PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
  • อุเบกขา
อุเบกขา รูปภาพ 1
  • Title
    อุเบกขา
  • เสียง
  • 4126 อุเบกขา /vajirananasamvara/2019-05-24-14-02-23-4.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
สมเด็จพระญาณสังวร
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันอังคาร, 04 สิงหาคม 2563
ชุด
ชุดที่ ๙
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

  •     บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

        พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงแก่พราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อว่าสัคคารวะ ซึ่งได้เข้าเฝ้าและได้กราบทูลถามว่า เพราะเหตุอะไรมนต์ที่ได้สาธยายได้แล้ว ในบางคราวก็หมดปฏิภาณคือความแจ่มแจ้งที่จะสาธยายได้ ต้องขัดข้องติดขัด ไม่จำจะต้องกล่าวถึงมนต์ที่สาธยายไม่ได้

        พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ตรัสตอบเป็นข้อๆ ไปว่า

        เพราะกามฉันท์ความพอใจรักใคร่ในกามบังเกิดขึ้น จึงทำให้จิตนี้เศร้าหมอง ไม่รู้จักประโยชน์ตน ไม่รู้จักประโยชน์ผู้อื่น ไม่รู้จักประโยชน์ทั้งสอง เปรียบเหมือนอย่างน้ำที่ปนด้วยสีต่างๆ ไม่สามารถที่จะมองเห็นเงาหน้าได้ถนัดได้

        อนึ่ง เพราะเหตุแห่งพยาบาทคือความโกรธแค้นขัดเคือง คิดมุ่งร้ายปองร้ายบังเกิดขึ้น จึงทำให้จิตนี้เศร้าหมอง (เริ่ม) ไม่รู้จักประโยชน์ตน ไม่รู้จักประโยชน์ผู้อื่น ไม่รู้จักประโยชน์ทั้งสอง เหมือนอย่างน้ำที่ต้มเดือดในไฟ จึงเป็นน้ำที่เดือดพล่านมีควัน ไม่อาจจะส่องดูเงาหน้าได้

        อนึ่ง เพราะเหตุที่ถีนมิทธะความง่วงงุนเคลิบเคลิ้มบังเกิดขึ้น จึงทำให้จิตนี้เศร้าหมอง ไม่รู้จักประโยชน์ตน ไม่รู้จักประโยชน์ผู้อื่น ไม่รู้จักประโยชน์ทั้งสอง เหมือนอย่างน้ำที่ถูกสาหร่ายจอกแหนปกคลุม ไม่อาจจะส่องดูเงาหน้าได้

        อนึ่ง อุทธัจจะกุกกุจจะความฟุ้งซ่านรำคาญใจบังเกิดขึ้น จึงทำให้จิตนี้เศร้าหมอง ไม่รู้ประโยชน์ตน ไม่รู้ประโยชน์ท่าน ไม่รู้จักประโยชน์ทั้งสอง เหมือนอย่างน้ำที่ถูกลมพัดไหวกระเพื่อมเป็นคลื่น ไม่อาจที่จะส่องดูเงาหน้าได้

        อนึ่ง วิจิกิจฉาความเคลือบแคลงสงสัยบังเกิดขึ้น ทำให้จิตนี้เศร้าหมอง ไม่รู้จักประโยชน์ตน ไม่รู้จักประโยชน์ท่าน ไม่รู้จักประโยชน์ทั้งสอง เหมือนอย่างน้ำที่ขุ่นมัว ทั้งตั้งอยู่ในที่มืด ไม่อาจจะส่องดูให้เห็นเงาหน้าได้ เพราะเหตุที่นิวรณ์เหล่านี้บังเกิดขึ้นจึงทำให้สาธยายมนต์ที่เคยสาธยายได้ ไม่ได้ ต้องติดขัด

    นิวรณ์ ๕

        อนึ่ง เมื่อจิตมีนิวรณ์ครอบงำดังที่กล่าวมานี้ จึงไม่สามารถที่จะปฏิบัติในโพชฌงค์ทั้ง ๗ ได้ด้วย ต่อเมื่อปฏิบัติสงบรำงับนิวรณ์ทั้ง ๕ นี้ได้ คือสงบกามฉันท์ได้ จึงจะรู้ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ทั้งสองได้ เหมือนอย่างน้ำที่ใสสะอาดปราศจากสีต่างๆ อาจส่องดูเงาหน้าได้ ปฏิบัติสงบรำงับพยาบาทได้ จึงจะทำให้รู้ประโยชน์ดังกล่าว เหมือนอย่างน้ำที่ไม่ถูกต้มเดือด เดือดพล่านเป็นควัน อาจส่องดูเงาหน้าได้ เมื่อปฏิบัติรำงับถีนมิทธะความง่วงงุนเคลิบเคลิ้ม จึงจะรู้ประโยชน์ดังกล่าวได้ เหมือนอย่างน้ำที่ไม่มีสาหร่ายจอกแหนคลุม ส่องดูเงาหน้าได้ และเมื่อปฏิบัติสงบอุทธัจจะกุกกุจจะความฟุ้งซ่านรำคาญได้ จึงจะรู้ประโยชน์ทั้งสองได้ดังกล่าว เหมือนอย่างน้ำที่ไม่ถูกลมพัดให้ไหวกระเพื่อมเป็นคลื่น ส่องดูเงาหน้าได้ และเมื่อปฏิบัติสงบวิจิกิจฉาความเคลือบแคลงสงสัยได้ จึงจะรู้ประโยชน์ดังกล่าวได้ เหมือนอย่างน้ำที่ไม่ขุ่นมัว และวางอยู่ในที่สว่าง ส่องดูเงาหน้าได้ฉะนั้น

    ความวางเฉยในสัตว์สังขาร

        และจิตที่ปฏิบัติสงบนิวรณ์ทั้ง ๕ ได้ดังกล่าวนี้ ก็ทำให้สาธยายมนต์ได้สะดวก เพราะจิตจะผ่องใสไม่เศร้าหมอง และจิตที่ไม่มีนิวรณ์ดั่งนี้ ย่อมสามารถปฏิบัติในโพชฌงค์ได้ และโพชฌงค์นี้เมื่อปฏิบัติได้จนถึงอุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมจะวางเฉยในสัตว์และสังขารได้

        วางเฉยในสัตว์ก็คือ วางเฉยในสัตว์ทั้งหลายด้วยการพิจารณาปลงใจลงไปในกรรม ว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน ทำดีจักได้ดี ทำชั่วจักได้ชั่ว แต่ละสัตว์บุคคลทั้งตนเอง แต่ละคนย่อมต้องเป็นไปตามกรรมของตน ตามที่ตนได้กระทำไว้ และยิ่งขึ้นไปกว่านั้นก็พิจารณาจนถึงโดยปรมัตถ์ คือโดยเนื้อความที่ละเอียดลุ่มลึก ว่าที่เรียกว่าสัตว์บุคคลตัวตนเราเขานั้นเป็นสมมติบัญญัติ แต่โดยปรมัตถ์แล้วไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เมื่อพิจารณาดั่งนี้จะทำให้จิตใจปล่อยวางความยึดถือในสัตว์ หรือโดยความเป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาได้

        อีกอย่างหนึ่ง วางเฉยในสังขารคือในพัสดุทั้งหลายในสิ่งทั้งหลาย เช่นเมื่อเป็นบรรพชิตก็วางเฉยในปัจจัยทั้ง ๔ คือใน จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ ยาแก้ไข้ และสิ่งอื่นๆ บรรดาที่มีอยู่ ว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่ชั่วคราว และเป็นสิ่งที่ไม่มีเจ้าของที่แท้จริง เพราะความเป็นเจ้าของนั้นย่อมมีอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น สิ่งทั้งหลายที่มาถึงเข้า ก็จะต้องพลัดพรากไป หรือไม่เช่นนั้นชีวิตนี้ก็จะต้องแตกดับต้องพลัดพรากไป

        ทุกๆ อย่างที่ยึดถือว่าเป็นของเรานั้น แม้ว่าจะมีสิทธิอยู่ แต่ก็เป็นสิทธิชั่วคราวเท่านั้น ไม่เป็นสิทธิที่แท้จริง เพราะถ้าเป็นสิทธิที่แท้จริงแล้ว ก็จะต้องไม่มีความพลัดพราก แต่เมื่อมีความพลัดพราก ก็ไม่ใช่เป็นสิทธิที่แท้จริง

        พิจารณาให้รู้จักสัจจะคือความจริงดั่งนี้ จนปลงใจเห็นว่าไม่มีเจ้าของ ไม่ใช่เจ้าของ เป็นสิ่งที่มีอยู่สำหรับใช้สอยชั่วคราวเท่านั้น เหมือนอย่างของขอยืมเขามาแล้วก็ต้องส่งคืนเจ้าของ ก็จะทำให้ใจนี้ปล่อยวางจากสังขารคือสิ่งปรุงแต่ง คือพัสดุทั้งหลายได้

        อุเบกขาในโพชฌงค์ ท่านอาจารย์แสดงไว้ดั่งนี้ แม้ในสติปัฏฐานทั้ง ๔ ในข้อ ๔ คือธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็แสดงว่าขั้นสุดของธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น ย่อมเห็นการละความยินดียินร้ายด้วยปัญญา เป็นอุเบกขาคือเข้าไปเพ่งเฉยอยู่ซึ่งการละนั้น ดั่งนี้ อันแสดงว่าแม้ในสติปัฏฐานก็ต้องมีอุเบกขาเป็นที่สุด

        ในสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ท่านแสดงรวบยอดว่า ข้อกายก็คือลมหายใจเข้าออก โดยยกเอาลมหายใจเข้าออกเป็นที่ตั้ง ข้อเวทนาก็คือมนสิการใส่ใจลมหายใจเข้าออกนั้น คำนึงถึงลมหายใจเข้าออกนั้นไว้ในใจ กระทำลมหายใจเข้าออกนั้นไว้ในใจ ข้อจิตก็คือสติสัมปชัญญะแม้ในลมหายใจเข้าออกนั้น และข้อธรรมนั้นก็คือเห็นการละความยินดียินร้ายด้วยปัญญา เข้าไปเพ่งการละนั้น ก็ด้วยปัญญานั่นแหละ สงบเฉยอยู่ นี้เป็นที่สุดแห่งสติปัฏฐาน ก็ลงด้วยอุเบกขาเหมือนกัน

    อุเบกขาสัมโพชฌงค์

        และมาถึงโพชฌงค์ ๗ ก็ลงด้วยอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ซึ่งท่านอธิบายว่า วางเฉยในสัตว์สังขารดังกล่าวนั้น และเมื่อพิจารณาดูโดยลำดับธรรมะในโพชฌงค์ ก็อาจเข้าใจได้ว่า โพชฌงค์นั้นสืบมาจากสมาธิสัมโพชฌงค์

        และสมาธินั้นที่เป็นสมาธิชั้นสูง ก็ย่อมประกอบด้วยเอกัคคตา ความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว และอุเบกขาคือความวางเฉย ฉะนั้น แม้ในสมาธิเองที่เป็นสมาธิชั้นสูง ก็ต้องมีอุเบกขารวมอยู่ด้วยโดยลำดับ จนถึงสมาธิที่สูงมากเช่นในฌานที่ ๔ ก็เป็นอุเบกขาที่สงบโสมนัสโทมนัส สงบสุข สงบทุกข์ อทุกขมสุขทั้งหมด เป็นอุเบกขาที่ประกอบกันอยู่กับเอกัคคตา แม้สมาธิเองก็ต้องเป็นดั่งนี้

    ญาณต้องมีอุเบกขานำ

        และในโพชฌงค์ได้แยกเอาอุเบกขาขึ้นไปอีกข้อหนึ่ง เป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์เป็นข้อที่ ๗ ก็เพื่อเป็นการที่ตรัสแสดงเน้น ให้เห็นความสำคัญของอุเบกขา อันจะนำไปสู่ญาณคือความหยั่งรู้ในอริยสัจจ์ ที่ตรัสไว้เป็นอันดับไปในข้อธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน แห่งมหาสติปัฏฐานสูตร แสดงว่าญาณในอริยสัจจ์นั้นจะต้องมีอุเบกขานำ แต่ก็ต้องเป็นอุเบกขาที่ประกอบด้วยสมาธิ ดังที่แสดงไว้ในองค์ฌานที่ ๔ ว่าเอกัคคตาและอุเบกขาดังกล่าว

        และเพราะเหตุที่ปริยายแห่งการแสดงธรรมนั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสโดยปริยายนี้บ้าง โดยปริยายนั้นบ้าง ยกเอาอุเบกขาออกมา เพื่อให้เชื่อมกับอริยสัจจญาณ ดั่งตามแนวธรรมะในหมวดธรรมานุปัสสนา ในมหาสติปัฏฐานสูตรนี้บ้าง ไม่ตรัสยกอุเบกขาออกมา ตรัสเพียงสมาธิบ้าง เช่นพระพุทธภาษิตที่ตรัสไว้ว่า สมาธึ ภิกฺขเว ภาเวถภิกษุทั้งหลายท่านทั้งหลายจงอบรมสมาธิ สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ ผู้ที่มีจิตตั้งมั่นแล้ว ผู้ที่มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้ตามเป็นจริง ตามพระพุทธภาษิตนี้ตรัสแสดงปัญญาเชื่อมกับสมาธิทีเดียว ตามลำดับในไตรสิกขาคือศีลสมาธิปัญญา

    รู้ตามเป็นจริงคือรู้อย่างไร

        และยังได้ตรัสแสดงไว้อีกว่า รู้ตามเป็นจริงนั้นคือรู้อย่างไร ก็ตรัสเป็นพระพุทธาธิบายต่อไปว่า ก็คือรู้ว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย เหตุเกิดทุกข์ นี้ทุกขนิโรธ ความดับทุกข์ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ก็คือตรัสอธิบายว่าอริยสัจจญาณ หรืออริยสัจจปัญญานั้นเอง

        ฉะนั้น เมื่อตรัสยกเอาโพชฌงค์ขึ้นมาสืบต่อจากสติปัฏฐาน ก็ตรัสอุเบกขาสัมโพชฌงค์สืบต่อขึ้นมาจากสมาธิ ก็เป็นอันแยกสมาธิออกเป็น ๒ ข้อ เป็นสมาธิสัมโพชฌงค์ และอุเบกขาสัมโพชฌงค์นั้นเอง แต่ก็อาจรวมเป็นข้อเดียวกันได้ เพราะเหตุดังกล่าวมาข้างต้น ว่าสมาธิอย่างสูงนั้นมีองค์ก็คือเอกัคคตา ความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว และอุเบกขา

        ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมน้อมสมาธิ น้อมจิตที่เป็นสมาธิและอุเบกขา ไปเพื่อรู้ โดยจับยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ของวิปัสสนา เพื่อรู้ในอริยสัจจ์ คือจับพิจารณาขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยนัยยะว่า รูปอย่างนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปอย่างนี้ ความดับไปแห่งรูปอย่างนี้ เวทนาอย่างนี้ ความเกิดขึ้นแห่งเวทนาอย่างนี้ ความดับไปแห่งเวทนาอย่างนี้ สัญญาอย่างนี้ ความเกิดขึ้นแห่งสัญญาอย่างนี้ ความดับไปแห่งสัญญาอย่างนี้ สังขารอย่างนี้ ความเกิดขึ้นแห่งสังขารอย่างนี้ ความดับไปแห่งสังขารอย่างนี้ วิญญาณอย่างนี้ ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณอย่างนี้ ความดับไปแห่งวิญญาณอย่างนี้ ก็เป็นการปฏิบัติเพื่อรู้ในทุกขสัจจะสภาพที่จริงคือทุกข์ อันเป็นอริยสัจจ์ข้อแรก ซึ่งสืบต่อไปจนถึงข้อที่สอง ข้อที่สาม ข้อที่สี่ เป็นอริยสัจจญาณ ความหยั่งรู้ในอริยสัจจ์อย่างสมบูรณ์

        ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service