งหลาย ที่ยังเกิดขึ้นในจิต ยังคล้องจิตอยู่นั้น ก็เป็นสิ่งที่เป็นอกุศล มีโทษ มีทุกข์เป็นวิบาก น่ารังเกียจ น่าเอือมระอา เหมือนอย่างซากศพต่างๆ คล้องอยู่ที่คอของชายหนุ่มหญิงสาวฉะนั้น ก็จะเกิดความไม่ชอบ ไม่ติดใจ ในอกุศลวิตกทั้งหลาย ย่อมจะสลัดออกไป อกุศลวิตกคือความตรึกนึกคิดที่เป็นอกุศลทั้งหลาย ก็จะสงบไปได้ ดังนี้เป็นข้อที่ ๒
ข้อตรัสสอนวิธีที่ ๓
และเมื่อปฏิบัติอย่างนี้แล้ว ถ้าอกุศลวิตกทั้งหลายก็ยังไม่สงบ จึงตรัสสอนวิธีที่ ๓ คือให้ใช้ความไม่ระลึกถึง ไม่ใส่ใจถึง เมื่อทำการไม่ระลึกถึงไม่ใส่ใจถึงดั่งนี้แล้ว อกุศลวิตกทั้งหลายก็จะสงบไปได้ เหมือนอย่างบุรุษบุคคล เมื่อมองเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่อยู่ในคลองของจักษุคือดวงตา
ไม่ต้องการที่จะเห็นสิ่งนั้นก็หลับตาเสีย หรือเบือนหน้าไปทางอื่น หันหน้าไปทางอื่น พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ดั่งนี้
กามนิมิต
ตามวิธีที่ตรัสสั่งสอนนี้ พิจารณาดูแล้วก็จะเห็นได้ว่า การที่จะถอนนิมิตคือเครื่องกำหนดหมายของจิตใจในอารมณ์ต่างๆ นั้น โดยเฉพาะอกุศลนิมิต คือนิมิตเครื่องกำหนดหมายที่เป็นอกุศลทั้งหลาย อันเป็นที่ตั้งของราคะหรือฉันทะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้างนั้น สำหรับจิตสามัญชนซึ่งเป็นกามาพจร คือหยั่งลงไปในกาม ยังมีปรกติเพลิดเพลินอยู่ในกามคุณารมณ์ทั้งหลาย กามนิมิต อันเป็นอกุศลนิมิตเหล่านี้ จึงมักฝังแน่นอยู่ในจิตใจ การที่จะน้อมนำเอากุศลนิมิตคือกรรมฐานทั้งหลายมาปฏิบัติ เพื่อที่จะตอกกามนิมิต หรืออกุศลนิมิตที่เสียบอยู่เดิมให้หลุดไปนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ง่าย ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมจะรู้สึกได้ด้วยตนเอง ถ้าหากว่าทำได้ง่ายแล้ว ก็จะได้สมาธิได้ปัญญากันง่าย แต่ผู้ปฏิบัติโดยมากนั้น รู้สึกว่าได้สมาธิได้ปัญญากันยาก
และการปฏิบัติทั้งปวงของผู้ปฏิบัติธรรมทั่วไป ก็ย่อมตั้งต้นด้วยข้อที่ ๑ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้แล้วทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เมื่อยังไม่สามารถจะใช้กรรมฐานที่ได้เริ่มนำมาปฏิบัติ อันเป็นของใหม่ ตอกกามนิมิตหรืออกุศลนิมิตเก่าให้หลุดไปได้ ก็ต้องใช้ข้อที่ ๒ มาช่วย คือพิจารณาให้เห็นโทษของอกุศลวิตกทั้งหลายด้วยปัญญานั่นเอง ว่าเป็นอกุศลไม่ดีอย่างนี้ๆ มีโทษอย่างนี้ๆ มีทุกข์เป็นวิบากคือเป็นผลอย่างนี้ๆ และแม้เมื่อพิจารณาโทษแล้ว ก็ยังไม่สามารถที่จะสงบรำงับอกุศลวิตกได้ ก็ให้มาใช้วิธีที่ ๓ ช่วย คือไม่ระลึกถึง ไม่ใส่ใจถึง หยุดความระลึกถึง หยุดความใส่ใจถึง เหมือนอย่างมีอะไรที่มาอยู่จำเพาะหน้าที่ตามองเห็น ไม่ต้องการจะดูก็หลับตาเสีย
หรือว่าเบือนหน้าไปทางอื่นฉะนั้น ก็เป็นวิธีที่ช่วยอีกวิธีหนึ่ง อันเป็นวิธีที่ ๓ แต่ก็ต้องเริ่มด้วยวิธีที่ ๑ ด้วยกันทั้งนั้น คือผู้ปฏิบัติธรรมก็นำเอากรรมฐานมาตั้งกำหนดอยู่ในใจ เช่น ตั้งสติกำหนดในสติปัฏฐานทั้ง ๔ กายเวทนาจิตและธรรม
เวทนานุปัสสนาชั้นที่ ๔
พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงสติปัฏฐานทั้ง ๔ เป็นข้อๆ ไป นั้นอย่างหนึ่ง ได้ทรงยกเอาอานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก มาแสดงต่อเนื่องกันไป เริ่มด้วยข้อกาย ๔ ชั้น แล้วก็ต่อไปข้อเวทนา ๔ ชั้น ข้อจิต ๔ ชั้น ข้อธรรมะ ๔ ชั้น โดยที่มีลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์ทั้ง ๔ ชั้นต่อกันไป ได้แสดงมาแล้ว ข้อกาย ๔ ชั้น และข้อเวทนา ๓ ชั้น
จิตตสังขาร
จะแสดงข้อเวทนาชั้นที่ ๔ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอน ให้ศึกษาว่าเราจักสงบรำงับจิตสังขารเครื่องปรุงจิตหายใจเข้า ศึกษาว่าเราจักสงบรำงับจิตสังขารเครื่องปรุงจิตหายใจออก และได้มีอธิบายไว้แต่ดั้งเดิมมาโดยใจความว่า ในข้อนี้จะมีอธิบายอย่างไร ก็อธิบายจับแต่จิตสังขารว่าคืออะไร จิตสังขารนั้นแปลว่าเครื่องปรุงจิต และมีอธิบายว่าได้แก่ สัญญา ความจำหมาย เวทนา ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข
โดยที่มีอธิบายสืบเนื่องกันมาตั้งแต่ข้อกาย ว่าด้วยสามารถแห่งการหายใจเข้ายาว ด้วยสามารถแห่งการหายใจออกยาว ด้วยสามารถแห่งการหายใจเข้าสั้น ด้วยสามารถแห่งการหายใจออกสั้น
ด้วยสามารถแห่งกำหนดรู้ทั่วถึงกายทั้งหมดหายใจเข้า ด้วยสามารถแห่งกำหนดรู้ทั่วถึงกายทั้งหมดหายใจออก ด้วยสามารถแห่งสงบรำงับกายสังขารเครื่องปรุงกาย คือลมหายใจเข้าออกหายใจเข้า ด้วยสามารถแห่งสงบรำงับกายสังขารเครื่องปรุงกาย คือลมหายใจเข้าออกหายใจออก
ก็คือเป็นการปฏิบัติในข้อกาย ๔ ชั้นนั่นเอง แล้วก็มาเข้าข้อเวทนา ด้วยสามารถแห่งการรู้ทั่วถึงปีติหายใจเข้า ด้วยสามารถแห่งรู้ทั่วถึงปีติหายใจออก ด้วยสามารถแห่งรู้ทั่วถึงสุขหายใจเข้า ด้วยสามารถแห่งรู้ทั่วถึงสุขหายใจออก ด้วยสามารถแห่งรู้ทั่วถึงจิตสังขารเครื่องปรุงจิตหายใจเข้า ด้วยสามารถแห่งรู้ทั่วถึงจิตสังขารเครื่องปรุงจิตหายใจออก
เจตสิกธรรม
สัญญา เวทนา ที่บังเกิดขึ้นในการปฏิบัติทุกขั้นมาเป็น เจตสิกธรรม ธรรมะที่เกิดขึ้นในใจ เจตสิกธรรมเหล่านั้นผูกพันอยู่ในจิต จึงเป็นจิตสังขารเครื่องปรุงจิต ฉะนั้น จึงพึงเข้าใจว่าเวทนาในที่นี้หมายเอาปีติและสุข อันรวมเข้าเป็นสุขเวทนานั้นเอง อันเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากข้อกาย เมื่อปฏิบัติในข้อกายมาโดยลำดับแล้ว เมื่อสงบรำงับกายสังขารเครื่องปรุงกาย คือลมหายใจเข้าออกได้ จิตเริ่มได้สมาธิ ย่อมจะได้ปีติได้สุข อันเป็นตัว เวทนา และพร้อมทั้ง สัญญา คือความกำหนดหมาย หรือความจำหมาย เป็น จิตสังขาร เครื่องปรุงจิต คือปรุงจิตนี้ให้ติด ให้ติดอยู่ในปีติ ให้ติดอยู่ในสุข และใน สัญญา ซึ่งเป็นความจำหมายนั้น
เหตุที่ตรัสสอนให้รำงับจิตสังขาร
เพราะฉะนั้น จึงตรัสสอนให้ศึกษาสงบดับรำงับจิตสังขารคือเครื่องปรุงจิตนั้น อันหมายความว่าระวังใจไม่ให้ติดยึดอยู่ในปีติในสุข
แต่ไม่ใช่หมายความว่าดับปีติดับสุขหมด ปีติสุขนั้นก็ให้เป็นไปตามขั้นตอนของปีติสุขที่บังเกิดขึ้นเอง แต่ว่าไม่ยึดไม่ติด เพราะความยึดติดนั้นเป็นตัณหาเป็นอุปาทาน คือเป็นความดิ้นรนทะยานอยากความยึดถือ ทำให้การปฏิบัติไม่ก้าวหน้า จึงให้คอยศึกษาสำเหนียกจิตใจของตนเองที่จะสงบดับรำงับจิตสังขาร คือไม่ให้ สัญญาเวทนา คือปีติสุขนั้นเข้ามาปรุงจิตใจให้ติดยินดี ปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอนที่บังเกิดขึ้น
สมาธิต้องอาศัยปีติสุข
เพราะว่าสมาธินี้ต้องอาศัยสุข มีสุขเป็นที่ตั้ง จึงจะก้าวหน้า จึงจะยังดับสุขทั้งหมดไม่ได้ ให้มีไปตามขั้นตอนของการปฏิบัติ เป็นแต่เพียงว่าคอยศึกษาระมัดระวังจิตไม่ให้ติดในปีติสุขที่บังเกิดขึ้นตามขั้นตอนนั้น
ข้อที่หมายถึงเวทนานุปัสสนา
เวทนา ด้วยอำนาจแห่งสงบรำงับจิตสังขาร หายใจเข้าหายใจออก เป็น อุปปัฏฐานะ คือเป็นที่เข้าไปตั้งแห่งจิต สำหรับจิตกำหนดเป็นอารมณ์ สติก็ได้แก่ อนุปัสสนาญาณ คือความหยั่งรู้พิจารณาตามรู้ตามเห็น เวทนาเป็น อุปปัฏฐานะ คือเป็นอารมณ์ที่เข้าไปตั้งแห่งจิต สำหรับจิตกำหนดเป็นอารมณ์ แต่เวทนานั้นไม่ใช่สติ สตินั้นเป็นอุปปัฏฐานะ คือเป็นเครื่องเข้าไปตั้งของจิตด้วย และเป็นตัวสติเองด้วย พิจารณาตามดูตามรู้เวทนานั้น ด้วยสตินั้น ด้วยญาณคือความหยั่งรู้นั้น
เพราะฉะนั้น จึงเป็นสติปัฏฐานะภาวนาการอบรมปฏิบัติสติปัฏฐาน ในข้อเวทนานุปัสสนา คือพิจารณาตามรู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย ดั่งนี้
ก็เป็นอันครบเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๔ ชั้น ที่อาศัยอานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นเครื่องนำ ซึ่งเวทนาชั้นที่ ๑ ก็ได้แก่ศึกษาว่าเราจักรู้ทั่วถึงปีติหายใจเข้าหายใจออก เวทนาขั้นที่ ๒ ก็ได้แก่ศึกษาว่าเราจักกำหนดรู้ทั่วถึงสุขหายใจเข้าหายใจออก เวทนาข้อที่ ๓ ซึ่งเป็นขั้นที่ ๓ ว่า ศึกษาว่าเราจักกำหนดรู้จิตสังขาร คือเครื่องปรุงจิตหายใจเข้าหายใจออก เวทนาชั้นที่ ๔ ว่าศึกษาว่าเราจักสงบรำงับจิตสังขาร หายใจเข้าหายใจออก ดั่งนี้
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป