แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
การทำสมาธิในการฟังนั้น ก็คือถือเอาธรรมะที่ฟังเป็นที่ตั้งของใจ อันประกอบด้วย วิตก คือยกจิตให้ตั้งอยู่ในธรรมะที่ฟัง และ วิจาร คือประคองจิตให้ตั้งอยู่ในธรรมะที่ฟัง อันคำว่า วิตกเรามักแปลกันในภาษาไทยว่าความตรึก วิจารเรามักแปลกันว่าความตรอง ก็ถูกต้องเหมือนกัน แต่ก็ต้องทำความเข้าใจในทางปฏิบัติ ซึ่งใช้วิตกและใช้วิจารนี้ว่า ความตรึกหรือวิตกนั้น หมายถึงนำจิตหรือน้อมจิต ให้ตั้งอยู่ในอารมณ์ของสมาธิ หรือว่าของปัญญาก็ได้ ตรองหรือวิจารนั้น ก็หมายถึงประคองจิตให้ตั้งอยู่ในอารมณ์ของสมาธิหรือของปัญญาก็ได้ แต่ว่าในขั้นนี้ ก็พึงหมายถึงนำจิตให้ตั้งไว้ในอารมณ์ของสมาธิ
ประคองจิตให้ตั้งไว้ในอารมณ์ของสมาธิก่อน คือทำสมาธิในการฟัง ก็คือว่าตั้งจิตให้ตรึกให้ตรองอยู่ในธรรมะที่ฟัง ไปตามถ้อยคำแห่งธรรมะที่แสดง อันจะเป็นเหตุให้ฟังได้ยินธรรมะที่แสดงนี้ทุกถ้อยคำ ไม่ตกหล่น หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ให้ใจฟังพร้อมกับหูที่ฟัง หูที่ฟังนั้นก็อาศัยประสาท เสียงที่แสดงธรรมย่อมเป็นเสียงที่มากระทบประสาทหูทุกถ้อยคำ แต่ใจต้องตั้งฟังด้วย การได้ยินเสียงจึงจะมีขึ้น ถ้าใจไม่ตั้งฟังด้วย ถึงแม้ว่าจะมีเสียงมากระทบโสตะประสาท แต่ก็ไม่ได้ยิน เหมือนอย่างหูดับหรือประสาทดับ ต้องตั้งใจฟังด้วย คือใจต้องฟังด้วย โสตะประสาทจึงจะไม่ดับ ได้ยิน
เพราะฉะนั้นใจจึงสำคัญมาก ต้องฟังไปพร้อมกับหู หรือโสตะประสาท จึงจะได้ยินถ้อยคำที่แสดงธรรมทุกถ้อยคำ เช่นเดียวกับอ่านหนังสือ ตาอ่านด้วยจักขุประสาท ใจก็ต้องอ่านไปพร้อมกับตา จึงจะเห็นตัวอักษรทุกคำทุกอักษร ถ้าใจไม่อ่านด้วย จักขุประสาทก็ดับเหมือนอย่างตาบอด (เริ่ม) แม้ประสาทตาจะดีก็เหมือนอย่างตาบอด ต้องใจอ่านด้วยจึงจะบังเกิดการเห็น การเห็นตัวอักษรแห่งธรรมะนั้นทุกตัวอักษร ในเมื่อใจอ่านทุกตัวอักษร เช่นเดียวกับใจฟังทุกถ้อยคำ จึงจะได้ยินถ้อยคำที่แสดงธรรมทุกถ้อยคำ ใจที่ตั้งฟังดั่งนี้แหละคือ วิตก ที่เรียกว่าตรึก แล้วก็ประคองให้ใจนี้ตั้งฟังอยู่เรื่อยไป ไม่ให้ใจแว่บออกไปไหน ดั่งนี้คือ วิจาร ที่เรียกว่าตรอง
เพราะฉะนั้น วิตกวิจารนี้จึงคู่กัน ต้องมีทั้งสอง ใจจึงจะตั้งฟัง หรือตั้งอ่านอยู่ได้นาน ถ้ามีแต่เพียงวิตกอย่างเดียวไม่มีวิจาร ก็ได้แค่แว่บหนึ่งๆ ขาดๆ วิ่นๆ ต่อเมื่อมีคู่กันอยู่ใจจึงจะตั้งอยู่ที่จะฟังที่จะอ่านได้นาน ทำให้รู้เรื่องได้ตลอด ซึ่งเป็นตัวปัญญา อันบังเกิดขึ้นจากสมาธิ คือทำสมาธิในการฟัง อันได้แก่วิตกวิจารดังกล่าว ปัญญาในธรรมจึงจะบังเกิดขึ้น คือว่าจะรู้เรื่อง เอาแค่รู้เรื่องก่อน ฟังก็รู้เรื่อง อ่านก็รู้เรื่อง เป็นตัวปัญญา คู่กันไป
สมาธิและปัญญานี้จึงต้องคู่กันดั่งนี้ และก็ต้องอาศัยศีลเป็นภาคพื้น คือความสำรวมกายวาจาใจ ถ้าจะฟังก็แปลว่าต้องเงี่ยโสตคือเงี่ยหูที่จะฟัง ต้องตั้งใจที่จะฟังเรียกว่าเงี่ยใจที่จะฟัง เงี่ยหูที่จะฟัง เงี่ยใจที่จะฟัง ความเงี่ยหูเงี่ยใจดังกล่าวนี้จะมีได้ ก็ต้องอาศัยความสำรวมซึ่งเป็นตัวศีล ดังจะพึงเห็นได้ว่าทุกๆ คนเมื่อมาฟังธรรมดั่งนี้ ก็นั่งอยู่ในอาการที่สำรวม อันเป็นความสำรวมกาย สำรวมวาจา ก็คือว่ามีความคิดอันเป็นวิตก หรือตรึกที่เป็นวิตก วิจารตรอง นี่เป็นตัววาจาของใจ ต้องสำรวมให้ตรึกตรองอยู่ในธรรมะที่อ่านที่ฟัง รวมเข้าคือสำรวมใจนั้นเอง ให้ใจตั้งที่จะฟัง ตรึกตรองในธรรมจึงจะเป็นไปได้
วจีสังขาร
เพราะว่าความตรึกตรองหรือวิตกวิจารนี้ ท่านเรียกว่า วจีสังขาร ปรุงแต่งวาจา เพราะคนจะพูดออกไปทางปาก ก็จะต้องคิดก่อน ใจต้องพูดก่อน ก็คือตรึกตรองนี้เองจึงเป็นวาจาออกไป เพราะฉะนั้นตรึกตรองนี้จึงเป็นเสมอวาจา ซึ่งเป็นภาษาของใจ วาจาจริงๆ ที่พูดนี่เป็นๆ ภาษาของกาย
ต้องมีความสำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจดั่งนี้ แปลว่าพร้อมที่จะฟัง พร้อมที่จะอ่าน หรือว่าอย่างเป็นนักเรียน เวลาเรียนในโรงเรียนก็ต้องนั่งโต๊ะนั่งเก้าอี้ หรือนั่งกับพื้นก็ตาม พร้อมที่จะเรียนฟังครูบรรยาย หรือพร้อมที่จะจดข้อที่ควรจด และร่างกายพร้อม นี่แหละคือตัวศีล จึงจะได้สมาธิได้ปัญญาดั่งที่กล่าวมานั้น นี้เป็นการใช้กายวาจาใจไปในทางธรรมปฏิบัติ
วิตกวิจารอันเนื่องมาจากกิเลส
แต่แม้ในทางโลกจะเป็นในการงานที่ทำก็ดี หรือว่าในทางที่ก่อกิเลสก็ดี ในทางที่ก่อกรรม คือการงานที่กระทำทางกายทางวาจาทางใจ อันเนื่องมาจากกิเลสก็ดี ก็เกิดจากวิตกวิจารดังกล่าวนี้เหมือนกัน คือว่าเมื่อมีวิตกวิจาร หรือจะขอเรียกเพียงคำเดียวสั้นๆ ว่าวิตก ก็พึงหมายถึงวิจารคู่กันไปด้วย คือวิตกไปในอกุศลวิตก ความตรึกที่เป็นอกุศลทั้งหลายในนิมิต คือเครื่องกำหนดของจิตใจ อันเป็นที่ตั้งของกิเลสทั้งหลาย ได้แก่ฉันทะคือความพอใจ หรือราคะคือความติดใจยินดี โลภะความโลภอยากได้ก็ดี โทสะความกระทบกระทั่งโกรธแค้นขัดเคืองก็ดี โมหะคือความหลงก็ดี
เหล่านี้ก็อาศัยวิตกเหมือนกัน คือว่าตรึกนึกคิดไปในอารมณ์คือเรื่อง อันเป็นที่ตั้งของอกุศลทั้งหลาย ก็คือว่าเรื่องต่างๆ ที่เข้ามาสู่จิตใจทางตา คือว่ารูปทั้งหลายที่ตามองเห็นบ้าง ทางหูคือเสียงทั้งหลายที่หูได้ยินบ้าง ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ที่ได้ทราบทางจมูกทางลิ้นทางกายบ้าง ทางมโนคือตัวใจ ที่ใจได้รู้ได้คิดเรื่องทั้งหลาย ทางมโนคือใจบ้าง
เมื่ออารมณ์คือเรื่องที่ใจคิดใจดำริใจหมกมุ่นถึงเหล่านี้ เป็นที่ตั้งของฉันทะหรือราคะโลภะ คือเป็นชนวนให้เกิดความชอบความพอใจขึ้น จึงเกิดฉันทะคือความพอใจ ราคะความติดใจยินดี โลภะความโลภอยากได้ ถ้าเป็นเรื่องที่กระทบกระทั่ง เป็นชนวนของความขัดใจโกรธแค้นขัดเคือง ก็เกิดโทสะคือความโกรธแค้นขัดเคือง เมื่อเรื่องเหล่านั้นเป็นชนวนให้เกิดโมหะคือความหลงไม่รู้จริง ก็เกิดโมหะคือความหลงไม่รู้จริง อันเป็นเหตุให้ถือเอาผิด
เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี้ก็บังเกิดจากวิตกคือความตรึกนึกคิดที่ปรุงแต่งนั้นเอง ปรุงแต่งใจให้ชอบ ก็เป็นกิเลสกองชอบคือ ฉันทะ ราคะ โลภะ ปรุงแต่งใจให้ชัง ก็เกิดกิเลสกอง โทสะ ปรุงแต่งใจให้หลงถือเอาผิด ก็เกิดกิเลสกอง โมหะ คือใจนี้เองปรุงแต่ง ความปรุงแต่งอันนี้เรียกว่า สังขาร ปรุงแต่งใจ ปรุงแต่งใจให้วิตกคือตรึกนึกคิด ให้วิจารคือตรอง อันได้แก่ให้แซ่วอยู่อย่างต่อเนื่องในความคิดปรุงนั้นๆ เพราะฉะนั้น วิตกวิจาร หรือวิตกเรียกแต่เพียงคำเดียวดังกล่าวนั้น จึงเกิดจากใจนี้เองที่คิดปรุงแต่ง อันเรียกว่าความปรุงแต่งใจ คือใจนี้เองแต่งขึ้น ใจนี้เองปรุงขึ้น
วิตักกสังขาร
เพราะฉะนั้น เมื่อใจนี้เองปรุงแต่งขึ้นให้คิดนึกตรึกตรองไป ในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งของกิเลสทั้งหลาย แล้วก็บังเกิดกิเลสขึ้นมาผูกพันใจ เกี่ยวใจไว้ไม่ให้หลุด ดั่งนี้แหละเรียกว่า วิตักกสังขาร ปรุงแต่งวิตกคือความตรึกนึกคิด และเมื่อปรุงแต่งนึกคิดไปในทางก่อกิเลสดั่งนี้ ก็เรียกว่า อกุศลวิตักกสังขาร แปลว่าปรุงแต่งวิตกคือความตรึกนึกคิดที่เป็นอกุศล จึงได้เรียกชื่อสั้นๆ ว่ากามวิตกบ้าง พยาบาทวิตกบ้าง วิหิงสาวิตกบ้าง
กามวิตกก็นึกคิดไปในกาม หรือด้วยอำนาจของกาม คือความใคร่ความปรารถนาชอบใจ อันเป็นฝ่ายกิเลสที่เป็นฉันทะเป็นราคะเป็นโลภะดังกล่าว พยาบาทวิตกตรึกนึกคิดไปในทางพยาบาท ก็เป็นฝ่ายโทสะ วิหิงสาวิตกตรึกนึกคิดไปในทางเบียดเบียน ก็เป็นโมหะ หรือจะเรียกว่าโมหะวิตก เพราะมีความหมายเป็นอันเดียวกัน เพราะความตรึกนึกคิดไปในทางเบียดเบียนนั้น ไม่ใช่เป็นมีโทสะเป็นมูล แต่มีโมหะเป็นมูล คือความตรึกนึกคิดไปในทางที่โง่เขลาไร้ปัญญา ทำอะไรออกไปด้วยความโง่เขลาไร้ปัญญา แม้มุ่งดี แต่การกระทำนั้นก็เป็นการเป็นไปเพื่อเบียดเบียน ไม่เป็นไปเพื่อก่อให้เกิดความสุข
เพราะฉะนั้น ความเบียดเบียนที่คนกระทำให้กัน ด้วยอำนาจความโง่เขลาเบาปัญญานี้มีมาก แม้ด้วยความมุ่งดีก็มีมาก แต่ว่าคนโง่ที่มุ่งดีนั้นอาจทำอันตรายให้มาก ไม่น้อยกว่าคนที่มุ่งร้ายจริงๆ เหมือนอย่างนิทานเรื่องที่แสดงถึงเรื่องวานรที่จะมุ่งดีต่อคนที่เป็นนาย มีแมลงวันมาจับหน้าผาก ต้องการจะตีแมลงวัน ก็คว้าไม้มาตีแมลงวันลงไปบนหน้าผากของคน ก็มุ่งดี แต่ว่ากลายเป็นทำร้ายมนุษย์ที่เป็นนาย ให้เจ็บช้ำลำบากเป็นอันตราย
เพราะฉะนั้น แม้คนที่หวังดีต่อกัน แต่ว่าการปฏิบัติกระทำนั้นเป็นการก่อโทษทุกข์แก่กันจึงมีมาก ซึ่งต้องระมัดระวัง แม้ตนเองจะทำอะไรด้วยความที่มุ่งดี ก็ต้องระมัดระวังตนเองไม่ให้ทำอย่างโง่เขลา ต้องทำด้วยสติปัญญา การกระทำนั้นจึงจะบังเกิดประโยชน์ ให้แก่ผู้ที่ตนต้องการจะช่วยเหลือ ถ้าทำด้วยความโง่เขลาแล้ว ก็กลับเป็นการเบียดเบียน
เพราะฉะนั้น เหล่านี้ก็เป็นอกุศลวิตกทั้งนั้น เกิดจากความปรุงแต่ง ใจนี้เองปรุงแต่งขึ้นมา คิดขึ้นมาอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น วิตกนี้จึงเกิดจากสังขารคือความปรุงแต่ง เมื่อมาสำนึกว่าความปรุงแต่งใจของทุกคนนี้สำคัญมาก ทุกคนจึงจะควรมีสติระลึกได้ และปัญญาคือตัวรู้ แม้ไม่รู้ได้ด้วยตัวเอง ก็ให้รู้ได้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เมื่อทรงสั่งสอนว่าปรุงแต่งให้เป็นกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก เป็นอกุศลมีโทษ
เพราะฉะนั้นก็ให้มีสติตรวจดูใจของตนเอง เมื่อใจของตนเองปรุงแต่งไปในทางอกุศลตัวไหนก็ให้รู้ ว่านี่เรากำลังคิดปรุงแต่งใจ หรือปรุงแต่งความคิดของใจ เป็นอกุศลเป็นสิ่งมีโทษ เมื่อรู้ดั่งนี้แล้ว ก็ไม่พึงมนสิการคือทำไว้ในใจ ปรุงแต่งความคิดไปในทางที่เป็นอกุศลนั้นต่อไป
กุศลนิมิต อกุศลนิมิต
ด้วยอาศัยสมาธิ โดยที่มาทำความรู้ว่า อันความปรุงแต่ใจให้คิดไปในทางอกุศลนั้น ก็อาศัยนิมิตคือเรื่องกำหนดของใจ คือใจกำหนดอยู่ในนิมิตคือเครื่องกำหนดที่เป็นอกุศล หรือเป็นชนวนให้เกิดอกุศล อกุศลคือกิเลสกองโลภะโทสะโมหะจึงบังเกิดขึ้น อันเป็นสิ่งที่มีโทษ เมื่อรู้ดั่งนี้แล้ว ก็ไม่ไปทำใจให้ตั้งอยู่ในนิมิต อันเป็นชนวนให้เกิดอกุศลเหล่านั้น ถอนใจมาตั้งไว้ในนิมิตคือเครื่องกำหนดที่เป็นฝ่ายกุศลอันตรงกันข้าม คือกรรมฐานข้อใดข้อหนึ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนเอาไว้
จะเป็นสติปัฏฐานทั้ง ๔ อันเป็นแม่บทใหญ่ ของทั้งฝ่ายสมถะและฝ่ายวิปัสสนา คือกายเวทนาจิตธรรม ดังที่ได้ฟังมาโดยลำดับนั้น หรือว่าจะเป็นบทใดบทอื่นๆ ที่ปลีกย่อยออกไปก็ตาม เมื่อมีสตินำใจมาให้ตั้งอยู่ในนิมิตคือเครื่องกำหนดที่เป็นกายเวทนาจิตธรรม เป็นต้นดังที่กล่าวมานั้น ก็เรียกว่าถอนใจจากนิมิตที่เป็นฝ่ายอกุศล หรือเป็นชนวนให้เกิดอกุศล มาตั้งไว้ในนิมิตที่เป็นชนวนให้เกิดกุศลคือกรรมฐานทั้งหลาย ความตั้งนี่แหละคือตัวสมาธิ ก็ต้องอาศัยวิตกคือความตรึก วิจารคือความตรอง อาศัยสังขารคือความปรุงแต่งของใจนั่นเอง แต่ให้ใจมาปรุงแต่งคิดตรึกตรองในกรรมฐานแทน
หลักปฏิบัติกรรมฐานของพระพุทธเจ้า
นี้เป็นหลักการปฏิบัติทำสมาธิทั่วไปที่ทุกคนจะต้องใช้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสเปรียบเหมือนอย่างว่า เหมือนอย่างนายช่างไม้ที่ใช้ลิ่มสลักอันใหม่ อันเป็นลิ่มสลักที่ดี ตอกลิ่มสลักอันเก่าที่ฝังอยู่ในเนื้อไม้แล้วออกไป ให้ลิ่มสลักอันใหม่ที่ตอกเข้าไปใหม่นั้นเข้าไปแทน เพราะว่าอันนิมิตคือเครื่องกำหนดที่เป็นชนวนให้เกิดกิเลสอกุศลต่างๆ นั้น เหมือนอย่างเป็นลิ่มสลักอันเก่าที่ตอกอยู่ในเนื้อไม้แล้ว คือว่าที่ปักเสียบอยู่ในจิตใจแล้ว ก็ใช้ลิ่มสลักอันใหม่คือกรรมฐานตอกลงไปที่ตรงนั้น ให้อารมณ์ของกรรมฐานนี้เข้าไปสถิตย์อยู่แทนลิ่มสลักอันเก่าที่ไม่ดีนั้น เอาลิ่มสลักอันใหม่ที่ดีนั้นเข้าไปแทน
นี้เป็นหลักปฏิบัติทั่วไป อันผู้ปฏิบัติกรรมฐานทั้งหลายจะพึงปฏิบัติ และถ้าหากว่าไม่สำเร็จก็ตรัสสอนให้พิจารณาโทษ ว่าใจที่ปรุงแต่งไปในทางก่อกิเลสก่อกุศลนั้น ไม่ดีมีโทษ แต่ว่าจิตใจที่ปรุงแต่งไปในทางกรรมฐานนั้นให้คุณ จนเห็นโทษของใจที่ปรุงแต่งไปในทางอกุศล เหมือนอย่างเห็นว่ามีซากศพของงูบ้างสุนัขบ้างคนบ้างแขวนอยู่ที่คอ ก็จะต้องรีบเปลื้องเอาซากศพที่แขวนอยู่นั้นทิ้งทันที เพราะมองเห็นโทษ จิตก็จะปรุงแต่งตรึกตรองไปในทางกรรมฐาน จิตก็จะเป็นสมาธิตั้งอยู่ในกรรมฐานได้
ถ้ามันยังไม่สำเร็จอีก ก็ตรัสสอนให้ไม่สนใจ ไม่นึกถึง เหมือนอย่างว่าเห็นอะไรทางตา เมื่อไม่พอใจที่จะดูก็เมินหน้าไปเสียทางอื่น หรือว่าหลับตาเสีย ซึ่งในการที่ไม่สนใจ ไม่ใฝ่ใจที่จะนึกถึง จะทำได้ก็ต้องอาศัยการไปนึกถึงสิ่งอื่นๆ แทน อันจะนำใจให้พ้นจากสิ่งที่ดึงใจไปนั้นได้ อันเป็นฝ่ายที่ไม่ดีนั้น
ถ้าหากว่าไม่สำเร็จอีกก็ตรัสสอนให้ตรวจดูสัณฐาน คือทรวดทรงลักษณาการของใจที่ปรุงแต่งไปในทางอกุศลนั้น ( เริ่ม ) ตรวจตราดูว่าทำไมจึงได้คิดอย่างนั้น เพราะอะไร และใจที่คิดของตนอย่างนั้นเป็นไปแรงเพียงไหน แนบแน่นเพียงไหน คือมาดูใจเองที่คิดปรุงแต่งไป มาดูตัวใจที่คิดปรุงแต่ง เหมือนอย่างพี่เลี้ยงมองดูเด็กที่ตนเลี้ยง ซึ่งปล่อยให้ยืนเดินนั่งนอนอยู่ข้างหน้า ตามแต่เด็กจะพอใจทำอย่างไร บางคราวเด็กก็วิ่ง บางคราวเด็กก็หยุดยืน บางคราวเด็กก็นอน แต่ให้อยู่ในสายตา ให้มองเห็นสัณฐานคือทรวดทรงลักษณาการของจิตใจที่ปรุงแต่งนั้น
และเมื่อหันเข้ามากลับดูตัวใจเองดั่งนี้แล้ว ก็จะมองเห็นใจตัวเองว่ากำลังแรงมาก ซึ่งปรากฏเป็นความชอบที่แรง โกรธที่แรง หรือว่าหลงที่แรง เมื่อเป็นดั่งนี้ก็ทำความคิดว่าเป็นไปแรงนักดั่งนี้ ทำให้เหน็ดเหนื่อยมาก เพราะฉะนั้นก็ให้ช้าลงให้เบาลง อารมณ์ที่แรงนั้นก็จะเบาลง ให้ช้าลงอีก อารมณ์ที่แรงนั้นก็จะช้าลงอีก จนถึงหยุดได้ ซึ่งเหมือนอย่างว่า กำลังวิ่งอยู่ก็นึกว่า ทำไฉนเราจึงจะค่อยๆ เดิน ก็เลิกวิ่งมาค่อยๆ เดิน กำลังค่อยๆ เดินอยู่ก็คิดว่า ไฉนเราจะหยุดยืน ก็หยุดยืน หยุดยืนแล้วก็คิดว่าไฉนเราจะนั่งก็นั่งลง นั่งลงแล้วก็คิดว่าไฉนเราจะนอนก็นอนลง ก็เป็นอันว่าหยุด หยุดวิตกได้ โดยกลับหันมาดูตัวใจของตัวเอง ก็จะมองเห็นลักษณาการของตัวใจที่ปรุงแต่ง ที่กำลังไปแรง เมื่อไปแรงก็รักแรง โกรธแรง หลงแรง เมื่อไปเบาเข้าก็แปลว่าคลายความแรงลง ก็เป็นรักน้อยลง โกรธน้อยลง หลงน้อยลง จนถึงหยุดสงบในที่สุดได้ ถ้าหากว่าวิธีไม่สำเร็จ ก็ตรัสสอนให้ใช้วิธีที่ใช้ร่างกายเข้าช่วย คือเอาฟันกัดฟัน เอาลิ้นดุนเพดานในปาก เมื่อทำดั่งนี้ก็จะทำให้หยุดได้ชั่วขณะหนึ่งๆ
หากตั้งใจปฏิบัติตามวิธีที่พระพุทธเจ้าสอนดั่งนี้แล้ว ทุกคนจะสามารถที่จะละอกุศลวิตก ทำกุศลวิตกให้บังเกิดขึ้นแก่ตนได้ ทำจิตให้เป็นสมาธิได้ ถ้าหากว่าไม่ละความพยายาม จะสามารถปฏิบัติสมาธิได้ และจะเป็นผู้ที่เรียกว่ามีความชำนาญในกระบวนวิตก คือความปรุงแต่งของใจ ที่ตรึกเป็นตัววิตกดังกล่าวนี้ ไม่ปรารถนาจะวิตกในเรื่องอันใด ก็สามารถที่จะหยุดได้
ปรารถนาถ้าจะวิตกในเรื่องอันใด ก็สามารถที่จะทำได้ เป็นผู้ปฏิบัติที่เรียกว่าเป็นการปฏิบัติตัดตัณหา ความดิ้นรนของใจไปด้วยอำนาจของโลภโกรธหลง คลี่คลายสัญโญชน์คือความผูกใจ ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ตามสมควรแก่ความปฏิบัติ
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป