แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ปัญญานั้นคือความรู้ทั่วถึงตามสัจจะคือความจริง ตามเหตุตามผล ทุกคนผู้เกิดมาย่อมมีปัญญาที่เป็น สชาติปัญญา คือปัญญาที่เกิดมาพร้อมกับชาติคือความเกิดอยู่ด้วยกันทุกคน ดังที่ในปัจจุบันเรียกว่ามีมันสมอง และมันสมองของมนุษย์นั้นย่อมดีเป็นพิเศษ ยิ่งกว่ามันสมองของสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ทางพระพุทธศาสนานั้นเรียกว่าสชาติปัญญา ปัญญาที่ได้มาพร้อมกับชาติคือความเกิด เพราะฉะนั้น มนุษย์เรานี้จึงสามารถพัฒนาความรู้ที่เป็นตัวปัญญา เป็นวิชชาต่างๆ ยิ่งๆ ขึ้นได้เป็นอันมาก อันรวมเรียกว่าปัญญาเหมือนกัน และก็สามารถใช้ปัญญานี้พัฒนาทุกๆ อย่างให้เจริญมากยิ่งขึ้น เป็นความเจริญทั้งทางด้านความรู้ และทั้งในด้านวัตถุทั้งหลายที่สร้างขึ้นมาดังที่ปรากฏ และการพัฒนาดังที่กล่าวมานี้ก็ต้องอาศัยการศึกษานั้นเอง
การศึกษานั้นก็ใช้ สุตะ คือการสดับฟัง การอ่าน หรือจะกล่าวโดยสรุป ก็คือการใช้ตาหูจมูกลิ้นและกายของตนนี้เอง เป็นเครื่องมือในการศึกษา ให้เจริญปัญญายิ่งขึ้น
เราทุกคนย่อมมีตาหูจมูกลิ้นและกาย อยู่ด้วยกันทุกๆ คนแล้ว อันเป็นอายตนะภายใน คือที่ต่อภายใน ๕ ข้อข้างต้น ในบรรดาทั้ง ๕ ข้อนี้ (เริ่ม) แต่เก่าก่อนมาที่จะมีตัวอักษรหรือหนังสือ ก็ใช้ทางหู คือสดับฟังคำสั่งสอน คำบรรยายต่างๆ เป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้น จึงได้ยกเอาหูขึ้นเป็นที่หนึ่ง อันเป็นทางให้เกิดปัญญา อันเรียกว่า สุตามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการสดับตรับฟัง แต่ต่อมาเมื่อมีตัวอักษรมีหนังสือ ก็ใช้หนังสือสำหรับอ่านด้วยตาแทนหูอีกส่วนหนึ่ง จึงใช้ตาอ่านหนังสือเป็นการศึกษาให้เกิดปัญญา
และใช้มโนคือใจอันเป็นอายตนะภายในข้อที่ ๖ สำหรับตรึกนึกคิดพิจารณาให้เกิดความรู้ อันเรียกว่า จินตามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการคิดนึกพิจารณา และนอกจากนี้ก็ศึกษาด้วยการปฏิบัติทดสอบประกอบกระทำทางทวารทั้ง ๓ คือ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ เป็นทางให้เกิดความรู้ อันเรียกว่า ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการประกอบกระทำให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น เพราะฉะนั้น การศึกษาเพื่อให้เกิดปัญญาจึงทำได้ด้วยการฟังหรือการอ่าน หรือกล่าวโดยสรุปก็ด้วยตาหูจมูกลิ้นกาย และด้วยจินตาคือความคิดนึกพิจารณา และด้วยภาวนาคือการอบรมทำให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น
ฉะนั้น การศึกษานี้จึงเป็นข้อสำคัญ ทุกคนจะต้องศึกษาด้วยการฟัง ด้วยการอ่าน ด้วยการคิดนึกพิจารณา และด้วยการปฏิบัติกระทำให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาในฝ่ายคฤหัสถ์ ก็เป็นอุบาสกเป็นอุบาสิกา หรือพุทธมามกะ พุมธมามิกา ในฝ่ายบรรพชิตก็เป็นภิกษุเป็นสามเณร ก็ต้องประกอบด้วยการศึกษา ด้วยการฟังธรรม การอ่านธรรม ที่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ต้องศึกษาด้วยการคิดนึกพิจารณาให้มีความเข้าใจในธรรม หรือธรรมะที่ได้ฟังหรืออ่านนั้น
และต้องศึกษาด้วยการปฏิบัติ ดังที่ได้ปฏิบัติเริ่มด้วยการรับสรณาคมณ์คือการถึงสรณะ ได้แก่ถึงพระพุทธเจ้า ถึงพระธรรม ถึงพระสงฆ์เป็นสรณะว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะคือที่พึ่ง ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถึงพระธรรมเป็นสรณะคือที่พึ่ง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถึงพระสงฆ์เป็นสรณะคือที่พึ่ง แม้วาระที่ ๒ ก็เช่นเดียวกัน แม้วาระที่ ๓ ก็เช่นเดียวกัน ให้เป็นผู้มีสรณะขึ้นในตน ก็เรียกว่าเป็นภาวนา คือปฏิบัติทำสรณะคือที่พึ่งทั้ง ๓ นี้ให้มีขึ้นในตน ให้เป็นสรณะคือที่พึ่งขึ้นในตน ยิ่งขึ้นไปก็ปฏิบัติในศีล ในศีล ๕ ในศีล ๘ ในศีล ๑๐ สำหรับสามเณร ในศีล ๒๒๗ และยิ่งขึ้นไปกว่าสำหรับภิกษุ ก็เป็นการภาวนา คือการปฏิบัติทำให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น คือให้เป็นศีลขึ้นในตน
และนอกจากนี้ก็ปฏิบัติทำสมาธิ คือความตั้งใจหรือทำใจให้ตั้งมั่นในกรรมฐานที่เป็นฝ่ายสมถะกรรมฐาน คือกรรมฐานเป็นอุบายสงบใจ ให้จิตใจเป็นสมาธิขึ้น ดั่งนี้ก็เป็นภาวนา คือการทำสมาธิให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น ให้จิตใจนี้เป็นสมาธิขึ้นมา ได้สมาธิขึ้นมา และก็ศึกษาด้วยการปฏิบัติอบรมทางวิปัสสนากรรมฐาน ให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงขึ้น ก็เป็นการภาวนา คือการทำให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น คือให้เป็นปัญญา
หรือให้จิตใจนี้เป็นปัญญาขึ้นมา ให้รู้แจ้งเห็นจริง ดั่งนี้ก็เป็นการศึกษาทั้งหมด ก็การศึกษาดังกล่าวมานี้เองที่เรียกว่าสิกขา
คำว่า สิกขา นั้นเป็นบาลี เป็นภาษาบาลี ส่วนคำว่าศึกษานั้นเป็นภาษาสันสกฤตว่า ศิกฺษา มาใช้เป็นภาษาไทยว่า ศึกษา เพราะฉะนั้น คำว่าสิกขาหรือศึกษาจึงเป็นคำเดียวกัน
ฉะนั้น เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว การพัฒนาด้วยการศึกษาในพระพุทธศาสนานั้น จึงจัดไว้ ๓ เรียกว่า ไตรสิกขา คือ
อันศีลจิตและปัญญานี้ ล้วนเป็นคุณสมบัติที่ทุกคนมีติดมาจากกำเนิดน้อยบ้างมากบ้าง อันกล่าวได้ว่าเป็น สชาติศีล ศีลที่มีมาตั้งแต่ชาติ คือความเกิด สชาติจิตหรือ สชาติสมาธิ จิตใจหรือสมาธิที่ได้มาแต่ชาติคือความเกิด และ สชาติปัญญา ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว คือไม่ใช่แต่เฉพาะสชาติปัญญาเท่านั้น แม้แต่ศีลก็เป็นสชาติศีล จิตหรือสมาธิก็เป็นสชาติจิตหรือสมาธิ ทั้งหมดนี้แหละเป็นกุศลที่แปลว่ากิจของคนฉลาด หรือภาวะความเป็นของคนฉลาด เพราะว่าผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ทุกคน ท่านแสดงว่าเกิดมาด้วยอำนาจของกุศล กุศลนำให้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นจึงมีสชาติปัญญา พร้อมทั้งสชาติศีล และสชาติจิตหรือสมาธิ ติดตัวมาเช่นเดียวกัน
นี่แหละคือตัวกุศลที่ติดมากับมนุษย์ทุกคน ดังจะพึงเห็นได้ว่า ปรกติของทุกคนที่เกิดมานั้นก็คือปรกติกาย ปรกติวาจา ปรกติใจ ดังจะพึงเห็นได้ว่าทุกคนที่เกิดมาก็ไม่ได้ฆ่าอะไรใคร ไม่ได้ลักทรัพย์ของใคร
ไม่ได้ประพฤติในกามอะไร ไม่ได้พูดเท็จอะไร ไม่ได้ดื่มน้ำเมาอะไร และก็ทำบาปอกุศลกรรมทั้งหลายเหล่านี้ไม่เป็นทั้งนั้น นี้คือความปรกติที่เป็นตัวศีลที่มีอยู่
และแม้ว่าเมื่อเติบใหญ่ขึ้นแล้ว กิเลสที่เป็นอาสวะอนุสัยในจิตใจ ซึ่งมีมาพร้อมกับเกิดเหมือนกัน เป็นต้นว่ากิเลสกองราคะโทสะโมหะ ราคะความติดใจยินดี โทสะความโกรธแค้นขัดเคือง โมหะความหลง หรือว่าโลภะโทสะโมหะ โลภโทสะหรือโกรธและหลง หรือว่าตัณหาความดิ้นรนทะยานอยากต่างๆ เจริญขึ้นมากขึ้น พร้อมกับความเจริญของชีวิตของร่างกาย จากเด็กเล็กเป็นเด็กใหญ่ จากเด็กใหญ่ก็เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นผู้ใหญ่ แก่ จนถึงตาย เมื่อเติบโตขึ้นอาสวะอนุสัยซึ่งมีติดมากับจิตใจ ก็ก่อให้เกิดเป็นกิเลสตัณหาเหล่านี้ขึ้นมา จึงบันดาลใจให้เกิดอกุศลเจตนา เจตนาเป็นอกุศลต่างๆ จึงทำการฆ่าเขาบ้าง ลักของเขาบ้างเป็นต้น
แต่ว่าจะทำเช่นนั้นก็ในเวลาที่ลุอำนาจของกิเลสเท่านั้น แต่เวลาปรกติที่ไม่ลุอำนาจของกิเลสก็ไม่ทำอะไร คือไม่ได้ฆ่าใคร ลักของใคร เพราะฉะนั้น โดยปรกติของทุกคนแล้วจึงไม่ได้ทำบาปอะไร ไม่ได้ผิดศีลอะไร แต่เวลาที่จิตใจวิกฤตด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา จึงได้ประกอบกระทำ บาปอกุศลกรรมผิดศีลต่างๆ
จึงกล่าวได้ว่าศีลนั้นนอกจากจะมีความหมายว่า หมายถึงความปรกติกายวาจาใจแล้ว ยังมีความหมายว่าเป็นปรกติของคนอีกด้วย แต่ว่าคนเรานั้นไม่ใช่มีจำเพาะอาสวะอนุสัย
คือกิเลสที่นอนจมหมักหมมอยู่ในจิตสันดานเท่านั้น ยังมีส่วนดีอันเป็นบารมี คือความดีที่เก็บเอาไว้อยู่ในจิตใจส่วนลึกด้วยเช่นเดียวกัน อันเป็นฝ่ายกุศลดังที่กล่าวมาแล้ว กล่าวคือสชาติศีล สชาติจิตหรือสมาธิ สชาติปัญญา ก็เป็นส่วนบารมีคือส่วนดีที่มีอยู่ เพราะฉะนั้น จึงได้มีความสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดี ด้วยอาศัยอาจารย์คนแรกของตน คือพ่อแม่สั่งสอนอบรมมาในเบื้องต้น และเมื่อมาศึกษากับครูบาอาจารย์ต่อมา จนถึงได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จึ่งได้เพิ่มศีล เพิ่มสมาธิ และเพิ่มปัญญาให้มากขึ้นโดยลำดับ เพราะมีพื้นดีอยู่แล้ว ก็รับดีได้สะดวก
แม้จิตหรือสมาธิก็เช่นเดียวกัน คนเราก็รู้จักมีสมาธิมาตั้งแต่ต้นแล้ว คือมีความตั้งใจนั้นเอง เด็กเล็กๆ ก็รู้จักตั้งใจฟังคำสอนอบรมของพ่อแม่เป็นต้น ถ้าหากว่าไม่รู้จักตั้งใจฟังแล้ว จะได้ปัญญาเพิ่มพูนขึ้นมาไม่ได้ จะได้ปัญญาขึ้นมาก็ต้องมีความตั้งใจ ถ้าไม่ตั้งใจแล้วจะไม่ได้อะไรเลย และเมื่อโตขึ้นก็ได้ที่ความตั้งใจฟังครูบาอาจารย์สั่งสอน ถ้าหากว่าไม่มีความตั้งใจเลยแล้ว จะไม่รู้ จะไม่ได้ความรู้จากครูบาอาจารย์เลย แม้เมื่อมาพบพระพุทธศาสนา ก็รู้จักตั้งใจฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า รู้จักตั้งใจฟังคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ ถ้าหากว่าไม่รู้จักตั้งใจฟังแล้ว ก็จะไม่ได้ความรู้อะไรเลย เพราะว่าปัญญาคือความรู้นี้ย่อมได้จากความตั้งใจฟังตั้งใจอ่านเป็นต้น ดังเช่นที่กำลังฟังธรรมบรรยายอยู่นี้ ถ้าหากว่าไม่มีความตั้งใจฟัง คือหลับเสียก็ดี ส่งใจไปในที่อื่นก็ดี หูก็จะดับฟังไม่ได้ยิน ไม่รู้เรื่องว่าพูดอะไร ต่อเมื่อมีความตั้งใจฟัง หูจึงจะไม่ดับฟังได้ยิน และรู้เรื่องว่าพูดอะไร เพราะฉะนั้น ความตั้งใจจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ต้องมีจึงจะเกิดปัญญา และทุกคนก็ได้ความตั้งใจมาตั้งแต่กำเนิดแล้ว คือรู้จักมีความตั้งใจ เป็นแต่เพียงว่ายังตั้งใจไม่มั่นเท่านั้น
และแม้ปัญญาเองก็ได้กล่าวแล้วว่ามีมาแต่กำเนิด เพราะฉะนั้นจึงรับรู้ได้ รับรู้ความเป็นไปของโลกได้ ตั้งต้นแต่รับรู้ธรรมชาติธรรมดาของโลกทั่วๆ ไป เหมือนอย่างสัตว์โลกทั้งหลาย และรู้จักยิ่งขึ้นไปกว่านั้น คือสามารถที่จะมีความตั้งใจ แล้วก็รับรู้ในศิลปวิทยาต่างๆ ในสัจจะคือความจริงต่างๆ ยิ่งขึ้นไปโดยลำดับ
ต่างจากสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายที่รับรู้ได้จำเพาะที่เป็นธรรมชาติธรรมดาทั่วไป แต่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีที่ยิ่งๆ ขึ้นไปอย่างมนุษย์ อาจจะรู้จักผิดชอบชั่วดีชั้นธรรมดาสามัญ แต่ไม่ยิ่งๆ ขึ้นไปเหมือนอย่างมนุษย์ เข้าถึงสัจจะที่เป็นความจริงเหมือนมนุษย์ไม่ได้ และจะพัฒนาความรู้และการกระทำต่างๆ ด้วยปัญญาเหมือนอย่างมนุษย์ไม่ได้ มนุษย์เรามีพื้นปัญญามาดี และก็สามารถรับเพิ่มพูนปัญญาให้ทวีขึ้นไปได้ จนถึงที่สุดดั่งยอดมนุษย์คือพระพุทธเจ้า ก็ได้ทรงพัฒนาคือความรู้ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ทั้งที่เป็นส่วนโลกิยะ และที่เป็นส่วนโลกุตระคือพ้นโลก (เริ่ม) ด้วยมีพระปัญญาตรัสรู้พระธรรมอันสูงสุดเป็นพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ศีลสมาธิปัญญาดังที่กล่าวมานี้ จึงเป็นธรรมชาติธรรมดาของบุคคลทุกคน แต่ว่าพัฒนาให้มากยิ่งขึ้น พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรมสั่งสอน ธรรมะที่ทรงสั่งสอนนั้น จึงเป็นธรรมชาติธรรมดาของบุคคลนี้เอง ที่มีมูลฐานอยู่ในบุคคลนี้เอง ตรัสสอนให้พัฒนาคุณสมบัติที่เป็นมูลฐานนี้ของตนเองทุกๆ คนนี้ ให้เป็นศีล ให้เป็นสมาธิ และให้เป็นปัญญาที่ยิ่งขึ้น จนถึงให้ได้ประสบประโยชน์ที่เป็นปัจจุบันบ้าง ประสบประโยชน์ที่เป็นภายหน้าบ้าง ประสบประโยชน์ที่เป็นอย่างยิ่งยอดบ้าง เป็นอันว่าเพื่อสุขประโยชน์ของทุกๆ คนนี้เอง ตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงที่สุด เพราะฉะนั้น จึงได้ตรัสสอนให้ทุกคน ตั้งใจสมาทานศีล ตั้งจิตวิรัติงดเว้นจากเวรภัยทั้งหลาย จากอกุศลกรรมบาปทุจริตทั้งหลาย
ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ดังศีลที่ทุกคนได้รับได้สมาทานได้ปฏิบัติกันอยู่นี้ และให้ปฏิบัติทำสมาธิ คือทำจิตใจนี้เองที่มีความตั้งอยู่แล้ว ให้ตั้งมั่นอย่างมาก และเพียงพอที่จะนำไปเพ่งพินิจให้เกิดปัญญาที่ละเอียดสุขุม และลุ่มลึกยิ่งขึ้น และให้พัฒนาปัญญาที่เป็นตัวความรู้ที่มีมาแต่กำเนิดนี้ให้เจริญยิ่งขึ้น ให้รู้จักประโยชน์ปัจจุบัน ให้รู้จักประโยชน์ภายหน้า ให้รู้จักประโยชน์อย่างยอด
เพราะฉะนั้น การที่มาพัฒนาสิ่งที่เป็น สชาติ ที่มีอยู่ได้มาตั้งแต่กำเนิดนี้ ให้เจริญยิ่งขึ้นนี้ จึงเป็นการศึกษานั้นเอง อันได้แก่การฟังหรือการอ่าน หรือการใช้อายตนะภายนอก ๕ เบื้องต้น อันยกขึ้นมาข้อหนึ่งเป็นหัวหน้า คือ สุตะ การสดับตรับฟัง และ จินตา คือการคิดนึกพิจารณาให้มีความเข้าใจ และ ภาวนา คือการปฏิบัติทำให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น ให้เป็นศีลที่ยิ่งๆ ขึ้นไป ให้เป็นจิตที่ยิ่งๆ ขึ้นไป หรือสมาธิยิ่งๆ ขึ้นไป ให้เป็นปัญญาที่ยิ่งๆ ขึ้นไป ก็จะทำให้เป็นผู้รู้จักประโยชน์ปัจจุบัน รู้จักประโยชน์ภายหน้า รู้จักประโยชน์อย่างยอด และสามารถบรรลุถึงประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ภายหน้า และประโยชน์อย่างยิ่งยอดได้ไปโดยลำดับ
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป