แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่ามีบุคคล ๓ จำพวก คือ ๑ บุคคลที่มีจิตใจเหมือนอย่างแผลเรื้อรัง ๒ บุคคลที่มีจิตใจเหมือนอย่างสายฟ้าแลบ ๓ บุคคลที่มีจิตใจเหมือนอย่างเพชร
ได้ตรัสอธิบายว่าจำพวกที่ ๑ บุคคลที่มีจิตใจเหมือนอย่างแผลเรื้อรังนั้น คือแผลเรื้อรังย่อมมีน้ำเลือดน้ำหนอง และเยื่อเนื้อไหลออก และเมื่อได้ถูกกระทบด้วยไม้หรือกระเบื้อง ก็จะทำให้เป็นแผลมากขึ้น และมีน้ำเลือดน้ำหนองเยื่อเนื้อไหลออกมากขึ้น ถูกสะกิดแม้นิดหน่อยก็จะทำให้น้ำเลือดน้ำหนองและเยื่อไหลได้ง่าย ทำให้เจ็บปวดเป็นทุกขเวทนา ฉันใด
จิตใจของบุคคลก็ฉันนั้น จำพวกที่มีจิตใจอ่อนไหวง่าย หรือที่เรียกว่าใจน้อยโกรธง่าย ถูกกระทบกระทั่งแม้เล็กน้อยก็โกรธ และไม่ใช่แต่จำเพาะโทสะเท่านั้น แม้ถูกกระทบกระทั่ง คือรับอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งราคะความติดใจยินดี ก็ชอบได้ง่าย รับอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งโมหะคือความหลงใหล ก็หลงใหลได้ง่าย
จำพวกที่ ๒ มีจิตใจเหมือนอย่างสายฟ้าแลบ ก็คือมีจิตใจไม่เป็นแผลเรื้อรัง หรือหายจากแผลเรื้อรัง ก็ได้ปัญญาในธรรม แต่ปัญาในธรรมที่ได้นั้น ก็ได้แว่บหนึ่งๆ คือได้ปัญญาอันเป็นเหมือนอย่างแสงสว่างในที่มืด มองเห็นสัจจะธรรมธรรมะที่เป็นตัวความจริง แว่บหนึ่งๆ เหมือนอย่างสายฟ้าแลบ เมื่อเกิดขึ้นก็ทำให้มองเห็นสิ่งทั้งหลายในที่มืดแว่บหนึ่งๆ ชั่วเวลาที่ฟ้าแลบนั้น
ท่านอธิบายว่าคือได้ปัญญาเห็นธรรมที่ได้แก่ความจริงดังกล่าว ก็ควรจะหมายถึงตั้งแต่สามัญชนขึ้นไป จนถึงพระอริยบุคคล ที่เป็นขั้นเสขะบุคคล คือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี เมื่อพระอริยบุคคลทั้ง ๓ จำพวกนี้ ได้โสดาปัติมรรค สกทาคามีมรรค อนาคามีมรรค ก็ได้ปัญญาเห็นอริยสัจจ์ คือทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ แว่บหนึ่งๆ
และแม้สามัญชนผู้ปฏิบัติธรรมได้สมถะได้วิปัสสนาในธรรม ปัญญาที่เกิดขึ้นเห็นธรรมก็เป็นเช่นนั้น คือจะเห็นทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ แว่บหนึ่งๆ แล้วก็กลับมืด แม้อริยบุคคลชั้นเสขะบุคคลดังกล่าวข้างต้น ท่านก็อธิบายว่าอยู่จำพวกที่มีจิตใจเหมือนอย่างแสงฟ้าแลบ
จำพวกที่ ๓ มีจิตใจเหมือนอย่างเพชร โดยอธิบายว่า เพชรนั้นที่จะตัดแก้วมณีหรือหินไม่ได้ ย่อมไม่มี ย่อมตัดแก้วมณีหรือหินได้ ฉันใด จิตที่เหมือนอย่างเพชรก็ฉันนั้น ย่อมตัดกิเลสและกองทุกข์ได้ ท่านอธิบายเป็นอย่างสูง ก็ได้แก่จิตของพระอรหันต์ที่ตัดกิเลสได้ด้วยอรหัตมรรคหมดสิ้น จึงเรียกว่าเป็นผู้ที่มีจิตเหมือนอย่างเพชร ท่านอธิบายไว้ในแนวนี้
แต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว หากว่าจะอธิบายให้หมายครอบถึงสามัญชนทั่วไปได้ ก็อาจอธิบายได้ คือบุคคลจำพวกที่ ๑ ที่มีจิตเหมือนอย่างแผลเรื้อรังนั้น ก็คือจิตของบุถุชนคนที่มีกิเลสหนาทั่วไป คือมีราคะโทสะโมหะหนาแน่น มีโลภโกรธหลง หรือว่าโลภะโทสะโมหะหนาแน่น เปรียบเหมือนอย่างว่าเป็นแผลเรื้อรังของร่างกาย ย่อมมีน้ำเลือดน้ำหนองเยื่ออยู่ในแผลนี้แล้ว แม้ว่าเมื่อยังไม่ถูกกระทบกระทั่ง มีผ้าปิดแผลปิดไว้ หรือมีหนังที่บางหุ้มอยู่ ให้อมน้ำเลือดน้ำหนองเยื่ออยู่ในภายใน แต่ว่าเมื่อถูกกระทบกระทั่งเข้าแล้ว หนังบางๆ ที่หุ้มแผลอยู่ก็ฉีกขาดได้ง่าย น้ำเลือดน้ำหนองเยื่อที่อมไว้ในแผลก็จะไหลออกมา หรือแม้มีผ้าปิดแผลปิดอยู่ก็จะกระทบกระทั่งบีบเข้าไปให้แผลแตกออก มีน้ำเลือดน้ำหนองเยื่อไหลออกมาได้
จิตใจของสามัญชนที่หนาด้วยกิเลส ก็เป็นจิตใจที่เหมือนอย่างเป็นแผลเรื้อรังดั่งนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อรับอารมณ์ทั้งหลาย ทางตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจ อารมณ์คือเรื่องเหล่านี้ก็เข้าไปกระทบแผลในใจที่อมเลือดหนองเยื่ออยู่นี้ให้แตก ไหลเป็นน้ำเลือดน้ำหนองและเยื่อเนื้อออกมา เปรอะเปื้อน จิตที่หนาด้วยกิเลสย่อมเป็นดั่งนี้ เมื่อรับอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งโทสะ ก็จะเกิดความกระทบกระทั่ง เกิดโกรธแค้นขัดเคืองขึ้นได้ง่าย แม้เมื่อรับอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งราคะก็เช่นเดียวกัน ก็เกิดชอบชมนิยมยินดี เกิดอยากได้ใคร่ถึงโดยง่าย เมื่อรับอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความหลงใหล ก็เกิดความหลงใหลได้ง่าย
นี้เป็นจิตของสามัญชนทั่วไป และสามัญชนที่เป็นกิเลสหนาเหล่านี้ ที่หนามากมีโมหะคือความหลงมาก โลภมาก โกรธมาก จนถึงมีจิตใจที่หยาบช้าทารุณ ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษประโยชน์มิใช่ประโยชน์ ไม่มีสติที่จะเตือนใจ ก็เรียกว่าเป็นอันธพาลบุถุชน คือบุถุชนที่เป็นอันธพาล คือเป็นผู้โง่เขลา พาละแปลว่าโง่เขลา อันธะ แปลว่าบอด เหมือนอย่างตาบอดมองไม่เห็นอะไร อย่างที่เราเรียกกันว่าอันธพาลในภาษาไทย ก็นำคำนี้มาใช้ อันธะก็คือว่าบอด พาละก็คือว่าโง่เขลา โง่เขลาเหมือนอย่างตาบอดมองไม่เห็นอะไร เพราะจิตใจมีกิเลสหุ้มห่ออยู่หนาแน่น ทั้งกิเลสกองราคะหรือโลภะ กองโทสะ กองโมหะ รวมเป็นกองตัณหาความดิ้นรนทะยานอยากอย่างอื่นๆ ตามอาการของกิเลสเหล่านั้น
เพราะฉะนั้น บุคคลที่เป็นอันธพาลนี้ จึงเรียกว่าเป็นคนที่ตกอยู่ในกระแสของบาปของกิเลส เป็นผู้ที่ตกต่ำอยู่ในโลกที่ชั่ว แม้ว่าจะมีร่างกายเป็นมนุษย์ ก็เป็นมนุษย์ที่ต่ำทราม ดังเช่นที่เรียกว่า มนุสเปโต มนุษย์เปรต มนุสนิรยโก มนุษย์นรก มนุสติรัจฉาโน มนุษย์เดรัจฉาน
พระพุทธเจ้าได้ทรงอุบัติขึ้นในโลก ได้ทรงแสดงธรรมะสั่งสอน เปรียบเหมือนอย่างเป็นแสงสว่างที่ปรากฏขึ้นในโลกที่มืดมิด เพราะฉะนั้น บรรดาสัตว์โลกผู้ที่เกิดมาในอัตภาพของมนุษย์ ซึ่งแปลว่าเป็นผู้ที่มีใจสูง คือมีปัญญาสูงเป็น สชาติปัญญา ปัญญาที่ได้มาพร้อมกับชาติคือความเกิด จึงสามารถที่จะได้รับแสงสว่าง คือพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้ สามารถที่จะได้สติได้ปัญญาในธรรมะที่เป็นตัวความจริงที่พระพุทธเจ้าสอน และธรรมะคือตัวความจริงที่พระพุทธเจ้าสอนนั้น ก็คือธรรมชาติธรรมดานี้เอง ซึ่งเป็นสัจจะที่มีอยู่ พระพุทธเจ้าได้ทรงชี้ให้เห็น จึงเปรียบพระพุทธเจ้าเหมือนอย่างผู้ที่ชูประทีปขึ้นในที่มึด ทำให้บุคคลทั้งหลายที่มีจักษุ คือดวงตามองเห็นทางดำเนิน มองเห็นสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในที่มืดนั้น
เหมือนอย่างโลกธาตุที่มืด เมื่อเกิดแสงสว่างขึ้น แสงสว่างก็ส่องสว่าง ทำให้ผู้ที่มีจักษุคือดวงตา ลืมตาขึ้นก็มองเห็นสิ่งทั้งหลาย เช่น ต้นไม้ ภูเขา และสิ่งต่างๆ บรรดาที่มีอยู่ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ก็เป็นธรรมชาติธรรมดาที่มีอยู่ ( เริ่ม) พระองค์ไม่ได้ทรงสร้างธรรมชาติธรรมดานี้ขึ้น เพราะฉะนั้นในธรรมนิยามสูตรพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเอาไว้ว่า ธาตุนั้นตั้งอยู่ เป็นธรรมฐิติความตั้งอยู่แห่งธรรม ธรรมนิยามความกำหนดแน่แห่งธรรม พระพุทธเจ้าผู้ตถาคตจะทรงอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่ทรงอุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้นดังกล่าวก็ตั้งอยู่ กล่าวคือข้อที่สังขารสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งปวงเป็นอนิจจะคือไม่เที่ยง ข้อที่สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ คือทนอยู่คงที่ไม่ได้ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป ข้อที่ธรรมทั้งหลาย คือทั้งสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่ง และทั้งวิสังขารคือสิ่งที่ไม่ผสมปรุงแต่ง เป็นอนัตตา มิใช่อัตตาตัวตน
นี้คือข้อที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าธาตุนั้นตั้งอยู่ เป็นธรรมฐิติความตั้งอยู่แห่งธรรม ธรรมนิยามความกำหนดแน่แห่งธรรม แต่เพราะพระตถาคตพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ธาตุนั้นแล้ว จึงทรงแสดงสั่งสอนเปิดเผยกระทำให้ตื้น คือให้เวไนยนิกรหมู่ชนที่พึงอบรมแนะนำได้ รู้ได้เข้าใจได้ว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ดั่งนี้
เพราะฉะนั้น ในบรรดาหมู่สัตว์โลกทั้งหลาย จึงได้มีบางจำพวกที่แนะนำอบรมได้ ได้ศรัทธาความเชื่อ ได้ปัญญาในธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ดังที่ได้รู้จักว่าจิตใจนี้ เมื่อยังไม่ได้รับการอบรม อันเรียกว่าจิตตภาวนา ก็เป็นเหมือนอย่างเป็นแผลที่เรื้อรังดังที่กล่าวนั้น แต่เมื่อได้อบรมตามที่พระพุทธเจ้าสั่งสอน ดังที่ได้มาปฏิบัติในศีลในสมาธิในปัญญา หรือในมรรคมีองค์ ๘ หรือในสติปัฏฐานทั้ง ๔ ที่ปฏิบัติกันอยู่
ธรรมะที่ปฏิบัติเหล่านี้ ก็เหมือนอย่างเป็นการที่ได้บริโภคยา หรือได้ทายา ที่นายแพทย์คือพระพุทธเจ้าได้ให้ เป็นธรรมโอสถที่รักษาแผลในจิตใจ จนแผลบรรเทา
ทั้งนี้ก็เพราะว่า ทีแรกก็ได้ปัญญาในธรรมเหมือนอย่างฟ้าแลบ และเมื่อปฏิบัติอยู่ในธรรมะบ่อยๆ ก็จะได้ฟ้าแลบคือปัญญาที่เห็นธรรมบ่อยๆ ก็คือว่าได้เห็นศีล ได้เห็นสมาธิ ได้เห็นปัญญา หรือว่าได้เห็นทาน เห็นศีล เห็นภาวนา เมื่อปฏิบัติในสติปัฏฐาน ก็ได้เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ที่ตนเอง ปฏิบัติทีหนึ่งก็เห็นทีหนึ่ง เป็นแว่บหนึ่งๆ และเมื่อหยุดปฏิบัติก็มืดไปตามเดิม ปฏิบัติใหม่ก็เห็นใหม่
และเมื่อได้เห็นธรรมะเมื่อใด ก็เป็นการตัดกิเลสและกองทุกข์เมื่อนั้น แม้เป็นการตัดได้ชั่วคราว และแม้จะเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งชั่วคราว เช่นเมื่อความโกรธเกิดขึ้น ได้สติได้ปัญญาเห็นความโกรธที่เกิดขึ้นที่จิตใจของตน และเห็นโทษความโกรธ ความโกรธก็ดับ เมื่อราคะหรือโลภะเกิดขึ้น ก็ดูราคะหรือโลภะที่จิตใจของตน เห็นโทษ หรือว่าเป็นแผล ราคะหรือโลภะก็ดับ เมื่อหลงเกิดขึ้นรู้ว่าเป็นความหลง ก็ได้ปัญญาคือสัจจะคือความจริงในข้อนั้น โมหะคือความหลงในข้อนั้นก็ดับไป ก็เป็นการตัดคราวหนึ่งอย่างหนึ่ง ก็เป็นการปฏิบัติทำจิตใจให้เป็นเหมือนอย่างเพชร
เพราะฉะนั้น ผู้ที่มาตั้งใจฟังธรรม ด้วยปัญญาที่มีอยู่เป็น สชาติปัญญา ก็ย่อมจะได้ปัญญาในธรรมของพระพุทธเจ้า และเมื่อได้ปฏิบัติธรรมะที่ได้สดับนั้น เป็นศีลให้ถึงจิตใจ เป็นสมาธิให้ถึงจิตใจ เป็นปัญญาให้ถึงจิตใจ เป็นการปฏิบัติธรรมะให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น ก็เป็นการปฏิบัติที่รักษาแผลของจิตใจ หรือรักษาจิตใจให้หายจากแผล ไม่ใช่รักษาเอาแผลไว้ แต่รักษาจิตใจหายจากแผล ก็จะได้ปัญญาขึ้นแว่บหนึ่งๆ ในธรรม และปัญญาที่ได้จากแว่บหนึ่งๆ เป็นอย่างสายฟ้าแลบในธรรมนั้น ได้เมื่อไรก็จะเป็นการตัดเป็นการรักษาแผล รักษาจิตให้หายจากแผลในคราวหนึ่งๆ เพียงนั้น
เพราะฉะนั้น เมื่อได้มาตั้งใจฟังธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน และตั้งใจปฏิบัติธรรมดังกล่าว จึงชื่อว่าได้เป็นการปฏิบัติรักษาจิตใจ ทำจิตใจให้หายจากแผลคราวหนึ่งๆ ทำจิตใจให้เหมือนอย่างเป็นสายฟ้าแลบด้วยปัญญาคราวหนึ่งๆ ทำจิตใจให้เหมือนอย่างเพชรที่ตัดกิเลสได้คราวหนึ่งๆ แม้ว่ากิเลสยังกลับมาอีก ก็กลับมา ก็ปฏิบัติกันไปใหม่ และเมื่อปฏิบัติอยู่บ่อยๆ ให้มากขึ้นๆ ดั่งนี้แล้ว ก็จะรักษาแผลให้หายได้ คือรักษาจิตใจให้หายได้จากแผล รักษาแผลให้หมดไปได้ รักษาจิตใจให้หายจากแผล ทำแผลให้หมดไปได้ โดยลำดับ
เมื่อแผลน้อยเข้าๆ แสงฟ้าแลบก็จะมาบ่อยเข้า จิตใจก็จะเป็นเพชรมากขึ้น ตัดกิเลสและกองทุกข์ได้มากขึ้น สว่างมากขึ้น ผ่องใสมากขึ้นตามธรรมชาติของเพชร จิตใจก็เช่นเดียวกัน ก็จะผ่องใสก็จะสว่างมากขึ้นตามธรรมชาติของจิตใจ ที่เป็นธาตุรู้ และที่เป็นธรรมชาติปภัสสรหรือผุดผ่องเหมือนอย่างเพชรนั้น
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป