แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ได้แสดงสัตบถ คือทางดำเนินของสัตว์โลก ๓๖ ประการมาแล้ว และได้แสดงถึงการละสัตบถเหล่านั้น ซึ่งอาศัยสัตบถที่ละเอียดกว่า ละสัตบถที่หยาบกว่า อันเป็นทางปฏิบัติธรรมทางจิตใจใน สฬายตนวิภังคสูตร มาโดยลำดับ คืออาศัยเนกขัมมสิตโสมนัส ละเคหสิตโสมนัส อาศัยเนกขัมมสิตโทมนัส ละเคหสิตโทมนัส อาศัยเนกขัมมสิตอุเบกขา ละเคหสิตอุเบกขา อาศัยเนกขัมมสิตโสมนัส ละเนกขัมมสิตโทมนัส อาศัยเนกขัมมสิตอุเบกขา ละเนกขัมมสิตโสมนัส
สำหรับใน ๒ หมวดหลังนี้ จะได้อธิบายทบทวนในที่นี้ อัน เนกขัมมสิตโสมนัส ที่แปลว่าความยินดี อาศัยเนกขัมมะ คือการออก ได้แก่ เมื่อประสบอารมณ์ทั้งหลาย มีรูปารมณ์เป็นต้น ทั้ง ๖ ก็พิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ความเสื่อมคลาย ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ความดับ ก็เกิดโสมนัสขึ้น แต่ว่าบางทีมีความใคร่จะได้วิโมกข์ คือความหลุดพ้นอย่างยอดเยี่ยม ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายได้กัน ใคร่ที่จะได้ แต่ว่าไม่ได้ ก็เกิดโทมนัสขึ้นมา เมื่อเป็นดั่งนี้ ก็ให้พิจารณาว่าไม่ควรจะมีความปรารถนาต้องการ ซึ่งเป็นตัณหา เมื่อมีความปรารถนาต้องการเป็นตัณหาก็เกิดทุกข์ เป็นโทมนัส
ฉะนั้น ให้ตั้งหน้าปฏิบัติพิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ความต้องเสื่อมคลาย ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงต่อไปให้เห็นชัดขึ้น และเมื่อการปฏิบัติเข้าถึงขั้นแล้ว ก็ย่อมจะได้ความหลุดพ้นขึ้นเองตามขั้นตอนที่ปฏิบัติถึง ไม่จำเป็นที่จะต้องตั้งความปรารถนาอย่างแรง อันเป็นตัวตัณหา และตัวตัณหานี้เองก็เป็นเครื่องกั้นเอาไว้ไม่ให้ประสบความหลุดพ้นได้ จะประสบความหลุดพ้นได้ ก็ต้องวางความกระหยิ่ม ความใคร่จะได้ อันเป็นตัณหาเสีย
เมื่อพิจารณาดั่งนี้ ความโทมนัสก็จะหายไป เพราะจะดับความกระหยิ่มใคร่จะได้ อันเป็นตัณหาเสียได้ ก็จะเกิดโสมนัสขึ้นแทน อันเรียกว่าเป็น เนกขัมมสิตโสมนัสคือเป็นความโสมนัสที่อาศัยเนกขัมมะ คือการออก จึงชื่อว่าอาศัย เนกขัมมสิตโสมนัส ละ เนกขัมมสิตโทมนัส อันนับว่าเป็นขั้นที่ ๔
และต่อไปขั้นที่ ๕ ก็ให้อาศัย เนกขัมมสิตอุเบกขา ละ เนกขัมมสิตโสมนัส เสีย เนกขัมมสิตอุเบกขานั้น ก็ คือเมื่อประสบอารมณ์ทั้งหลาย ก็พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ความดับ ความต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ต้องเสื่อมสลายดังกล่าว ก็เกิดอุเบกขา คือความปล่อยวาง อันมีลักษณะที่เป็นความวางจิตใจเป็นกลาง อันเรียกว่าวางเฉย คือไม่ปรากฏความยินดียินร้าย มีใจเป็นกลาง กำหนดอยู่ด้วยจิตใจที่เป็นกลาง อันเรียกว่าอุเบกขา ดั่งนี้เรียกว่า เนกขัมมสิตอุเบกขา อุเบกขาที่อาศัยเนกขัมม
แต่ว่าในบางคราวจิตไม่เป็นอุเบกขา ในเมื่อได้เห็นความไม่เที่ยงเป็นต้นของอารมณ์ทั้งหลาย แต่ว่าจิตเกิดโสมนัส คือความยินดีพอใจ อิ่มเอิบใจ ว่าเรารู้เราเห็น ก็อิ่มเอิบใจ ซึ่งเรียกว่าเป็น เนกขัมมสิตโสมนัส ฉะนั้น เมื่อได้โสมนัสดั่งนี้ก็ให้พิจารณาว่า จิตใจที่ยังยินดี พอใจ อิ่มใจว่าเรารู้เราเห็น ยังเป็นจิตใจที่มีอาการขึ้นลงอยู่ เพราะว่าอันความยินดีที่เป็นความโสมนัสนั้น เป็นอาการของจิตที่เรียกว่าขึ้น อิ่มเอิบ และเมื่อจิตขึ้นได้ ก็ลงได้
ฉะนั้น จึงควรที่จะสงบความยินดีอิ่มเอมใจ อันเป็นอาการของจิตที่ขึ้น มาทำจิตใจให้เป็นกลางไม่ยินดีไม่ยินร้าย อันเรียกว่าอุเบกขา เป็นความเข้าไปเพ่งเฉยอยู่ พิจารณาให้เห็นประโยชน์เห็นคุณของอุเบกขาดั่งนี้ จิตก็จะสงบอาการที่อิ่มเอมใจ ดีใจ พอใจนั้นเสียได้ มาเป็นอุเบกขา อันเรียกว่า เนกขัมมสิตอุเบกขา อุเบกขาที่อาศัยเนกขัมมะ คือการออก ออกจากกาม ดั่งนี้เรียกว่าอาศัยเนกขัมมสิตอุเบกขา ละเนกขัมมสิตโสมนัส อันเป็นขั้นที่ ๕
อุเบกขา ๒
ต่อจากนี้พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนให้รู้จักอุเบกขาว่ามี ๒ อย่าง คือ เอกัตตา เอกัตตสิตาอุเบกขา อุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง ที่อาศัยความเป็นหนึ่งอย่างหนึ่ง นานัตตา นานัตตสิตาอุเบกขา อุเบกขาที่มีความเป็นต่างๆ อาศัยความเป็นต่างๆ อีกอย่างหนึ่ง และได้ตรัสอธิบายว่า นานัตตา นานัตตสิตาอุเบกขา ที่เป็นอุเบกขาที่มีต่างๆ อาศัยความมีต่างๆ กันนั้น ก็ได้แก่อุเบกขาในรูปทั้งหลาย อุเบกขาในเสียงทั้งหลาย
อุเบกขาในกลิ่นทั้งหลาย อุเบกขาในรสทั้งหลาย อุเบกขาในโผฏฐัพพะ คือสิ่งที่กายถูกต้องทั้งหลาย อุเบกขาในธรรมะ คือในเรื่องราวทั้งหลาย เพราะเป็นไปในอารมณ์ทั้ง ๖ หลักดั่งนี้ จึงเรียกว่า นานัตตา นานัตตสิตาอุเบกขา อุเบกขาที่มีต่างๆ อาศัยความมีต่างๆ
ส่วน เอกัตตา เอกัตตสิตาอุเบกขา นั้น ได้แก่อุเบกขาที่มีอย่างเดียว อาศัยความมีอย่างเดียว ได้แก่อุเบกขาในอรูปสมาบัติ หรือในอรูปฌานทั้งหลาย อันเรียกว่า อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะบ้าง เนวสัญญานาสัญญายตนะบ้าง อุเบกขาในอรูปสมาบัติที้ง ๔ นี้ เรียกว่า เอกัตตา เอกัตตสิตาอุเบกขา
ตรัสสอนให้อาศัย เอกัตตา เอกัตตสิตาอุเบกขา ละ นานัตตา นานัตตสิตาอุเบกขา เสีย โดยที่เมื่อได้อุเบกขาในอารมณ์ทั้ง ๖ อันเป็น นานัตตา นานัตตสิตาอุเบกขา อุเบกขาที่มีต่างๆ อาศัยความมีต่างๆ คือเป็นไปในอารมณ์ทั้ง ๖ เหล่านั้น อันจะพึงเรียกว่าเป็นอุเบกขาในรูปสมาบัติ หรือในรูปฌานก็ได้
หากได้ ก็พิจารณาว่า อุเบกขาอย่างนี้อย่างหยาบ ยังมีอุเบกขาที่ละเอียดเป็นหนึ่ง ก็ คืออุเบกขาในอรูปสมาบัติ ให้หัดปฏิบัติทำอรูปสมาบัติ หรืออรูปฌานให้บังเกิดขึ้น และหากบังเกิดขึ้นได้ ก็ชื่อว่าได้บรรลุ เอกัตตา เอกัตตสิตาอุเบกขา อุเบกขาที่มีเป็นหนึ่ง อาศัยความมีเป็นหนึ่ง ปฏิบัติดั่งนี้เรียกว่าอาศัย เอกัตตา เอกัตตสิตาอุเบกขา ละ นานัตตา นานัตตสิตาอุเบกขา อันนับว่าเป็นขั้นที่ ๖
ตัมมยตา อตัมมยตา
เมื่อถึงขั้นนี้ ก็ยังไม่ถึงที่สุด จึงได้ตรัสสอนต่อไปว่า ให้อาศัย อตัมมยตา ละ เอกัตตา เอกัตตสิตาอุเบกขา ได้มีอธิบายในอรรถกถาว่า ตัณหานั้นเรียกว่า ตัมมยตา (เริ่ม) ฉะนั้น จึงทำให้เข้าใจว่า อตัมมยตานั้นได้แก่ความที่ไม่มีตัณหา คำว่าอตัมมยตา คือความไม่มีตัณหา กับตัมมยตาอันเป็นชื่อของตัณหานี้ เพ่งดูถึงศัพท์แสงแล้ว ก็ยากที่จะหาคำแปลได้ ค้นดูในตำราศัพท์ต่างๆ ก็ยังไม่พบคำแปลที่แปลไว้
หากว่าจะใช้ความคาดคะเนดูหน้าตาของคำ คำว่าตัมมยตาก็ดูมีเค้าที่อาจจะแปลได้ว่า คือความเห็นยึดถือว่านั้นเป็นของเรา ความเห็นยึดถือว่านั้นเป็นของเราเป็นลักษณะของตัณหา ของมานะ ของทิฏฐิ ซึ่งเป็นกิเลสชั้นเดียวกัน ใช้ควบกันไป อย่างที่มีแสดงว่าความเห็นยึดถือว่านี้ของเรา เรียกว่าตัณหาความเห็นยึดถือว่าเราเป็นนี่ เป็นมานะความเห็นยึดถือว่านี่เป็นอัตตาตัวตนของเรา เป็นทิฏฐิ และความเห็นยึดถือที่มีลักษณะทั้ง ๓ นี้ ใช้เรียกไปด้วยกันทั้ง ๓ อย่าง ทั้งในด้านยึดถือก็เห็นยึดถือว่านี่ของเรา ว่าเราเป็นนี่ ว่านี่เป็นตัวตนของเรา หรือในด้านไม่ยึดถือก็แสดงว่า ไม่เห็นยึดถือว่านี่ของเรา เราเป็นนี่ นี่เป็นอัตตาตัวตนของเรา
เพราะฉะนั้น ดูหน้าตาของคำว่าตัมมยตา ก็มีเค้าที่อาจจะแปลตามศัพท์หรือตามตัวว่า ความเห็นยึดว่านั้นเป็นของเรา จึงเป็นตัณหา และเมื่อเป็นอตัมมยตา ก็เป็นปฏิเสธ คือเป็นความที่ไม่เห็นยึดถือว่านั้นเป็นของเรา เพราะฉะนั้น จึงมีแสดงว่าตัมมยตา คือตัณหา ซึ่งส่องความว่าอตัมมยตา ก็ คือความไม่มีตัณหา
วุฏฐานคามินีปฏิปทา วุฏฐานคามินีวิปัสสนา
และพระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายอตัมมยตานี้ว่าได้แก่ วุฏฐานคามินีปฏิปทา วุฏฐานคามินีวิปัสสนา วิปัสสนา คือความเห็นแจ้ง ที่เป็นเหตุให้ออกจากความครอบงำของตัณหา และย่อมละอุเบกขาที่เกิดจากอรูปสมาบัติทั้ง ๔ และวิปัสสนูเบกขา คืออุเบกขาที่ได้จากวิปัสสนา ได้ด้วยวุฏฐานคามินีวิปัสสนา คือวิปัสสนาที่ให้ถึงการออกนี้ ก็ คืออตัมมยตานั้นเอง เป็นตัววิปัสสนาในขั้นสูง อันเป็นเหตุให้ออกจากความครอบงำของตัณหาได้ จึงเรียกว่าอตัมมยตา ตรัสสอนให้ปฏิบัติอาศัยอตัมมยตานี้ละ เอกัตตา เอกัตตสิตาอุเบกขา คืออุเบกขาที่มี ๑ ที่อาศัยความมี ๑ คืออุเบกขาในอรูปสมาบัติ
ความเพลินในอรูปสมาบัติ
ตามที่ตรัสไว้นี้เป็นเครื่องแสดงว่า แม้ปฏิบัติธรรมะจนได้ถึงอรูปสมาบัติ คืออรูปฌานแล้ว อันได้ชื่อว่าได้เอกัตตา เอกัตตสิตาอุเบกขา แต่ก็ยังไม่ถึงที่สุด เพราะว่าในขั้นนี้ได้มีตรัสไว้ในโสฬสปัญหาว่า ยังมีนันทิ คือความเพลินเป็นเครื่องผูกไว้ อันทำให้ติดอยู่ในอรูปสมาบัติ นันทิ คือความเพลินนี้ ก็เป็นคำที่หมายถึงตัณหานั้นเอง ฉะนั้น แม้ได้อรูปสมาบัติแล้ว เพียงเท่านั้น ก็ยังละตัณหาไม่ได้ ยังออกจากตัณหาไม่ได้ ตัณหายังครอบงำอยู่ตลอดเวลาที่ยังติดอยู่ในอรูปสมาบัติ อันเป็นเอกัตตา เอกัตตสิตาอุเบกขา
จึงต้องพิจารณาให้รู้จักความจริงอันนี้ และละนันทิ คือความเพลินติดอยู่เสีย ด้วยการที่มาปฏิบัติทางวิปัสสนา มองให้เห็นความเกิดขึ้นและความดับไป อันเป็นอนิจตา ประกอบทั้งความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ความสิ้นความเสื่อม แม้ของอรูปสมาบัติ คือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเสื่อมไปได้ จึงไม่เที่ยงต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ให้เกิดปัญญามองเห็นไตรลักษณ์แม้ในอรูปสมาบัตินั้น จนจิตสละความเพลิดเพลิน อันเป็นนันทิในอรูปสมาบัติเสียได้ ตัณหาในอรูปสมาบัตินั้นครอบงำจิตไม่ได้ จึงเป็นอตัมมยตา คือวิปัสสนา อันเป็นเหตุให้ออกจากความครอบงำของตัณหาได้ อันเรียกว่าวุฏฐานคามินีวิปัสสนา ดังกล่าว และเมื่อถึงอตัมมยตาดั่งนี้แล้ว จึงเป็นอันปฏิบัติเข้าถึงมรรคผล อันนับว่าเป็นที่สุดของการปฏิบัติ นำให้ได้อนุตรวิโมกข์ คือความหลุดพ้นอย่างยอดเยี่ยม
ฉะนั้น อตัมมยตานี้จึงเป็นที่สุดของวิปัสสนาปัญญา เชื่อมต่อมรรคผล ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสชี้แจงไว้ ว่าให้อาศัยอตัมมยตาละ เอกัตตา เอกัตตสิตาอุเบกขา อุเบกขาที่มีเป็น ๑ อาศัยความมีเป็น ๑ คืออุเบกขาในอรูปสมาบัติ กับทั้งแม้อุเบกขาในวิปัสสนาเอง ที่ยังต่ำกว่าวุฏฐานคามินีวิปัสสนา วุฏฐานคามินีวิปัสสนานี้ จึงเป็นวิปัสสนาขั้นยอด ก็ คืออตัมมยตานี้เอง เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมสำหรับเป็นทางปฏิบัติ เกี่ยวแก่การปฏิบัติทางจิตใจ กับอารมณ์ของจิตใจตั้งแต่เบื้องต้นในสัตบถทั้ง ๓๖ ประการนี้ อาศัยขั้นแรก และขึ้นไปสู่ขั้นที่ ๒ ให้ขั้นที่ ๒ ละขั้นแรก ขึ้นไปถึงขั้นที่ ๓ และให้ละกันไปโดยลำดับดั่งนี้ เป็น ๗ ขั้น ถึงอตัมมยตานี้เป็นที่สุดของการปฏิบัติ
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป