แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมเป็นเครื่องอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ในการปฏิบัติทำอานาปานสติสมาธิภาวนานั้น พึงทราบคำว่า ภาวนา ซึ่งมีความหมายว่าการปฏิบัติทำให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น เมื่อใช้กับการปฏิบัติอานาปานสติสมาธิ สมาธิที่เกิดจากอานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก ก็มีความหมายว่าทำอานาปานสติข้อนี้ให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น ให้มีขึ้นก็คือให้มีอานาปานสติสมาธิ ให้เป็นขึ้นก็คือให้เป็นอานาปานสติสมาธิขึ้นมา ดังนี้แหละเรียกว่าอานาปานสติสมาธิภาวนา หรือภาวนาอานาปานสติสมาธิ หรือภาวนาสมาธิที่เกิดจากอานาปานสติ
ภาวนามีลักษณะ ๔ ประการ
ในการปฏิบัติภาวนาดังกล่าวนี้ ท่านได้แสดงการภาวนาไว้ในความหมายที่ว่า ไม่ล่วงธรรมะที่เกิดขึ้นในภาวนานั้น โดยที่มีอินทรีย์ มีศรัทธาเป็นต้น มีรสเป็นอันเดียวกัน
โดยที่มีการนำความเพียรที่ให้เข้าถึงภาวนานั้น และโดยที่มีการเสพคุ้น คือการปฏิบัติบ่อยๆ ทำให้มาก
ประการแรกที่ว่า โดยที่ไม่ล่วงธรรมะที่เกิดขึ้นในภาวนานั้น คำว่าไม่ล่วงก็คือไม่ข้ามพ้นไป ไม่ผ่านพ้นไป ธรรมะที่เกิดขึ้นในภาวนานั้น ธรรมะก็คืออารมณ์ของสมาธิที่ปฏิบัติ เช่น อานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก ลมหายใจเข้าออกก็ชื่อว่าเป็นธรรมะ คือเป็นสิ่งที่พึงปฏิบัติให้เกิดขึ้นในภาวนานั้น คือตั้งสติกำหนดลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าก็ให้รู้ หายใจออกก็ให้รู้ ถ้าทำสติกำหนดลมหายใจได้ติดต่อกันไป ก็ชื่อว่าไม่ล่วงคือไม่ข้ามพ้น แต่ถ้าสติที่กำหนดฟุ้งซ่านออกไปในบางครั้งบางคราว สติจึงไม่มีกำหนดลมหายใจในเมื่อฟุ้งซ่านออกไปนั้น ดั่งนี้ก็ชื่อว่าข้าม หรือว่าล่วงธรรมะที่เกิดในภาวนานั้น
เพราะฉะนั้น จะเป็นภาวนาคือการปฏิบัติทำให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น ก็ต้องให้สติกำหนดอยู่ให้ติดต่อ ไม่ให้สติฟุ้งซ่าน หรือไม่ให้จิตฟุ้งซ่าน สติฟุ้งซ่านหรือจิตฟุ้งซ่านออกไปในเวลาใด ก็ตกหล่นในเวลานั้น ข้ามไปในเวลานั้น ล่วงเลยไปในเวลานั้น ก็ไม่เป็นอานาปานสติ เพราะฉะนั้น จึ่งต้องพยายามปฏิบัติ ทำสติให้กำหนดอยู่กับลมหายใจเข้าออกทุกครั้งติดต่อกันไป จึงจะชื่อว่าไม่ล่วงธรรมะที่เกิดขึ้นในภาวนานั้น
อินทรีย์มีรสเป็นอันเดียวกัน
ส่วนข้อต่อไปที่ว่าโดยที่อินทรีย์มีรสเป็นอันเดียวกัน อินทรีย์นี้คือธรรมะที่เป็นใหญ่ หมายได้หมายถึงศรัทธาความเชื่อ วิริยะความเพียร
สติความระลึกได้ สมาธิความตั้งใจมั่น (เริ่ม) และปัญญาความรู้ที่กำหนดพิจารณา อินทรีย์ทั้ง ๕ นี้มีประชุมอยู่พร้อมกัน มีรสคือกิจที่พึงทำเป็นอันเดียวกัน ข้อนี้หมายถึงธรรมะที่เป็นอุปการะในการปฏิบัติทั้ง ๕ ข้อนั้น คือต้องมีศรัทธาความเชื่อที่ตั้งมั่น อันมีกิจกำจัดความไม่เชื่อ วิริยะความเพียรที่ดำเนินไปด้วยดี มีกิจกำจัดความเกียจคร้าน สติความระลึกได้ มีกิจกำจัดความหลงลืม สมาธิความตั้งใจมั่น มีกิจกำจัดความฟุ้งซ่าน ปัญญาความรู้พิจารณาถูกต้อง มีกิจกำจัดความรู้ชั่วรู้ผิด ผู้ปฏิบัติทำภาวนาจะต้องมีศรัทธา มีวิริยะ มีสติ มีสมาธิ มีปัญญาดังกล่าว พร้อมเพรียงเป็นอันเดียวกัน เรียกว่ามีรสเป็นอันเดียวกันในขณะที่ปฏิบัติ
ความเพียร
และข้อต่อไปที่ว่าโดยมีความเพียร หรือโดยนำความเพียรที่เข้าถึงภาวนานั้น ก็คือมีความเพียรพยายามปฏิบัติให้เพียงพอที่จะบรรลุถึงภาวนานั้นได้ และข้อต่อไปก็คือมีการเสพคือปฏิบัติคุ้น อันหมายความว่าปฏิบัติบ่อยๆ ปฏิบัติให้มาก รวม ๔ ประการ ภาวนามีลักษณะดัง ๔ ประการนี้ จึงจะให้สำเร็จเป็นอานาปานสติสมาธิภาวนาได้ แม้ในข้ออื่นก็จะต้องมีภาวนาเช่นนี้เช่นเดียวกัน จึงจะให้สำเร็จการภาวนาในข้อนั้นๆ ได้
อานาปานสติชั้นที่ ๒
ต่อจากนี้จะได้แสดงถึงอานาปานสติ ชั้นที่ ๒ หรือข้อที่ ๒ ที่ว่าหายใจเข้าสั้นก็รู้ว่าหายใจเข้าสั้น หายใจออกสั้นก็รู้ว่าหายใจออกสั้น ในชั้นนี้หมายถึงการหายใจของผู้ปฏิบัติเอง ถ้าหากว่าในขณะที่ปฏิบัติ หายใจเข้าออกสั้น คือในกาละคือเวลา ในเทศะคือที่ ซึ่งกล่าวว่า คือนับว่าสั้น ก็เรียกว่าสั้น
การหายใจเข้าสั้นนี้ หรือหายใจออกสั้นนี้ โดยปรกติก็อาจจะมีได้ในบางคราว ในเมื่อได้พักผ่อนจากความเหน็ดเหนื่อย จึงไม่มีความเหน็ดเหนื่อย ในขณะเช่นนี้ลมหายใจก็จะสั้นกว่าในขณะที่เหนื่อย หรือแม้ว่าในขณะที่ปฏิบัติทำอานาปานสติสมาธิก็ดี หรือปฏิบัติทำสมาธิข้ออื่นก็ดี จิตได้สมาธิบ้างแล้ว กายก็สงบ จิตก็สงบ ในขณะที่จิตและกายสงบนี้ การหายใจก็ละเอียดเข้าคือว่าสั้นเข้า
ฉะนั้น ลมหายใจเข้าออกสั้น ก็ให้รู้ว่าสั้น และแม้ในขั้นที่ ๒ นี้ ท่านก็ได้แสดงไว้เช่นเดียวกับในขั้นที่ ๑ คือเมื่อหายใจเข้าออกสั้น ก็รู้ว่าสั้น ปฏิบัติอยู่บ่อยๆ เข้า หรือว่านานเข้า ก็ย่อมจะเกิดฉันทะคือความพอใจ ลมหายใจที่สั้นนั้นก็จะละเอียดเข้า และเมื่อกำหนดต่อไปบ่อยๆ ก็จะเกิดปราโมทย์คือความบันเทิง ลมหายใจเข้าออกที่สั้นนั้น ก็จะสุขุมคือละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก และเมื่อปฏิบัติต่อไป จิตก็จะกลับจากลมอัสสาสะปัสสาสะ อุเบกขาก็จะตั้งขึ้น
วิธีปฏิบัติ ๙ ขั้น
เพราะฉะนั้น จึงควรทำความเข้าใจว่า ขั้นตอนของการปฏิบัติในชั้นที่ ๑ และชั้นที่ ๒ นี้ ท่านแสดงไว้เช่นเดียวกัน และท่านแสดงไว้โดยละเอียด สรุปความว่า ในขั้นที่ ๑ เมื่อเริ่มปฏิบัติก็ให้กำหนดดั่งนี้ หายใจเข้าออกยาว หายใจเข้ายาวก็รู้ว่ายาว หายใจออกยาวก็รู้ว่ายาว หายใจเข้าออกยาวก็รู้ว่ายาว ก็จะเกิดฉันทะ เมื่อเกิดฉันทะคือความพอใจขึ้น ก็ให้กำหนดสติเช่นเดียวกัน คือหายใจเข้ายาวก็รู้ว่ายาว หายใจออกยาวก็รู้ว่ายาว หายใจเข้าออกยาวก็รู้ว่ายาว และชั้นนี้ ลมหายใจเข้าออกที่ยาวนั้น ก็จะละเอียดยิ่งขึ้นไปกว่าขั้นที่ไม่มีฉันทะ และต่อไปเมื่อปราโมทย์ความบันเทิงใจบังเกิดขึ้น ก็ให้กำหนดเช่นเดียวกัน
หายใจเข้ายาวก็รู้ว่ายาว หายใจออกยาวก็รู้ว่ายาว หายใจเข้าออกยาวก็รู้ว่ายาว ลมหายใจในขั้นปราโมทย์นี้ ละเอียดยิ่งขึ้นไปกว่าในขั้นฉันทะคือความพอใจ และต่อไปจิตก็จะกลับจากลมอัสสาสะปัสสาสะ คือลมหายใจเข้าลมหายใจออก อุเบกขาก็ตั้งขึ้น ก็เป็นอันว่ามีวิธีปฏิบัติเป็น ๙ ในขั้นธรรมดา ๓ ในขั้นที่เกิดฉันทะ ๓ ในขั้นที่เกิดปราโมทย์ ๓ เป็น ๙
แล้วมาถึงชั้นที่ ๒ ก็เช่นเดียวกัน ท่านสอนให้กำหนดทีแรก หายใจเข้าสั้นก็รู้ว่าสั้น หายใจออกสั้นก็รู้ว่าสั้น หายใจเข้าออกสั้นก็รู้ว่าสั้น เป็น ๓ ก็จะเกิดฉันทะคือความพอใจ เมื่อเกิดฉันทะขึ้นท่านก็สอนให้กำหนดเป็น ๓ อีกเหมือนกัน หายใจเข้าสั้นก็รู้ว่าสั้น หายใจออกสั้นก็รู้ว่าสั้น หายใจเข้าออกสั้นก็รู้ว่าสั้น เป็น ๓ ต่อไปก็จะเกิดปราโมทย์คือความบันเทิง ก็กำหนดเป็น ๓ เช่นเดียวกัน หายใจเข้าสั้นก็รู้ว่าสั้น หายใจออกสั้นก็รู้ว่าสั้น หายใจเข้าออกสั้นก็รู้ว่าสั้น เป็น ๓ และลมหายใจก็จะละเอียดขึ้นโดยลำดับ ในขั้นฉันทะความพอใจก็จะละเอียดกว่าขั้นปรกติ ในขั้นเกิดปราโมทย์ก็จะละเอียดกว่าในขั้นเกิดฉันทะ และเมื่อได้ปราโมทย์ ต่อไปก็จิตก็จะกลับจากลมอัสสาสะปัสสาสะ อุเบกขาก็จะตั้งขึ้น
จิตกลับจากลมอัสสาสะปัสสาสะ
คำว่าจิตกลับจากลมอัสสาสะปัสสาสะ หรือลมหายใจเข้าออกนี้ หมายความว่าจิตไม่กำหนด แต่จิตจะมีอุเบกขาคือเข้าไปเพ่งเฉยอยู่ ซึ่งเป็นขั้นที่ละเอียด เข้าไปเพ่งซึ่งอะไร ก็เข้าไปเพ่งซึ่งนิมิตแห่งอัสสาสะปัสสาสะนั้นเอง นิมิตก็คือว่าเครื่องกำหนด ฉะนั้น แม้ลมอัสสาสะปัสสาสะจะสงบ จิตกลับจากลมอัสสาสะปัสสาสะ แต่ว่านิมิตคือเครื่องกำหนดอันได้แก่ลมอัสสาสะปัสสาสะ ที่เป็นนิมิตคือเครื่องกำหนดอยู่ในใจก็ยังมีอยู่ จะเป็นอุเบกขาคือเข้าไปเพ่งเฉยอยู่กับนิมิตคือลมอัสสาสะปัสสาสะนั้น
และที่แบ่งออกเป็น ๒ ชั้น ชั้นที่ ๑ ยาว ชั้นที่ ๒ สั้น ท่านไม่แสดงไว้ว่าต่อกันหรือไม่ต่อกัน แต่ก็พิจารณาได้ตามแนวชั้นที่ท่านแสดงไว้เป็นอานาปานสติในขั้นกายนี้ ๔ ชั้น แล้วยังมีต่อในขั้นเวทนา ในขั้นจิต และในขั้นธรรม อีกขั้นละ ๔ ชั้น ก็เป็น ๑๖ ชั้น และมีแนวอธิบายทำนองที่ว่าต่อกันขึ้นไป
เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าแนวหนึ่งเป็นที่ต่อกันขึ้นไป อันหมายความว่าเมื่อปฏิบัติในขั้นที่ ๑ ลมหายใจย่อมละเอียดเข้า เพราะว่ากายสงบจิตสงบ ที่เคยยาวโดยปรกตินั้นก็สั้นเข้า และเมื่อลมหายใจสั้นเข้าจึงมาจับกำหนดลมหายใจที่สั้นนั้น อันนับว่าเป็นขั้นที่ ๒ แต่ว่าอีกอย่างหนึ่งก็อาจกล่าวได้ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ลมหายใจในเวลาเหนื่อยปรกติก็ต้องยาว แต่ว่าในขณะที่หายเหนื่อย กายใจสงบ หายใจก็สั้นเข้า
เพราะฉะนั้น จึงอยู่ที่ผู้ปฏิบัติ จะพึงพิจารณาในขณะที่ตนปฏิบัตินั้นเป็นเกณฑ์ ในขณะที่ตนปฏิบัตินั้นยาว ยาวก็จับขั้นยาว ถ้าสั้นก็จับขั้นสั้น ทั้งตามอธิบายใน ๒ ชั้นนี้ อธิบายไปเช่นเดียวกัน ทั้งในชั้นยาว ทั้งในชั้นสั้น ต่างก็มีฉันทะความพอใจ มีปราโมทย์ความบันเทิงใจเช่นเดียวกัน และจิตจะกลับจากอัสสาสะปัสสาสะลมหายใจเข้าลมหายใจออกออก อุเบกขาตั้งขึ้นเช่นเดียวกัน
ต่อไปนี้ก็พึงตั้งใจฟังสวดและทำความสงบสืบต่อไป