แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
พระบรมศาสดาได้ตรัสสอนสติปัฏฐานทั้ง ๔ ที่ตั้งสติพิจารณาตามดูตามรู้ตามเห็นกายเวทนาจิตธรรม และในข้อแรกคือข้อกายนั้นได้แสดงตั้งแต่ข้อสติกำหนดลมหายใจเข้าออกมาโดยลำดับ จนถึงข้อสุดท้ายคือพิจารณาสรีระศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้าเทียบเข้ามาที่กายนี้ ว่ากายนี้ก็จะต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ล่วงความเป็นอย่างนั้นไปได้
โดยที่ตรัสสอนให้พิจารณาสรีระศพว่า เหมือนอย่างว่าสรีระศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า ซึ่งใช้พิจารณาดูไปด้วยใจตามที่ตรัสสอนไว้นั้น หรือว่าได้ไปดูศพ ซึ่งในปัจจุบันนี้ไม่มีการไปทิ้งไว้ในปาช้าเหมือนอย่างในสมัยโบราณ ก็อาจจะไปดูศพที่หมอผ่าตัดที่โรงพยาบาลก็ได้ หรือจะไปดูที่พิพิธภัณฑ์กรรมฐาน ตึก ภปร. วัดบวรนิเวศวิหาร นี้ก็ได้
แม้ว่าจะไม่ตรงกันทีเดียวกับที่ตรัสไว้ ก็ไปดูพิจารณาโดยที่เป็นสรีระศพเหมือนกัน หรือแม้เป็นส่วนต่างๆ เป็นอาการต่างๆ ในร่างกายอันนี้ที่ตรัสสอนให้พิจารณา เป็นอาการ ๓๑ - ๓๒ ตรัสสอนพิจารณาด้วยว่าเป็นของปฏิกูลน่าเกลียด ก็ดูได้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เช่นเดียวกัน
ข้อพิจารณาสรีระศพ
และที่ตรัสเอาไว้ในพระสูตรนี้ ก็ตรัสไว้เป็นป่าช้า ๙ ประการ อันหมายถึงว่าเป็นสรีระศพ หรือซากศพ ๙ ประการ ตั้งแต่เมื่อเป็นซากศพที่ตายวันหนึ่งสองวัน จนถึงเป็นกระดูกผุป่น จะได้แสดงทบทวนตามที่ตรัสไว้ในพระสูตรก่อน ที่ตรัสสอนว่า เหมือนอย่างว่า จะพึงเห็นสรีระศพคือซากศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า คำว่า เหมือนอย่างว่า นั้นก็มีความหมายถึงเป็นคำเทียบเคียง ต้องการที่จะให้ยกเอาสรีระศพตามที่ตรัสสอนนั้น แม้ว่าจะไม่ได้เห็นจริงด้วยตาตนเอง ก็ให้พิจารณาเหมือนอย่างว่าเห็น คือนึกถึงศพที่ตายแล้ววันหนึ่งสองวันสามวัน ที่ขึ้นพองมีสีเขียวน่าเกลียด มีน้ำหนองไหลน่าเกลียด เทียบเข้ามาว่าแม้กายนี้ก็จะต้องเป็นอย่างนั้น ไม่ล่วงความเป็นอย่างนั้นไปได้ เพราะว่ากายอันนี้ เมื่อสิ้นชีวิตแล้วหากทิ้งเอาไว้ก็จะต้องเป็นเหมือนเช่นนั้น คือจะต้องขึ้นพองมีสีเขียวน่าเกลียด มีน้ำหนองไหลน่าเกลียดเช่นเดียวกัน
อนึ่ง ตรัสสอนให้พิจารณาว่า เหมือนอย่างว่าจะพึงเห็นสรีระศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า อันฝูงกาจิกกิน หรือฝูงแร้งจิกกิน หรือนกตะกรุมจิกกิน หรือสุนัขกัดกิน หรือสุนัขจิ้งจอกกัดกิน หรือ ปาณกชาติ คือหมู่สัตว์เล็กน้อยทั้งหลายต่างๆ ชนิดกัดกิน และให้พิจารณาน้อมเข้ามาที่กายอันนี้ว่า หลังจากที่สิ้นชีวิตแล้วหากเขานำไปทิ้งไว้ในป่า ก็จะต้องถูกสัตว์ทั้งหลายมาจิกกิน หรือมากัดกินเหมือนเช่นนั้น
อนึ่ง ตรัสสอนให้พิจารณาว่า เหมือนอย่างว่าจะพึงเห็น สรีระศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นซากศพที่มีเนื้อ มีเลือด มีเส้นเอ็นรึงรัด พิจารณาเทียบเข้ามาดูที่กายอันนี้ว่า หากถูกเขานำไปทิ้งไว้ในป่าช้าหรือในป่า หลังจากที่ได้ถูกสัตว์ทั้งหลายจิกกินหรือกัดกินแล้ว โครงร่างกระดูกก็ยังมีเนื้อมีเลือด ยังมีเส้นเอ็นรึงรัด
อนึ่ง ตรัสสอนให้พิจารณาว่า เหมือนอย่างว่าจะพึงเห็นสรีระศพ ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้าเป็นโครงร่างกระดูกที่ไม่มีเนื้อยังเปื้อนเลือดยังมีเส้นเอ็นรึงรัด น้อมเข้ามาพิจารณากายนี้ว่า หากสิ้นชีวิตแล้ว และถูกทิ้งไว้ในป่าหรือในป่าช้า และหลังจากที่ได้ถูกสัตว์ทั้งหลายจิกกินกัดกิน ก็จะยังมีเนื้อมีเลือดมีเส้นเอ็นรึงรัด และแล้วก็จะไม่มีเนื้อ แต่ยังเปื้อนเลือดและยังมีเส้นเอ็นรึงรัด
อนึ่ง ให้พิจารณาว่า เหมือนอย่างว่าจะพึงเห็นสรีระศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า เป็นโครงร่างกระดูกที่ไม่มีเนื้อไม่มีเลือด แต่ยังมีเส้นเอ็นรึงรัดเป็นโครงร่างกระดูกอยู่ เทียบเข้ามาที่กายอันนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน หลังจากสิ้นชีวิตแล้ว หากถูกนำไปทิ้งไว้ในป่า หรือในป่าช้า และหลังจากที่ได้ถูกสัตว์ทั้งหลายจิกกินกัดกินจนไม่มีเนื้อไม่มีเลือด แต่เมื่อยังมีเส้นเอ็นรึงรัดอยู่ก็ยังคงคุมกันเป็นร่างกระดูก หรือเป็นเป็นโครงกระดูกอยู่
พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนให้พิจารณาศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า ว่าเหมือนอย่างว่าจะพึงเห็นสรีระศพดังที่กล่าวมา และน้อมเข้ามาที่กายอันนี้ พิจารณาดูว่าหลังจากที่สิ้นชีวิต หากถูกนำไปทิ้งไว้ในป่าช้าหรือในป่า ก็จะเป็นเช่นเดียวกัน วันนี้แสดงเพียง ๕ ข้อในป่าช้า ๙
เวทนานุปัสสนาชั้นที่ ๓
อนึ่ง จะได้แสดงอานาปานสติที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ในสติปัฏฐานทั้ง ๔ เป็นชั้นๆ ขึ้นไป
อานาปานสติในข้อกายก็มี ๔ ชั้น ในข้อเวทนาก็มี ๔ ชั้น ในข้อต่อไปก็มีข้อละ ๔ ชั้น และในข้อเวทนานั้นได้แสดงแล้ว ๒ ชั้น จึงถึงชั้นที่ ๓ ที่ตรัสสอนไว้ว่า ให้ศึกษาคือสำเหนียกกำหนดว่าเราจักรู้ทั่วถึงจิตตสังขารเครื่องปรุงจิต หายใจเข้า ศึกษาว่าเราจักรู้ทั่วถึงจิตตสังขารเครื่องปรุงจิต หายใจออก
ท่านอธิบายไว้ว่า ด้วยสามารถแห่งการหายใจเข้ายาว ด้วยสามารถแห่งการหายใจออกยาว ด้วยสามารถแห่งการหายใจเข้าสั้น ด้วยสามารถแห่งการหายใจออกสั้น ด้วยสามารถแห่งความเป็นผู้รู้กายทั้งหมดหายใจเข้า ด้วยสามารถแห่งความเป็นผู้รู้กายทั้งหมดหายใจออก ด้วยสามารถแห่งความเป็นผู้สงบรำงับกายสังขารเครื่องปรุงกายหายใจเข้า ด้วยสามารถแห่งความสงบรำงับกายสังขารเครื่องปรุงกายหายใจออก ด้วยสามารถแห่งความเป็นผู้รู้ทั่วถึงปีติหายใจเข้า (เริ่ม) ด้วยสามารถแห่งความเป็นผู้รู้ทั่วถึงปีติหายใจออก ด้วยสามารถแห่งความเป็นผู้รู้ทั่วถึงสุขหายใจเข้า ด้วยสามารถแห่งความเป็นผู้รู้ทั่วถึงสุขหายใจออก
จิตสังขารเครื่องปรุงจิต
สัญญา คือความจำได้หมายรู้ เวทนา คือความรู้สึก เวทนาทั่วไปนั้น ก็คือความรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข แต่ว่าในที่นี้มุ่งถึงปีติสุข รวมเข้าเป็นตัวสุขเวทนา สัญญา เวทนา หรือ เวทนา สัญญา นี้ เป็นเจตสิกธรรม ธรรมะที่เกิดขึ้นในใจ เจตสิกธรรมธรรมะที่เกิดขึ้นในใจ คือสัญญาเวทนานี้ เนื่องด้วยจิตผูกพันอยู่กับจิต จึงเรียกว่าจิตสังขาร ที่แปลว่าเครื่องปรุงจิต นี้คือจิตสังขารเครื่องปรุงจิต
สุขเวทนา ราคะแห่งสมาธิ
จิตสังขารคือเครื่องปรุงจิตนี้ เมื่อว่าถึงเป็นสัญญาเวทนาทั่วไป หากเป็นสุขเวทนาก็ปรุงจิตให้เกิดราคะคือความติดใจยินดี หากเป็นทุกขเวทนาก็ปรุงจิตให้เกิดความยินร้ายโกรธแค้นขัดเคือง หากเป็นอทุกขมสุขเวทนา เวทนาที่ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข ก็ปรุงจิตให้เกิดโมหะคือความหลงติดอยู่
แต่ว่าในที่นี้ ซึ่งในขั้นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน คืออานาปานสติซึ่งมาถึงขั้นนี้ รู้ทั่วถึงจิตสังขารหายใจเข้าหายใจออกนี้ เป็นปีติสุขซึ่งรวมเข้าก็เป็นสุขเวทนา จึงปรุงให้เกิดราคะคือความติดใจยินดี เพราะฉะนั้นจึงได้ตรัสสอนให้ทำความรู้ทั่วถึงจิตสังขาร คือให้รู้จัก สัญญา เวทนา ที่บังเกิดขึ้น อันปรุงจิตให้ยินดีนี้ว่าเป็นตัวสังขาร
กำหนดรู้จิตสังขารอย่างไร
และกำหนดรู้จิตสังขารอย่างไร ได้ตรัสอธิบายไว้ ได้มีท่านอธิบายไว้ต่อไปว่า ด้วยสามารถแห่งการหายใจเข้าหายใจออกยาวเป็นต้น ดั่งที่กล่าวมาแล้วนั้นโดยลำดับ จนถึงด้วยสามารถแห่งความเป็นผู้รู้ทั่วถึงปีติสุขหายใจเข้าหายใจออก เมื่อรู้ความที่จิตเป็นเอกัคคตา คือมีอารมณ์เป็นอันเดียวไม่ฟุ้งซ่าน สติย่อมตั้งมั่น จิตสังขารคือเครื่องปรุงจิตอันได้แก่ สัญญา เวทนา ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ก็กำหนดให้รู้จักด้วยสตินั้น ด้วยญาณคือความหยั่งรู้นั้น และเมื่อคำนึงถึง เมื่อรู้ เมื่อเห็น เมื่อพิจารณา เมื่ออธิษฐานจิต เมื่อน้อมจิตไปด้วยศรัทธาความเชื่อ เมื่อประคองความเพียร เมื่อตั้งสติมั่น เมื่อตั้งจิตให้เป็นสมาธิแล้ว เมื่อรู้ด้วยปัญญา เมื่อรู้ยิ่งธรรมะที่ควรรู้ยิ่ง เมื่อกำหนดรู้ธรรมะที่ควรกำหนดรู้ เมื่อละธรรมะที่ควรละ
เมื่ออบรมทำให้มีขึ้นซึ่งธรรมะที่ควรอบรม เมื่อกระทำให้แจ้งซึ่งธรรมะที่ควรกระทำให้แจ้ง จิตสังขารเครื่องปรุงจิตคือสัญญาเวทนาก็กำหนดรู้ ด้วยสตินั้น ด้วยญาณคือความหยั่งรู้นั้น จิตสังขารย่อมเป็นอันกำหนดรู้แล้วอย่างนี้
เวทนา ด้วยสามารถแห่งความที่รู้ทั่วถึงจิตสังขารเครื่องปรุงจิต หายใจเข้าหายใจออก เป็น อุปปัฏฐานะ คือเป็นอารมณ์ที่ปรากฏ สติเป็น อนุปัสสนาสติ สติที่พิจารณาตามรู้ตามเห็น เวทนาเป็นอุปปัฏฐานะคืออารมณ์ที่ปรากฏ ไม่ใช่สติ สติเป็นตัวความปรากฏด้วย เป็นสติด้วย ย่อมพิจารณาตามรู้ตามเห็นเวทนานั้น ด้วยสตินั้น ด้วยญาณคือความหยั่งรู้นั้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่าสติปัฏฐานภาวนา อบรมสติปัฏฐาน
ข้อพิจารณาตามรู้ตามเห็นในเวทนา ท่านอธิบายไว้อย่างนี้ และในข้อนี้ก็เป็นความจำเป็นที่ผู้ปฏิบัติเมื่อถึงขั้นนี้แล้ว ก็จะต้องปฏิบัติศึกษาให้รู้ทั่วถึงจิตสังขาร หายใจเข้าหายใจออก คือให้รู้ทั่วถึงว่าสัญญาเวทนาที่บังเกิดขึ้นนี้ เป็นเครื่องปรุงจิตได้ คือปรุงจิตให้ยินดีติดอยู่ได้
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป