แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
จะแสดงอธิบายสฬายตนวิภังคสูตร คือพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสจำแนกอายตนะ ๖ ในพระสูตรนี้พระองค์ได้ตรัสบทอุเทศคือแม่บท เป็นหัวข้อกระทู้ที่จะทรงอธิบาย ตั้งต้นแต่อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖ ประชุมหรือหมวดหมู่แห่งวิญญาณ ๖ ประชุมหรือหมวดหมู่ของผัสสะ ๖ มโนปวิจาร ๑๘ คือความเที่ยวไปนึกคิดของใจ สัตตบถ (สตฺตปทา ๓๖) คือทางดำเนินของสัตว์คือผู้ข้องเกี่ยวอยู่ ๓๖ และยังมีต่อไปอีก อันเป็นส่วนทางปฏิบัติสูงสุด ซึ่งจะกล่าวเมื่อถึง จะได้แสดงอธิบายไปตามข้อกระทู้บทอุเทศ ที่ตรัสยกไว้นี้ไปโดยลำดับ อายตนะภายใน ๖ ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมโนหรือมนะคือใจ อายตนะภายนอก ๖ ก็คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สิ่งที่กายถูกต้องและธรรมะคือเรื่องราว
ประชุมหรือหมวดหมู่แห่งวิญญาณ ๖ ก็คือจักขุวิญญาณ รู้รูปคือเห็นรูปทางตา โสตวิญญาณ รู้คือได้ยินเสียงทางหู ฆานวิญญาณ รู้คือทราบกลิ่นทางจมูก ชิวหาวิญญาณ รู้คือทราบรสทางลิ้น กายวิญญาณ รู้คือทราบโผฏฐัพพะสิ่งถูกต้องทางกาย มโนวิญญาณ รู้ก็คือรู้คิดเรื่องทางมโนคือใจ หมวดหมู่แห่งผัสสะ ๖ ก็คือ จักขุสัมผัส สัมผัสทางตา โสตสัมผัส สัมผัสทางหู ฆานสัมผัส สัมผัสทางจมูก ชิวหาสัมผัส สัมผัสทางลิ้น กายสัมผัส สัมผัสทางกาย มโนสัมผัส สัมผัสทางมโนคือใจ มโนปวิจาร ความเที่ยวไปคิดนึกของใจ ๑๘ ก็คือ
เห็นรูปทางตา (เริ่ม) ก็เที่ยวไปคิดนึกถึงรูป อันเป็นที่ตั้งของโสมนัสคือความยินดีบ้าง เป็นที่ตั้งของโทมนัสความยินร้ายบ้าง เป็นที่ตั้งของอุเบกขาคือความที่มีใจเป็นกลางไม่ยินดีไม่ยินร้ายบ้าง
ได้ยินเสียงทางหู ใจก็ท่องเที่ยวคิดนึกถึงเสียง อันเป็นที่ตั้งของโสมนัสยินดีบ้าง เป็นที่ตั้งของโทมนัสยินร้ายบ้าง เป็นที่ตั้งของอุเบกขาเป็นกลางๆ ไม่ยินดีไม่ยินร้ายบ้าง
สูดกลิ่นทางจมูก ใจก็ท่องเที่ยวคิดนึกถึงกลิ่น อันเป็นที่ตั้งของโสมนัสยินดีบ้าง เป็นที่ตั้งของโทมนัสยินร้ายบ้าง เป็นที่ตั้งของอุเบกขาเป็นกลางๆ ไม่ยินดีไม่ยินร้ายบ้าง
ลิ้มรสทางลิ้น ใจก็ท่องเที่ยวคิดนึกไปถึงรส อันเป็นที่ตั้งของโสมนัสยินดีบ้าง เป็นที่ตั้งของโทมนัสยินร้ายบ้าง เป็นที่ตั้งของอุเบกขาเป็นกลางๆ ไม่ยินดีไม่ยินร้ายบ้าง
ถูกต้องโผฏฐัพพะคือสิ่งถูกต้องทางกาย ใจก็ท่องเที่ยวคิดนึกไปถึงสิ่งถูกต้อง อันเป็นที่ตั้งของโสมนัสยินดีบ้าง เป็นที่ตั้งของโทมนัสยินร้ายบ้าง เป็นที่ตั้งของอุเบกขาคือเป็นกลางๆ ไม่ยินดีไม่ยินร้ายบ้าง
รู้หรือคิดเรื่องทางมโนคือใจ ใจก็ท่องเที่ยวคิดนึกไปถึงเรื่อง อันเป็นที่ตั้งของโสมนัสยินดีบ้าง เป็นที่ตั้งของโทมนัสยินร้ายบ้าง เป็นที่ตั้งของอุเบกขาคือเป็นกลางๆ ไม่ยินดีไม่ยินร้ายบ้าง
นับรวมกัน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมะคือเรื่องราว อันเป็นที่ท่องเที่ยวคิดนึกไปของใจ ทั้ง ๖ นี้ เป็นที่ตั้งของโสมนัสยินดี ๖ เป็นที่ที่ตั้งของโทมนัสยินร้าย ๖ เป็นที่ตั้งของอุเบกขาเป็นกลางๆ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย ๖ รวมเข้าก็เป็น ๑๘
สัตตบถ ๓๖
สัตตบถ ทางดำเนินไปของสัตว์คือผู้ข้องเกี่ยว ๓๖ ก็คือ ยกเอาโสมนัสยินดี โทมนัสยินร้าย และอุเบกขาความรู้สึกเป็นกลางๆ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย ซึ่งเป็นไปในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะและธรรมะคือเรื่องราวทั้ง ๖ นั้น นั่นแหละ โดยมาจำแนกว่าเป็นโสมนัสยินดีที่อาศัยเรือน อันเรียกว่า เคหสิตโสมนัส ๖ เป็นโสมนัสที่อาศัยเนกขัมมะคือการออกจากเรือน เรียกว่า เนกขัมมสิตโสมนัส ๖ โทมนัสยินร้ายที่อาศัยเรือน อันเรียกว่า เคหสิตโทมนัส ๖ โทมนัสที่อาศัยเนกขัมมะคือการออกจากเรือน อันเรียกว่า เนกขัมมสิตโทมนัส ๖ อุเบกขาที่อาศัยเรือนอันเรียกว่า เคหสิตอุเบกขา ๖ อุเบกขาที่อาศัยเนกขัมมะการออกจากเรือน อันเรียกว่า เนกขัมมสิตอุเบกขา ๖
ฉะนั้น เมื่อรวมกันเข้าเป็น เคหสิตโสมนัส ที่เป็นไปใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและธรรมะคือเรื่องราว ๖ เนกขัมมสิตโสมนัสที่เป็นไปในอายตนะภายนอกทั้ง ๖ นั้น นั่นแหละ ๖ เคหสิตโทมนัสที่เป็นไปในอายตนะภายนอก ๖ เหล่านั้น เนกขัมมสิตโทมนัสที่เป็นไปในอายตนะภายนอก ๖ เหล่านั้น เคหสิตอุเบกขาที่เป็นไปในอายตนะภายนอก ๖ เหล่านั้น เนกขัมมสิตอุเบกขาที่เป็นไปในอายตนะภายนอก ๖ เหล่านั้น หกหกก็เป็นสามสิบหก จึงมี ๓๖
เคหสิตโสมนัส เนกขัมมสิตโสมนัส
ครั้นทรงจำแนกดั่งนี้แล้ว ก็ตรัสอธิบายเป็นข้อๆ ไปว่า เคหสิตโสมนัสยินดีที่อาศัยเรือนนั้นเป็นอย่างไร คือว่าเมื่อนึกดูถึง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และเรื่องราว ซึ่งจะพึงรู้ได้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางมนะ คือใจ แต่ละข้อ อันน่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ เป็นที่รื่นรมย์ใจ ประกอบด้วยโลกามิส คือเหยื่อซึ่งเป็นเครื่องล่อของโลก ก็เกิดโสมนัส คือความยินดี มีอาการเป็นความติดใจความเพลิดเพลิน ดั่งนี้ เรียกว่า เคหสิตโสมนัส
เมื่อนึกดูถึง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และเรื่องราวที่รู้ คือเห็นทางตา ได้ยินทางหู ทราบทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย รู้คิดทางมโนคือใจ อันเป็นรูปที่เคยเห็นมาก่อนแล้ว หรือในปัจจุบันก็ดี เป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรส เป็นโผฏฐัพพะ เป็นธรรมะคือเรื่องราว ที่ได้ยิน ได้ทราบ ได้รู้มาในก่อนแล้ว หรือในบัดนั้นก็ดี มีความรู้ว่ารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมะคือเรื่องราว ทั้งปวงนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา อันนำให้เกิดความสำรอกใจจากความติดใจยินดี นำให้เกิดความดับความเพลิดเพลิน ก็เกิดโสมนัสขึ้น จึงเรียกว่า เนกขัมมสิตโสมนัส โสมนัสยินดีที่อาศัยเนกขัมมะคือการออกจากเรือน
เคหสิตโทมนัส เนกขัมมสิตโทมนัส
ส่วนโทมนัสนั้นยินร้าย ที่อาศัยเรือนอันเรียกว่า เคหสิตโทมนัส ย่อมมีเมื่อนึกดูถึงการไม่ได้ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมะคือเรื่องราว ดังกล่าวในข้อแรก หรือนึกถึง รูป เสียงเป็นต้นเหล่านั้นที่เคยไม่ได้มาก่อน ก็เกิดโทมนัสขึ้น ยินร้ายขึ้น เสียใจขึ้น ดั่งนี้เรียกว่า เคหสิตโทมนัส
แต่ว่าเมื่อนึกดูถึง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมะคือเรื่องราวเหล่านั้น ว่าเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา นึกกระหยิ่มใจใคร่จะได้วิโมกข์ คือความหลุดพ้น หรือวิมุติ คือความหลุดพ้นอย่างยอดเยี่ยมที่พระอริยะทั้งหลายได้ แต่ว่ายังไม่สามารถจะได้ ก็เกิดความเสียใจคือโทมนัสขึ้น ดั่งนี้เรียกว่า เนกขัมมสิตโทมนัส โทมนัสที่อาศัยเนกขัมมะคือการออกจากเรือน
เคหสิตอุเบกขา เนกขัมมสิตอุเบกขา
ส่วนอุเบกขานั้นเล่า ที่อาศัยเรือนอันเรียกว่าเคหสิตอุเบกขา ก็ได้แก่เมื่อนึกถึง หรือนึกดูถึง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมะคือเรื่องราวเหล่านั้น แต่ว่าใจก็เฉยๆ เป็นกลางไม่ยินดีไม่ยินร้ายอะไร เหมือนอย่างบุถุชนทั่วไป บางคราวเมื่อเห็นอะไรได้ยินอะไรเป็นต้น ก็เฉยๆ จะชอบก็ไม่ใช่ จะชังก็ไม่ใช่ คือความชอบก็ไม่เกิด ความชังก็ไม่เกิด อาจจะเป็นเพราะยังไม่พอที่จะให้ชอบ ยังไม่พอที่จะให้ชัง ใจก็เฉยๆ เฉยๆ โดยที่ไม่ต้องปฏิบัติทางจิตทางใจอะไร ไม่ต้องทำความรู้อะไร มันเฉยเพราะเหตุที่รูปเสียงเป็นต้นนั้นๆ ยังไม่พอจะทำให้ชอบ หรือให้ชังเท่านั้น เฉยๆ โดยที่ไม่รู้อะไรดั่งนี้เรียกว่า เคหสิตอุเบกขา คนสามัญทั่วไปก็มีอยู่เป็นอันมากเหมือนกัน เพราะว่าไม่ใช่ว่าเห็นอะไรได้ยินอะไรเป็นต้น แล้วจะต้องชอบหรือชัง ยินดีหรือยินร้ายไปทั้งหมด มีเป็นอันมากเหมือนกันที่ไม่มาสัมผัสใจให้ชอบหรือให้ชัง ก็ดูผ่านไปก็ผ่านมา ฟังผ่านไปก็ผ่านมา ใจก็เฉยๆ คนสามัญมีเป็นอันมาก เป็นอุเบกขาของคนสามัญทั่วไป ดั่งนี้ เป็น เคหสิตอุเบกขา
ส่วนความวางเฉย ความมีใจเป็นกลาง ชนิดที่ใช้ปัญญาพิจารณา คือเมื่อนึกดูถึง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมะคือเรื่องราวอะไร ก็นึกรู้ว่าสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ก็วางใจเป็นกลางได้ ไม่เกิดความติดใจยินดี อุเบกขาดั่งนี้เป็นอุเบกขาที่เรียกว่าเนกขัมมสิตอุเบกขา อุเบกขาที่อาศัยเนกขัมมะคือการออกจากเรือน เพราะฉะนั้น อาการที่เป็นโสมนัส ยินดีชอบใจ โทมนัส ยินร้ายไม่ชอบใจ และอุเบกขาเป็นกลางๆ ของชาวโลกทั้งหลายที่เรียกว่าสัตว์โลก โลกคือหมู่สัตว์ คือหมู่แห่งชนที่ยังมีความข้องเกี่ยวอยู่ ติดอยู่ในโลก จึงเรียกว่าสัตตะ หรือสัตวะ ดังที่เรียกว่าสัตว์โลก ย่อมเป็นไปอยู่ดั่งนี้ แต่ว่า แม้จะเป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา อุเบกขาที่อาศัยเนกขัมมะคือการออกจากกาม ด้วยรู้จักพิจารณาให้เห็นว่าไม่เที่ยง มีทุกข์ มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดาก็จริง แต่ยังเป็นขั้นที่ต้องอาศัย อาศัยเนกขัมมะอยู่
ท่านจึงแสดงว่า ยังไม่ล่วงอำนาจของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ คือธรรมะคือเรื่องราว คือว่ายังกลับไปกลับมา แม้จะได้ความรู้เห็นในอนิจจตา ความไม่เที่ยง ทุกขตา ความเป็นทุกข์ และความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง แต่ก็เป็นความรู้ความเห็นขั้นต้นของชาวโลก ในขณะที่พิจารณา ก็เกิดอุเบกขา แต่เมื่อหยุดพิจารณาก็เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น แล้วก็อาจจะเปลี่ยนเป็นโสมนัสยินดีในคราวอื่นก็ได้ เปลี่ยนเป็นโทมนัสยินร้ายก็ได้ เพราะฉะนั้น จึงยังไม่ล่วงอำนาจของ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมะคือเรื่องราว รูปเสียงเป็นต้นนั้นยังอาจครอบงำจิตใจได้ ยังไม่เป็นความหลุดพ้น เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี้จึงจัดว่าเป็น สัตตบถ คือเป็นทางดำเนินแห่งความยินดี ความยินร้าย และความเป็นกลางๆ ของจิต
อนึ่ง ก็พึงพิจารณาเห็นได้ว่า โสมนัส โทมนัส อุเบกขา ที่ตรัสแสดงไว้นี้ เทียบได้กับเวทนา (เริ่ม) คือเป็นขั้นเวทนา คือเวทนานั้นมีจำแนกเป็น สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา สุขเวทนานั้นเองเป็นโสมนัส ทุกขเวทนานั้นเองคือโทมนัส เวทนาที่ไม่ทุกข์ไม่สุขนั้นเองก็เป็นอุเบกขา เพราะว่าเวทนาที่เป็นสุขนั้นย่อมมีอาการที่ทำให้ยินดี ประกอบอยู่ ทุกขเวทนาก็มีอาการที่ทำให้มีความยินร้ายเสียใจ ไม่ชอบใจ ประกอบอยู่ เวทนาที่ไม่ทุกข์ไม่สุขก็มีอาการที่เป็นอุเบกขา นั้นเอง
เพราะฉะนั้น จึงจัดเป็นระดับจิตที่ในขั้นเวทนา แต่ว่าแสดงในทางที่เจือด้วยยินดียินร้ายและอุเบกขา อันเป็นอาการของความติดใจที่เป็นราคะ เป็นอาการของความไม่ชอบ ความระทม หรือความทุกข์ อันอยู่ในลักษณะของโทสะ และเป็นอาการของโมหะคือความหลง ไม่รู้ และแม้ว่าจะรู้ใน อนิจตา ทุกขตา อนัตตา ในลักษณะที่เป็นเนกขัมมสิตโสมนัส เนกขัมมสิตอุเบกขา ก็ตาม ก็ยังไม่แน่นอน จึงนับว่าอยู่ในขั้นเวทนา แต่คาบเกี่ยวไปถึงเวทนาที่กลายเป็นจิตตสังขารเครื่องปรุงจิต ให้ยินดีให้ยินร้าย
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป