แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
อันปัญญาในธรรมนั้นโดยตรงก็คือญาณความหยั่งรู้ในสัจจะธรรม ธรรมะที่เป็นสัจจะคือเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ก็คือในทุกขสัจจะ จริงคือทุกข์ สมุทัยสัจจะ จริงคือเหตุเกิดทุกข์ นิโรธสัจจะ จริงคือความดับทุกข์ มรรคสัจจะ จริงคือมรรคทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
และปัญญาในธรรมนี้เมื่อแสดงโดยลำดับ ก็คือปัญญาในทุกขสัจจะจริงคือทุกข์ที่ได้มีพระพุทธภาษิตแสดงไว้ และนำมาแสดงจำแนกไปโดยลำดับแล้ว จนถึงปัญญาที่พิจารณาสรุปทุกข์เข้าเป็น ๓ คือ ทุกขทุกข์ ทุกข์คือทุกข์ หรือทุกข์โดยเป็นทุกข์ สังขารทุกข์ ทุกข์คือสังขาร หรือโดยเป็นสังขาร วิปรินามทุกข์ ทุกข์คือความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง หรือโดยความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง อันลักษณะของความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงนั้น ก็รวมเข้าใน สังขตลักษณะ
ลักษณะเครื่องกำหนดหมายแห่งสังขารคือสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งทั้งหลาย อันได้แก่ อุปฺปาโท ปญฺญายติ ความเกิดขึ้นปรากฏ วโย ปญฺญายติ ความเสื่อมดับไปปรากฏ ฐิตานํ อญฺญถตฺตํ ปญฺญายตีติ เมื่อยังตั้งอยู่ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปปรากฏ
สภาวทุกข์
ความปรากฏเกิดเสื่อมดับ และเมื่อตั้งอยู่ก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลงเรื่อยไปนั้น ตามที่ตรัสแสดงไว้ตั้งต้นแต่ สภาวทุกข์ คือชาติความเกิดเป็นทุกข์ ชราความแก่เป็นทุกข์ มรณะความตายเป็นทุกข์ อันรวมอยู่ในลักษณะทั้ง ๓ ที่กล่าวมานั้น จึงมีชาติ มีชรา และมีมรณะ
วิธีพิจารณานั้นที่มีสอนไว้ก็คือ พิจารณาชาติชรามรณะที่ปรากฏ อย่างหนึ่งคือไม่ปกปิด กับชาติชรามรณะที่ปรากฏเหมือนไม่ปรากฏ คือที่ปกปิดไว้หนึ่ง สำหรับชาติที่ปรากฏนั้นก็คือความเกิดมาทีแรก ตั้งต้นแต่เข้าถึงในครรภ์ของมารดา จนถึงคลอดออกมาเป็นความเกิดที่ปรากฏ ความแก่ที่ปรากฏนั้นคือความที่ร่างกายร่วงโรย เช่น ผมหงอก ฟันหัก หนังย่น และความเสื่อมของอินทรีย์ทั้งหลาย หรืออายตนะภายในทั้งหลายมีตาหูเป็นต้น ที่ทุกคนทราบได้ทันทีว่าเป็นความแก่ มรณะคือความตายที่ปรากฏนั้น คือความที่ขันธ์ทั้ง ๕ แตกดับ กายแตกทำลายกลายเป็นศพทอดทิ้งร่างไว้ นี้เป็นความตายที่ปรากฏ
อีกอย่างหนึ่งที่ท่านสอนให้พิจารณา คือเกิดแก่ตายที่ไม่ปรากฏชัดเจน อันที่จริงก็ปรากฏ แต่ว่าไม่ชัดเจน เหมือนอย่างปกปิดเอาไว้ คือว่าเกิดแก่ตายที่มีอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เกิดนั้น ความเกิดก่อขันธ์ ๕ เกิดคู่อยู่กับดับเสมอ ทุกขณะจิต หรือว่าทุกลมหายใจเข้าออก
ดังเช่น รูปขันธ์กองรูปก็เป็นสิ่งที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา จึงต้องบริโภคอาหารเข้าไปทดแทน ที่เป็นอาหารหยาบ วันหนึ่งก็หนึ่งมื้อบ้าง สองมื้อบ้าง สามมื้อบ้าง หรือว่ายังบริโภคของจุกจิกมากกว่านั้นบ้าง เพราะรูปขันธ์กองรูปถูกเผาไหม้ดับไปหมดสิ้นไป เป็นหนักเป็นเบาเป็นเหงื่อเป็นไคล อยู่ตลอดเวลา จึงต้องบริโภคของใหม่เข้าไปทดแทน
จนกระทั่งอาหารอย่างละเอียดก็คือลมหายใจเข้าออก หายใจเข้านำธาตุลมที่ประกอบด้วยธาตุดินน้ำไฟอย่างละเอียด เข้าไปบำรุงเลี้ยงร่างกาย และหายใจออกก็นำเอาส่วนที่เสียออกมา ต้องหายใจกันอยู่ทุกขณะอันจะหยุดเสียมิได้ ถ้าหยุดไม่นานชีวิตนี้ก็จะเป็นอันตราย ลมหายใจเข้านั้นก็คือนำเอาธาตุทั้งหลายเข้าไปเลี้ยงอย่างละเอียด ก็เป็นเกิด เป็นรูปขันธ์ขึ้นมาทดแทน ออกก็นำออกมา เป็นดับ
เกิดดับ สันตติ
เพราะฉะนั้น เกิดดับ จึงคู่กันอยู่ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจเข้าออก ตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ อาการทั้งหลายในร่างกายนี้ เช่นอาการ ๓๑ หรืออาการ ๓๒ มีผมขนเล็บฟันหนังเป็นต้นต่างเกิดดับไปแล้วมากครั้ง แต่อาศัยมี สันตติ คือความสืบต่อ ดับแล้วก็มีเกิดขึ้นมาใหม่ แล้วก็ดับ แล้วก็มีเกิดขึ้นมาใหม่ทดแทนกันไป จึงไม่รู้สึก
(เริ่ม) รูปกายของทุกคนในบัดนี้ไม่ใช่รูปกายในอดีต รูปกายในอดีตนั้นก็ดับไปสิ้นไปหมดแล้ว รูปกายในปัจจุบันนี้เป็นรูปกายใหม่ ที่ได้จากอาหารเกิดขึ้นมาใหม่ แต่ว่าเป็นไปอย่างละเอียด แม้เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณก็เช่นเดียวกัน เกิดดับไปในอารมณ์อันหนึ่งๆ จึงชื่อว่าอารมณ์อันหนึ่งๆ นั้นก็คือ รูปารมณ์ อารมณ์คือรูปที่ผ่านเข้ามาทางตา สัททารมณ์ อารมณ์คือเสียงที่ผ่านเข้ามาทางหู คันธารมณ์ อารมณ์คือกลิ่นที่ผ่านเข้ามาทางจมูก รสารมณ์ อารมณ์คือรสที่ผ่านเข้ามาทางลิ้น โผฏฐัพพารมณ์ อารมณ์คือโผฏฐัพพะที่ผ่านเข้ามาทางกายธรรมารมณ์ อารมณ์คือเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาทางมโนคือใจ
ความเกิดดับของขันธ์ ๕
อารมณ์ที่ผ่านเข้ามานี้ เมื่อผ่านเข้ามาก็เกิดเป็น วิญญาณ คือ เห็น ได้ยิน ได้ทราบ ได้รู้ เป็นต้น แล้วก็เป็น สัมผัส ถึงจิตใจ แล้วก็เป็น เวทนา รู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข แล้วก็เป็น สัญญา จำได้หมายรู้ แล้วก็เป็น สังขาร ความคิดปรุงหรือปรุงคิดต่างๆ ในอารมณ์นั้นๆ แล้วก็เป็น วิญญาณ ขึ้นมาใหม่ เพราะว่าเมื่อปรุงคิดไปหรือคิดปรุงไปก็รู้ เป็นวิญญาณ แล้วก็เป็นสัมผัส เป็นเวทนา เป็นสัญญา สังขาร อารมณ์อันหนึ่งนั้นก็เป็นเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณไปคราวหนึ่ง ก็ชื่อว่าเกิดดับ อารมณ์ที่สองก็เกิดดับ อารมณ์ที่สามก็เกิดดับ
แต่จิตใจอันนี้รับอารมณ์ทางอายตนะภายในภายนอกดังกล่าวรวดเร็วมาก ยกตัวอย่างเช่นว่า ตา เห็นนั่นเห็นนี่มากมาย สิ่งที่เห็นอันหนึ่งๆ ก็ผ่านเข้ามาเป็นเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ หรือว่าเป็นวิญญาณ เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร กันทีหนึ่ง เกิดดับไป แล้วจึงมาถึงอารมณ์ที่สอง เช่นว่าเห็นแก้วน้ำ ก็คิดถึงแก้วน้ำ ก็เป็นวิญญาณ เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร หรือว่ากล่าวตามลำดับของขันธ์ ๕ ว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในแก้วน้ำที่เห็น เกิดดับไปทีหนึ่ง เห็นกาน้ำ ทั้งหมดนี้ก็เกิดดับไปทีหนึ่ง เห็นบ้านเห็นคนเห็นอะไรก็ตามแต่ละอย่าง สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ก็เกิดดับไปทีละอย่าง เพราะว่าจิตนี้รับอารมณ์ได้ทีละอย่างเท่านั้น แต่ว่ารวดเร็วมาก
เพราะฉะนั้น ในเวลาครู่เดียว ถ้านับเอาสิ่งที่ตาเห็น แล้วก็คิดถึงสิ่งที่ตาเห็นนั้นของจิตใจแล้ว จะมีตั้งหลายสิบหลายร้อยอย่าง สิ่งทั้งปวงเหล่านี้คือ วิญญาณ เวทนา สัญญา สังขาร หรือว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เกิดดับไปหลายสิบหลายร้อยหน นี่เป็นความเกิดดับของขันธ์ ๕ ที่มีอยู่ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจเข้าออก ทุกขณะจิต ทุกอารมณ์
นี้เป็นความเกิดและความตายที่ปกปิด ต้องพิจารณาจึงรู้ แต่ยังไม่ตายจริงๆ สักทีหนึ่งดังที่เข้าใจกัน ก็เพราะว่ามีสันตติคือความสืบต่อ อย่างเช่นลมหายใจ มีเข้ามีออก มีเข้ามีออก ติดต่อกันไป ถ้าเข้าไม่ออก ออกไม่เข้า หยุดสันตติคือความสืบต่อเมื่อใด ก็เป็นความตายที่ไม่ปกปิด เพราะฉะนั้น ความเกิดความดับ หรือความเกิดความตายนี้ อันที่จริงจึงมีอยู่ทุกขณะดั่งที่กล่าวแล้ว แต่ว่ายังปกปิด
ความแก่ขึ้นแก่ลง
แม้ความแก่ก็เช่นเดียวกัน ร่างกายนั้นย่อมมีความแก่ คือแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป อยู่ทุกขณะไม่มีหยุด เหมือนอย่างผลไม้แก่ ความแก่ของผลไม้นั้นไม่ใช่แก่ขึ้นทันที แต่ค่อยๆ เติบโตไปโดยลำดับ แม้ความแก่ของบุคคลก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่แก่ขึ้นทันที แต่ว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงไปโดยลำดับ เพราะฉะนั้น จึงมีเรียกกันว่าแก่ขึ้นและแก่ลง แก่ขึ้นนั้นก็คือว่าตั้งแต่เกิดมา ก็เติบโตขึ้นในครรภ์ของมารดา จนถึงคลอดออกมา แล้วก็ค่อยๆ เติบโตขึ้นเรื่อย นี่เป็นความแก่ขึ้น เมื่อแก่ขึ้นเต็มที่แล้วก็แก่ลง คือมีอาการที่ทรุดโทรม เป็นความแก่ที่ปรากฏดังกล่าวมาข้างต้น
อันความแก่เช่นนี้คนเราก็เรียกผลไม้อยู่แล้ว อย่างที่เรียกว่าผลไม้แก่ ก็หมายความถึงผลไม้ที่เจริญขึ้นเต็มที่ คือเป็นความแก่ขึ้นนั้นเอง เราก็เรียกผลไม้ว่าแก่อยู่แล้ว แต่ว่าครั้นมาถึงคนเมื่ออยู่ในวัยที่เจริญเต็มที่ เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นผู้ใหญ่เต็มที่ ไม่เรียกว่าแก่ แต่อันที่จริงนั้นเป็นความแก่เช่นเดียวกับผลไม้ เป็นความแก่ขึ้น ไม่ใช่เป็นความแก่ลง
แต่อันที่จริงนั้นความแก่เป็นอย่างเดียวกันทั้งหมด คือความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีอยู่ทุกขณะ แต่เมื่อยังเป็นเบื้องต้น หรือเป็นความแก่ขึ้น ก็ยังไม่ปรากฏ ปรากฏเหมือนกันแต่ว่าไม่ๆ ชัดเจน เรียกว่ายังๆ ปกปิด มาแก่ลงจึงเปิดเผย และก็ทราบกันพูดกัน แต่อันที่จริงนั้นแก่ปกปิดนั้นมีมาตั้งแต่ในเบื้องต้น ตั้งแต่ในท้องแม่ก็แก่เรื่อยมาแล้ว เราจึงยังเรียกว่าครรภ์แก่ แต่ความจริงนั้นเด็กก็แก่จนได้ที่ คลอดออกมาก็แก่ต่อไป แต่เป็นความแก่ขึ้น หรือเป็นแก่เจริญดังที่กล่าวนั้น
หัดพิจารณาให้เห็นปัจจุบันธรรม
เพราะฉะนั้น เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว แก่เจ็บตายจึงมีอยู่ทุกขณะดังกล่าว แต่ว่าเป็นปกปิดและไม่ปกปิด และทั้งปกปิดทั้งไม่ปกปิดก็เป็นความปรากฏด้วยกัน แต่เป็นความปรากฏอย่างปกปิด ปรากฏอย่างไม่ปกปิด ผู้ปฏิบัติธรรมพึงหัดพิจารณาให้รู้จักเกิดแก่ตายทั้งที่ปกปิดและทั้งที่ไม่ปกปิด เมื่อเป็นดั่งนี้ ทุกขสัจจะสภาพที่จริงคือทุกข์ จึงจะปรากฏเป็นปัจจุบันธรรม ถ้าหากว่ายังไม่พิจารณาให้รู้จักแก่ที่ปกปิดแล้ว ทุกขสัจจะสภาพที่จริงคือทุกข์ก็ยังไม่ปรากฏเป็นปัจจุบันธรรม จึงต้องหัดพิจารณาให้รู้จักเกิดแก่ตายที่ปกปิดไว้ด้วย
และนอกจากนี้แม้พยาธิความป่วยไข้ ก็มีปกปิดและไม่ปกปิดอีกเช่นเดียวกัน มักจะพูดกันว่าพยาธิป่วยไข้ และเมื่อป่วยที่ไม่ปกปิด เช่น เป็นความป่วยไข้อย่างใดอย่างหนึ่ง ปรากฏเป็นทุกขเวทนา เวทนาที่เป็นทุกข์ ต้องพักผ่อนก็ดี ต้องหาหยูกยามาบริโภคก็ดี ต้องหาหมอก็ดี เป็นความป่วยที่ไม่ปกปิด แต่ความป่วยที่ปกปิดนั้นมีอยู่ตลอดเวลา ดังที่ปรากฏเป็นความเมื่อยขบ แต่อาศัยเปลี่ยนอิริยาบถ เช่นว่านั่งนาน ก็เปลี่ยนอิริยาบถเป็นยืนขึ้น เป็นเดิน ยืนนานก็เปลี่ยนอิริยาบถเป็นนั่ง เดินนานก็เปลี่ยนอิริยาบถเป็นหยุดพัก ยืน หรือนั่งลง จนถึงเมื่อเดินยืนและนั่งนาน เดินยืนนั่งนานก็ต้องนอน เมื่อนอนนานก็ต้องลุกขึ้น เปลี่ยนมาเป็นเดินเป็นยืนเป็นนั่ง อาศัยผลัดเปลี่ยนอิริยาบถอยู่ดั่งนี้ ความเมื่อยขบจึงไม่ปรากฏ แต่ความจริงนั้นความเมื่อยขบย่อมมีอยู่ตลอดเวลา แต่อาศัยการผลัดเปลี่ยนอิริยาบถดังกล่าว
และต้องมีความหิว ต้องการอาหาร ต้องการน้ำมาบริโภค แต่อาศัยบริโภคอาหารบริโภคน้ำแก้หิวแก้กระหาย ความหิวความกระหายก็ดับ และเหมือนไม่มีความหิวความกระหาย แต่ความจริงนั้นเมื่อบริโภคข้าวบริโภคน้ำเข้าไปแล้ว รู้สึกว่าหายหิวหายกระหาย แต่อันที่จริงนั้นเป็นความเริ่มหิวเริ่มกระหายใหม่ เพราะว่าข้าวน้ำที่บริโภคเข้าไปนั้นก็ไปย่อย ไปบำรุงเลี้ยงร่างกาย แล้วก็ถูกเผาไหม้หมดไปสิ้นไป แล้วต้องบริโภคกันใหม่ เพราะฉะนั้น เมื่อเสร็จไปคราวหนึ่งแล้วก็เริ่มหิวเริ่มกระหายที่จะบริโภคใหม่ต่อไป แต่ว่ามีน้อยจึงไม่ปรากฏชัดเจน แต่อันที่จริงก็ปรากฏมีอยู่ ไม่ใช่ไม่มี นี้เป็นเรียกว่าเป็นพยาธิที่ๆ ปกปิด
เพราะฉะนั้นจึงได้มีพระพุทธภาษิตตรัสเอาไว้ว่า ร่างกายอันนี้มีอยู่หรือที่จะเว้นว่าง จากพยาธิความป่วยไข้แม้สักขณะเดียว สำหรับผู้มีปัญญาพิจารณา ดั่งนี้ เพราะฉะนั้น ก็พึงพิจารณาให้รู้จักพยาธิคือความป่วยไข้ที่ปกปิดและไม่ปกปิดอีกเช่นเดียวกัน จึงจะเห็นสัจจะคือความจริงของทุกข์เป็นปัจจุบัน
และในหมวดทุกขสัจจะนี้เองที่พระพุทธเจ้าตรัสอธิบาย ก็ได้มีแสดงถึง ความประจวบกับสัตว์สังขารที่ไม่เป็นที่รัก ความพลัดพรากจากสัตว์สังขารที่เป็นที่รัก
อันคำว่าที่รักหรือไม่เป็นที่รักนี้ ก็เป็นการแสดงที่พาดพิงหรือล่วงล้ำเข้าไปถึงทุกขสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ คือความรักหรือความไม่รัก และในกล่าวโดยย่อขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการเป็นทุกข์ ความยึดถือหรือไม่ยึดถือ ก็เป็นอันแสดงถึงตัณหาหรือไม่มีตัณหานั้นเอง แสดงถึงมีอุปาทานหรือไม่มีอุปาทานนั้นเอง ในเมื่อยังมีตัณหาอุปาทาน ก็ยังเป็นขันธ์เป็นที่ยึดถือ และเช่นเดียวกันเมื่อมีตัณหามีอุปาทาน ก็มีสิ่งที่เป็นที่รัก และสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก เป็นคู่กันไป
อาการของตัณหาอุปาทาน
เพราะฉะนั้น จึงแสดงว่าเป็นอันได้ตรัสก้าวเข้ามาถึงสมุทัยสัจจะ สภาพจริงคือสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ อันได้แก่ความรักหรือความยึดถือ อันสืบมาจากตัณหา และความรักนั้นเองก็เป็นอาการของตัณหาอย่างหนึ่ง อุปาทานนั้นเองก็สืบมาจากตัณหา ซึ่งเรียกคู่กันว่าตัณหาอุปาทาน
เพราะฉะนั้น เมื่อพิจารณาถึงทุกขสัจจะ ในหมวดของ ประจวบกันสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก พลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก และขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการ เป็นทุกข์โดยสรุปดั่งนี้แล้ว ก็เป็นอันได้เริ่มจับพิจารณาถึงสมุทัยสัจจะ สภาพที่จริงคือสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ อันเป็นอริยสัจจ์ข้อที่ ๒
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป