แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ภาวนาคือการปฏิบัติทำให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น หรือการอบรมปฏิบัติทำให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น มี ๓ คือ บริกัมมภาวนา ภาวนาในบริกรรม อุปจารภาวนา ภาวนาในอุปจารอัปปนาภาวนา ภาวนาในอัปปนา
บริกรรมภาวนา
ข้อแรก บริกัมมภาวนา ภาวนาในบริกรรม บริกรรมแปลว่ากระทำโดยรอบ หมายถึงการเริ่มปฏิบัติตั้งแต่เบื้องต้น เช่น การทำสมาธิภาวนา ปฏิบัติอบรมสมาธิเบื้องต้น ก็ต้องแสวงหากรรมฐานที่เป็นอารมณ์ของสมาธิ เช่น อานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก
ก็ปฏิบัติตั้งสติกำหนดลมหายใจ หายใจเข้าก็ให้รู้ หายใจออกก็ให้รู้ การเริ่มปฏิบัติดั่งนี้เรียกว่าบริกรรม การอบรมปฏิบัติในบริกรรมคือการเริ่มกระทำ อานาปานสติที่ยกขึ้นเป็นตัวอย่างเรียกว่า บริกัมมภาวนา ภาวนาในบริกรรม
อุปจารภาวนา
อุปจาระภาวนา ภาวนาในอุปจาร คำว่า อุปจาร หรือ อุปจาระ นั้น หมายถึงใกล้เคียง เช่น อุปจารของบ้าน ก็หมายถึงที่ใกล้เคียงบ้าน อุปจารของเมืองก็หมายถึงที่ใกล้เคียงเมือง ยังไม่ถึงตัวบ้านแต่ว่าใกล้บ้าน ก็เรียกอุปจารของบ้าน ยังไม่ถึงตัวเมืองแต่ว่าใกล้เมือง ก็เป็นอุปจารของเมือง ที่ใช้สำหรับสมาธิก็หมายความว่าใกล้สมาธิเข้า แต่ยังไม่เป็นสมาธิทีเดียว ความเป็นสมาธิทีเดียวนั้นเรียกว่า อัปปนา แปลว่าแนบแน่น ฉะนั้น จะเป็นสมาธิจริงก็ต้องถึงอัปปนาคือแนบแน่น แต่เมื่อยังไม่ถึงแนบแน่น ใกล้เข้า คือใกล้จะแนบแน่น ก็เรียกว่าอุปจาร
ยกตัวอย่างการทำอานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก เมื่อตั้งสติกำหนดลมหายใจดังกล่าว เมื่อทำบ่อยๆ เข้าจิตก็เริ่มจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ แต่ยังไม่ตั้งมั่น สมาธิจึงยังไม่แนบแน่น ใกล้จะตั้งมั่น ดั่งนี้เรียกว่าอุปจาร อุปจาระภาวนาก็หมายถึงภาวนา คือการปฏิบัติอบรมในขั้นอุปจาร คือในขั้นที่ใกล้เข้า จะตั้งมั่นเป็นสมาธิที่แนบแน่น
อัปปนาภาวนา
อัปปนาภาวนา ภาวนาในอัปปนา อัปปนาแปลว่าแนบแน่น หมายถึงสมาธิที่แนบแน่น คือจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิจริง แนบแน่นไม่หวั่นไหวคลอนแคลน
ยกตัวอย่างตั้งสติกำหนดลมหายใจเข้าออก เมื่อจิตใกล้จะตั้งมั่นก็เป็นอุปจาร เมื่อจิตตั้งมั่นไม่วอกแว่กไปข้างไหน อยู่กับลมหายใจเข้าออกแนบแน่นมั่นคง ก็เป็นอัปปนา ภาวนาในขั้นนี้เรียกว่าอัปปนาภาวนา ภาวนาในอัปปนาคือในขั้นแนบแน่น
สมาธิ ๓
สมาธิความตั้งใจมั่นก็ควรจะกล่าวว่ามี ๓ เหมือนกัน คือบริกัมมสมาธิ สมาธิในบริกรรม คือการเริ่มปฏิบัติ จิตยังไม่ค่อยจะตั้งมั่น ยังกวัดแกว่งกระสับกระส่าย ต่อมาก็เป็นอุปจาระสมาธิ สมาธิในอุปจาระ คือใกล้ที่จะแนบแน่น ยิ่งขึ้นก็เป็นอัปปนาสมาธิ สมาธิในอัปปนาคือแนบแน่นมั่นคง เป็นตัวสมาธิจริง แต่โดยมากท่านแสดงสมาธิไว้แค่ ๒ คืออุปจาระสมาธิ และอัปปนาสมาธิ
น่าจะเป็นเพราะสมาธิในขั้นบริกรรม หรือบริกัมมสมาธินั้น ยังไม่ตั้งได้เท่าไหร่ หลุดเลื่อนเสียหายมาก คือจิตฟุ้งซ่านออกไป ต้องนำจิตกลับมาตั้งไว้ใหม่ ดั่งนี้อยู่บ่อยๆ เรียกว่าเกือบจะไม่เป็นสมาธิ แต่ว่าเมื่อภาวนาจัดไว้ ๓ คือ บริกัมมภาวนา อุปจาระภาวนา อัปปนาภาวนา สมาธิก็น่าจะจัดไว้ ๓ ได้คือ บริกัมมสมาธิ อุปจาระสมาธิ และอัปปนาสมาธิ
อานาปานสติชั้นที่ ๔
ในการปฏิบัติอานาปานสติสมาธิภาวนานั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงสั่งสอนไว้ ดังที่ได้แสดงอธิบายมาเป็นชั้นที่ ๑ หรือข้อที่ ๑ ชั้นที่ ๒ หรือข้อที่ ๒ ชั้นที่ ๓ หรือข้อที่ ๓ จะได้แสดงชั้นที่ ๔ หรือข้อที่ ๔ ตรัสสอนไว้ว่า ศึกษาว่าเราจักสงบรำงับกายสังขารหายใจเข้า ศึกษาสำเหนียกกำหนดว่าเราจักสงบระงับกายสังขารหายใจออก
กายสังขาร
คำว่า กายสังขาร นั้นแปลกันว่าเครื่องปรุงกาย ก็ได้แก่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก หรืออัสสาสะ ปัสสาสะนี้เอง ลมหายใจดังกล่าวเรียกว่ากายสังขารเครื่องปรุงกาย เพราะปรุงกายนี้ให้ตั้งอยู่ ดำรงอยู่ เป็นอยู่ ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อยังดำรงชีวิตอยู่ ทุกคนก็ต้องหายใจเข้าหายใจออกอยู่ตลอดเวลา หยุดไม่ได้ หยุดเมื่อใดก็เป็นความแตกสลายของกายนี้ คือตาย
เพราะฉะนั้นกายที่ยังเป็นอยู่ ดำรงชีวิตอยู่ จึงต้องอาศัยลมหายใจเข้าออก จึงเรียกว่าลมปราณ เป็นตัวชีวิตของกายนี้ จึงเรียกสัตว์โลก ทั้งมนุษย์ทั้งสัตว์เดรัจฉานว่า ปาโณ แปลว่าสัตว์มีชีวิต แต่ตามศัพท์ก็คือว่า ผู้ที่มีลมปราณคือลมหายใจเข้า ลมหายใจออก นี้เอง นี้เป็นอธิบายคำว่ากายสังขารเครื่องปรุงกาย คือลมหายใจเข้าลมหายใจออก
สงบรำงับกายสังขารเครื่องปรุงกาย คือลมหายใจเข้าลมหายใจออกนั้น ไม่ใช่หมายความว่าทำการกลั้นลมหายใจ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ จะเป็นการกลั้นใจตาย ไม่ถูกต้อง แต่หมายความว่าการปฏิบัติทำอานาปานสติสมาธิภาวนาอบรมสมาธิ ด้วยการตั้งสติกำหนดลมหายใจเข้าออกตามที่ตรัสสอนมาโดยลำดับ คือตั้งสติกำหนดลมหายใจเข้าออกยาวก็รู้ว่ายาว สั้นก็รู้ว่าสั้น ศึกษาสำเหนียกกำหนดว่าเราจักรู้ทั่วถึงกายทั้งหมด คือทั้งนามกายทั้งรูปกาย หายใจเข้าหายใจออก
เมื่อปฏิบัติอยู่ดั่งนี้ ก็จะเริ่มได้สมาธิในลมหายใจ อันหมายความว่าจิตตั้งกำหนดอยู่ในลมหายใจมั่งคงขึ้น ก็จะเกิดฉันทะคือความพอใจ และเมื่อปฏิบัติต่อไปก็จะเกิดปราโมทย์คือความบันเทิงใจ ลมหายใจก็จะละเอียดเข้า
เพราะเหตุว่า จิตใจสงบ กายสงบ เข้าด้วยสมาธิ เมื่อกายจิตสงบ ลมหายใจก็สงบละเอียดประณีตสุขุมขึ้น
ขั้นรู้จักกายทั้งหมด
และเมื่อมาปฏิบัติในขั้นที่ ๓ ศึกษาสำเหนียกกำหนดให้รู้จักกายทั้งหมด คือทั้งนามกายทั้งรูปกาย หายใจเข้าหายใจออก พูดง่ายๆ เรียกอย่างธรรมดาๆ ก็เหมือนอย่างทุกคนกำลังนั่งอยู่ในบัดนี้ และกำหนดดูรูปกายอันนี้ เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดโดยรอบ และบัดนี้ก็กำลังนั่งอยู่ และก็ไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆ นั่งหายใจเข้าหายใจออกอยู่ ตรวจดูกายนี้ทั้งหมดดังกล่าว ให้จิตอยู่ในขอบเขตของกายนี้ ไม่ให้ออกไปข้างนอก และก็กำหนดดูลมหายใจเข้าออกตามระยะทางหายใจที่ยาวหรือสั้น เพราะยาวหรือสั้นนั้นก็เกี่ยวแก่ระยะทางของลมหายใจที่ดำเนินไปทั้งเข้าและออก และเมื่อมีระยะทาง ก็จะต้องมีเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด กำหนดให้รู้ให้เห็นทั้งเบื้องต้น ทั้งท่ามกลาง ทั้งที่สุด เรียกว่าให้รู้ตลอดระยะทางไม่ให้ตกหล่น
เมื่อจิตกำหนดดั่งนี้ส่วนที่เป็นนามกายคือใจ ก็จะมาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ก็เป็นอันว่ากายและใจมารวมกันอยู่ด้วยสมาธิไม่ไปข้างไหน ก็ย่อมจะรู้กายทั้งหมด สมาธิก็จะเกิด ก็จะได้ฉันทะได้ปราโมทย์ดังกล่าว จนถึงได้อุเบกขาคือความวางเฉย จิตก็จะกลับจากลมหายใจเข้าลมหายใจออก มาอยู่กับอุเบกขาคือความวางเฉย และเมื่อเป็นดั่งนี้ การหายใจจริงๆ ก็จะละเอียดเข้าๆ จนถึงไม่ปรากฏ แต่ความรู้สึกดั่งนี้ก็คือกายสังขารเครื่องปรุงกาย อันได้แก่ลมหายใจเข้าออกสงบรำงับไปเอง ด้วยการปฏิบัติให้ได้สมาธิ สงบระงับไปด้วยสมาธิ เพราะฉะนั้น เมื่อมาจับเอาข้อที่ ๔ นี้ขึ้นมาแสดง ท่านจึงแสดงมาตั้งแต่ขั้นที่ ๑
หรือชั้นที่ ๑ ที่ว่าหายใจเข้าออกยาวก็รู้ว่ายาว หายใจเข้าออกสั้นก็รู้ว่าสั้น ในขั้นทั้ง ๒ นี้ก็กำหนดให้รู้จักว่าลมหายใจเข้าออกสั้นก็ตาม ยาวก็ตาม สั้นก็ตาม เนื่องด้วยกาย เป็นกายสังขารเครื่องปรุงกาย เราจะสงบระงับดับด้วยสมาธิปฏิบัติ และต่อจากนั้นก็กำหนดว่า รู้ทั่วถึงกายทั้งหมด หายใจเข้าหายใจออก ซึ่งเป็นชั้นที่ ๓ หรือขั้นที่ ๓
(เริ่ม) ความที่กำหนดรู้กายทั้งหมดหายใจเข้าหายใจออก ก็เป็นกาย เนื่องด้วยกาย เราก็จะสงบรำงับเครื่องปรุงกาย หายใจเข้าหายใจออกด้วยสมาธิเช่นเดียวกัน และเมื่อได้สมาธิดีขึ้น กายจิตสงบมากขึ้น ลมหายใจเข้าออกเองก็สงบมากขึ้นไปโดยลำดับ จนถึงเหมือนอย่างไม่หายใจ อยู่ในลักษณะที่เรียกว่า จิตกลับจากลมหายใจเข้าลมหายใจออก ตั้งอยู่ในอุเบกขา เมื่อเป็นดั่งนี้ อาการของกายต่างๆ ในขณะที่นั่งปฏิบัติ คือการน้อมกายไปน้อมกายมา การน้อมกายไปมาบ่อยๆ การค้อมกาย ความหวั่นไหวของกาย ความโงกของกาย ความสั่นสะเทือนของกายต่างๆ ก็จะไม่มี
ปัญหาในขั้นสงบรำงับกายสังขาร
หากจะมีปัญหาว่า เมื่อสงบรำงับกายสังขารเครื่องปรุงกายถึงขั้นนี้ ก็เป็นอันว่าจิตก็จะไม่ได้กำหนดลมหายใจเข้าออก อานาปานสติสมาธิก็จะไม่มี เพราะว่าจิตไม่กำหนดลมหายใจเข้าออก ได้ยินว่า ถ้าปล่อยจิตจากความกำหนด ก็จะเป็นอย่างนั้น
ท่านจึงสอนวิธีปฏิบัติในขั้นนี้ไว้ว่า เมื่อลมหายใจเข้าออกหยาบ ก็ให้กำหนดนิมิตของลมหายใจเข้าออกที่หยาบ เมื่อลมหายใจเข้าออกละเอียด ก็ให้กำหนดนิมิตของลมหายใจเข้าออกที่ละเอียด และเมื่อลมหายใจเข้าออกที่ละเอียดดับไป ก็ให้กำหนดอารมณ์แห่งนิมิตของลมหายใจเข้าออกที่ละเอียดนั้นคือให้กำหนดนิมิตของลมหายใจเข้าออกที่ละเอียดเป็นอารมณ์ต่อไป
เปรียบเหมือนเมื่อเคาะกังสดาล หรือระฆัง เสียงระฆังก็จะดัง ก็ให้กำหนดนิมิตของเสียงระฆังที่ดังนั้น และเมื่อเสียงระฆังที่ดังนั้นเบาลง ก็ให้กำหนดนิมิตของเสียงระฆังที่เบาลงนั้น เมื่อเสียงระฆังนั้นเงียบไป ก็ให้กำหนดอารมณ์แห่งเสียงระฆังที่เบา คือกำหนดเสียงระฆังที่เบาเป็นอารมณ์ต่อไป คือไม่ปล่อยกรรมฐานอันเป็นที่ตั้ง กำหนดเสียงที่เบานั้น แม้จะดับไปแล้วหายไปแล้ว ไว้ในใจ เหมือนอย่างยังดังเบาๆ อยู่ในใจ ให้ตั้งอยู่ในใจ
ฉะนั้น เมื่อลมหายใจที่หยาบกลายมาเป็นลมหายใจที่ละเอียด จนถึงลมหายใจที่ละอียดนั้นดับไม่ปรากฏ จึงได้ปล่อยอารมณ์ แต่ยังกำหนดอารมณ์คือนิมิตจากลมหายใจเข้าออกที่ละเอียดไว้ในจิตใจ เหมือนอย่างว่าจิตใจยังหายใจเข้า ยังหายใจออกอยู่ เมื่อเป็นดั่งนี้ก็เป็นอันว่า ยังไม่ทิ้งลมหายใจเข้าออก ยังเป็นอานาปานสติสมาธิภาวนาอยู่
พระพุทธเจ้าได้ตรัสอธิบายลมหายใจเข้าออก ให้ตั้งสติกำหนดให้เป็นอานาปานสติสมาธิภาวนาไว้ดั่งนี้ เพราะฉะนั้น จึงควรฟังให้เข้าใจ พิจารณาให้เข้าใจ และนำมาปฏิบัติ ตามที่พระบรมครูได้ตรัสสอนเอาไว้
การนำปฏิบัติในเบื้องต้น
พระอาจารย์ทั้งหลายตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน ได้แสดงอธิบายวิธีช่วยในการปฏิบัติข้อนี้ไว้เป็นอันมาก ดังเช่นแบบที่ใช้ การนับ แบบที่ใช้บริกรรมว่าพุทโธ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ เป็นการนำปฏิบัติในเบื้องต้น
ที่ท่านเปรียบไว้ว่า การปฏิบัติในเบื้องต้นนั้น เหมือนอย่างพายเรือไปในน้ำเชี่ยว ลำพังพายไม่พอต้องใช้ถ่อช่วย
การปฏิบัติทำอานาปานสติสมาธิภาวนาก็เช่นเดียวกัน ต้องใช้นับเหมือนอย่างถ่อช่วยพยุงจิต หรือพุทธโธช่วยพยุงจิตไว้ และเมื่อจิตสงบเหมือนอย่างเรือไปถึงที่น้ำเรียบแล้ว ก็ไม่ต้องใช้ถ่อ ใช้พายเรื่อยๆ ไปก็ได้
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและทำความสงบสืบต่อไป