แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
อันจิตตภาวนาคือการอบรมจิตนั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ในที่แห่งหนึ่งว่า ฌานคือความเพ่ง ปัญญาคือความรู้ทั่วถึง อันคำว่าฌานคือความเพ่งนั้นมี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิชฌาน แปลว่าเพ่งอารมณ์ กับ ลักขณูปนิชฌาน คือเพ่งลักษณะ
อารัมมณูปนิชฌาน
ข้อแรกการเพ่งอารมณ์นั้น ก็หมายถึงอารมณ์ของกรรมฐาน ที่ทำจิตให้สงบ ( เริ่ม) อันเรียกว่าสมถกรรมฐาน ดังเช่นเพ่งลมหายใจเข้าออก โดยถือเอาลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์ คือเป็นเรื่องที่จิตคิด จิตดำริ จิตตั้งไว้ อันเรียกว่าอานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก
หรือเพ่งกาย โดยเพ่งอาการของกาย มีผมขนเล็บฟันหนังเป็นต้น ถือเอาผมขนเล็บฟันหนังเป็นต้นเป็นอารมณ์ คือเป็นเรื่องที่จิตคิดตั้ง หรือเป็นเรื่องที่ตั้งจิตคิดกำหนด หรือว่าพิจารณากายนี้แยกออกเป็นธาตุดินน้ำไฟลม กำหนดที่ธาตุ ถือเอาธาตุเป็นอารมณ์ รวมความว่าสมถกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ทุกข้อ เป็นอารมณ์อารัมมณูปนิชฌาน เพ่งอารมณ์
องค์ฌาน
คือในการปฏิบัติอบรมจิตในกรรมฐานส่วนนี้ อาศัยใช้จิตเพ่งกำหนด จับตั้งอยู่ที่อารมณ์ของกรรมฐานทั้งปวง อาการที่เพ่งดั่งนี้ก็คือสมาธิ ความตั้งใจหรือความตั้งจิตกำหนด ซึ่งต้องอาศัยการปฏิบัติไปตามองค์ ๕ ของปฐมฌานคือความเพ่งที่ ๑ อันได้แก่ วิตกที่แปลว่าตรึก แต่ในที่นี้หมายถึงความที่นำจิตมาตั้งไว้ในอารมณ์ของกรรมฐาน หรือจะกล่าวว่านำอารมณ์ของกรรมฐานมาตั้งไว้ในจิตก็ได้ วิจาร ความตรอง ในที่นี้หมายถึงว่า ความประคองจิตไว้ ให้ตั้งอยู่ในอารมณ์ของกรรมฐานนั้น ไม่ให้พลัดตกไป
วิตกวิจารดังกล่าวนี้ต้องใช้ในการปฏิบัติในเบื้องต้น หรือในเวลาเริ่มปฏิบัติที่เรียกว่าทำสมาธิ หรือว่าทำจิตตภาวนาเพื่อสมาธิ และในขั้นวิตกวิจารนี้จิตยังไม่ได้สมาธิ จิตยังกระสับกระส่ายดิ้นรนกวัดแกว่ง คือเมื่อนำจิตมาตั้งไว้ในอารมณ์ของสมาธิ ให้จิตจับเพ่งอารมณ์ของสมาธิ กำหนดอารมณ์ของสมาธิ แม้จะคอยประคองจิตไว้ที่เป็นวิจาร จิตก็มักจะดิ้นรนออกไปจากอารมณ์ของสมาธิหรือกรรมฐาน ไม่ยอมตั้งอยู่ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสไว้ว่า เหมือนอย่างจับปลาจากน้ำอันเป็นที่อยู่ของปลา มาวางไว้บนบก ปลาก็จะดิ้นเพื่อลงน้ำ อันเป็นที่อาศัยของปลา
อาลัยของจิต
จิตที่เริ่มปฏิบัติก็เช่นเดียวกัน เมื่อยกจิตมาตั้งไว้ในกรรมฐาน หรือในอารมณ์ของสมาธิ หรือเรียกว่าของกรรมฐานก็ได้ จิตก็มักจะดิ้นรนไปสู่ที่อยู่ของจิตอันเรียกว่าอาลัยเหมือนกัน คำว่าอาลัยนั้นแปลว่าที่อยู่ที่อาศัย ปลานั้นมีน้ำเป็นอาลัยคือเป็นที่อยู่ที่อาศัย จิตสามัญนี้ก็มีกามคุณารมณ์ คืออารมณ์ที่รักใคร่ปรารถนาพอใจเป็นที่อยู่อาศัย จิตชั้นนี้เรียกว่ากามาพจร ที่แปลว่าเที่ยวไปในกาม หยั่งลงในกาม คือเรื่องที่รักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย ประกอบด้วยความปรารถนารักใคร่พอใจทั้งหลาย หรือเรียกว่ากามคุณารมณ์ อารมณ์ที่เป็นกามคุณ ไม่ใช่อารมณ์ที่เป็นกรรมฐาน ถ้าอารมณ์ที่เป็นกรรมฐาน ก็เรียกว่าอารมณ์กรรมฐาน แต่จิตโดยปรกตินั้นอยู่กับอารมณ์ที่เป็นกามคุณ
กามคุณ กามกิเลส
อันคำว่า กามคุณ นั้นหมายถึงกามที่เป็นกิเลส คือความรักใคร่ปรารถนาพอใจ กับกามที่เป็นวัตถุ คือเป็นสิ่งที่รักใคร่ปรารถนาพอใจ กามที่เป็นกิเลสกับกามที่เป็นวัตถุนี้ ย่อมประกอบอยู่ด้วยกัน วัตถุนั้นถ้าไม่มีกามที่เป็นกิเลสเข้ามาเกี่ยวเกาะ ก็เป็นวัตถุเฉยๆ ต่อเมื่อมีกิเลสเข้ามาเกี่ยวเกาะ จึงเป็นวัตถุกาม
เพราะฉะนั้น ที่ชื่อว่าวัตถุกามนั้น ก็เพราะว่าเป็นวัตถุที่มีกิเลส คือตัวกามกิเลสเข้ามาเกี่ยวเกาะ กามทั้งสองนี้จึงต้องอาศัยกันไปดั่งนี้ และจิตที่เป็นชั้นกามาพจรนี้ก็อยู่กับกามคุณารมณ์โดยปรกติ หรือเป็นปรกติ และที่เรียกว่า คุณ นั้นแปลว่ากลุ่มก้อนก็ได้ กลุ่มก้อนของกิเลสกามและวัตถุกาม ที่ซับซ้อนกันอยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อน เหมือนอย่างกลุ่มด้าย เพราะว่ากามที่ตั้งอยู่ในจิตนั้นซับซ้อนกันอยู่มากมาย ลึกลงไปเป็นตะกอน คือเหมือนอย่างตะกอนที่นอนจมอยู่ก้นตุ่มน้ำก็มี ที่ฟุ้งขึ้นมาเหมือนอย่างตะกอนก้นตุ้มนั้นฟุ้งขึ้นมา ทำให้น้ำในตุ่มขุ่น
กิเลสที่เป็นตะกอนที่นอนอยู่ก้นจิตนั้น เมื่อถูกกระทบก็ฟุ้งขึ้นมาทำให้จิตขุ่น ปรากฏเป็นราคะหรือโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง เป็นตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก ก็คือราคะโทสะโมหะนั้นเอง จึงทำให้จิตดิ้นรนทะยานอยากไปต่างๆ หรือว่าตัณหาคือความที่จิตดิ้นรนทะยานอยากนั้นเอง ทำให้จิตนี้ชอบบ้าง ชังบ้าง หลงบ้าง เป็นราคะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ดังกล่าว ทั้งหมดนี้เรียกว่ากามคุณ
อีกประการหนึ่งมีความหมายว่ากามที่เป็นส่วนให้คุณ อันทำให้จิตติด คุณมีความหมายตรงกันข้ามกับโทษ ดังที่มีพระพุทธภาษิตตรัสเอาไว้ว่า กามทั้งหลายนี้มีคุณน้อย หรือว่ามี อัสสาทะ มีส่วนที่น่าพอใจน้อย แต่ว่ามี อาทีนพ โทษมาก หรือว่ามีคุณน้อย มีโทษมากก็ได้
ถ้ากามไม่มีคุณเสียเลยจิตก็จะไม่ติดในกาม เพราะ กาม มีคุณ หรือมี อัสสาทะ ส่วนที่น่าพอใจอยู่ด้วยจึงทำให้ติดจิต มี นันทิ คือความเพลิดเพลินอยู่ในกาม เพราะฉะนั้นเมื่อจิตได้สุขอยู่ในกาม ก็ติดสุขอยู่ในกาม อันนับว่าเป็นคุณของกาม หรือกามที่เป็นส่วนคุณ
แต่เมื่อทุกข์โทษปรากฏขึ้นจึงจะทำให้เกิดความหน่ายในกามได้ ถ้าทุกข์โทษยังไม่ปรากฏขึ้น ก็ยังไม่ทำให้เกิดความหน่ายในกาม แต่ว่าทุกข์โทษที่จะปรากฏขึ้นจนทำให้เกิดความหน่ายนั้น จะต้องเป็นปรากฏทางปัญญา ถ้าปรากฏเพียงทุกขเวทนา เช่นความโศกร่ำไรรำพัน ในเมื่อต้องพลัดพราก จากสิ่งที่รักใคร่ปรารถนาพอใจ หรือบุคคลที่รักใคร่ปรารถนาพอใจ เป็นทุกขเวทนา ก็ยังไม่ทำให้เกิดความหน่ายได้ง่าย
เพราะว่ายังมีสุขส่วนอื่นของกามทำให้จิตติดอยู่ เป็นทุกข์อยู่ในส่วนนี้ แต่ก็ยังเป็นสุขอยู่ในส่วนโน้น จิตจึงยังไม่หน่าย และแม้ทุกขเวทนานั้นเองก็มิใช่ว่าจะตั้งอยู่อย่างนั้น เมื่อมีเกิดก็มีดับ เช่นเดียวกับสุขเวทนามีเกิดก็มีดับ จึงผลัดกันไปผลัดกันมา สุขบ้างทุกข์บ้าง คนจึงอยู่กันด้วยความหวังอันเป็นตัวตัณหา คือแม้ว่าจะพบทุกข์ในวันนี้ก็คิดว่าพรุ่งนี้จะมีสุข พบทุกข์ในสิ่งนี้ก็คิดว่าจะมีสุขในสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นจึงเป็นอันว่ายังมีเพลิดเพลินอยู่ในกามคุณารมณ์
กามสุข สมาธิสุข
ฉะนั้นเมื่อยกจิตขึ้นจากกามคุณารมณ์อันเป็นอาลัย คือที่อาศัยของจิตที่เป็นชั้นนี้ มาตั้งไว้ในอารมณ์กรรมฐาน หรืออารมณ์ของสมาธิ จิตจึงไม่ได้สุขในอารมณ์ของกรรมฐาน เมื่อไม่ได้สุขจิตอึดอัดไม่ชอบไม่เพลิน จึงได้ดิ้นรนออกไปลงน้ำคือกามคุณารมณ์ เหมือนปลาที่ดิ้นลงน้ำดังกล่าวนั้น ฉะนั้นจึงต้องอาศัยวิตกวิจารทั้งสองนี้ คือคอยยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ของสมาธิ แล้วคอยประคองเอาไว้ เมื่อตกไปก็ยกขึ้นมาใหม่ ประคองไว้ใหม่ ตกไปก็ยกขึ้นมาใหม่ประคองไว้ใหม่
นิวรณ์ ๕
ฉะนั้นการเริ่มทำสมาธินั้นจึงรู้สึกว่าเป็นการยาก และสิ่งที่เป็นอันตรายแก่สมาธิตั้งแต่เบื้องต้นนั้นก็ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสจำแนกออกไปเป็นนิวรณ์ ๕ นั้นเอง คือนิวรณ์นี้เอง ก็คือว่าเป็นตัวกามคุณารมณ์เป็นข้อสำคัญ อันเป็นที่อาศัยของจิต ที่เป็นกามาพจร ซึ่งจะต้องดึงจิตให้ตกลงไปสู่ที่อยู่ที่อาศัยดังกล่าวนี้ ซึ่งจิตก็มีความเพลิดเพลิน มีความสุขที่จะอยู่อย่างนั้น ยังไม่ได้สุขได้ความเพลิดเพลินที่จะอยู่กับสมาธิ
วิธีปฏิบัติรักษาอารมณ์ของสมาธิ
เพราะฉะนั้น พระอาจารย์จึงได้แสดงวิธีที่สำหรับจะรักษาจิต ไว้ในอารมณ์ของสมาธิไว้มากมาย เป็นการปฏิบัติเสริมวิธีปฏิบัติสมาธิ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ตรงๆ ดังเช่นตรัสสอนในอานาปานสติ ว่าผู้ปฏิบัติให้เข้าไปสู่ป่า หรือสู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง นั่งขัดสมาธิหรือขัดบัลลังก์ ตั้งกายตรงดำรงสติจำเพาะหน้า หายใจเข้าก็ให้รู้ หายใจออกก็ให้รู้ หายใจเข้ายาวก็รู้ว่าเราหายใจเข้ายาว ออกยาวก็รู้ว่าหายใจออกยาว หายใจเข้าสั้นก็ให้รู้ว่าเราหายใจเข้าสั้น ออกสั้นก็ให้รู้ว่าเราหายใจออกสั้น เป็นต้น คือให้มีความรู้อยู่ที่ลมหายใจ เพ่งอยู่ที่ลมหายใจ
พระอาจารย์จึงได้มาอธิบาย เช่นในวิสุทธิมรรคท่านก็สอน ให้กำหนดจุดที่ลมหายใจเข้าหายใจออก ผ่านเข้าผ่านออก เป็น ๓ จุด ริมฝีปาก อุระ และนาภีหรือท้อง หายใจเข้าลมหายใจเข้าจะมากระทบอยู่ปลายจมูก แล้วผ่านอุระหรือทรวงอกลงไปสู่นาภี ปรากฏเป็นพอง ออกก็จะออกจากนาภีปรากฏเป็นยุบ ผ่านอุระหรือทรวงอก และมาออกที่ปลายจมูก เพื่อให้เป็นที่ตั้งของจิต อันจะช่วยให้จิตตั้งได้สะดวกขึ้น
และก็สอนให้ใช้วิธีนับ เช่นหายใจเข้านับ ๑ หายใจออกนับ ๑ ไปจนถึง ๕ แล้วก็ตั้งต้นใหม่ ๑ จนถึง ๖ ดั่งนี้เป็นต้น จนถึงนับตั้งต้น ๑ ถึง ๑๐ แล้วกลับมาตั้งต้นใหม่ ๑ ถึง ๕ แต่วิธีนับนี้ก็มีอาจารย์อื่นก็สอนวิธีนับที่ต่างๆ ออกไป และท่านก็สอนให้นับเร็ว หายใจเข้านับ ๑ หายใจออกนับ ๒ ไม่ใช่นับคู่ เอานับมาเป็นเครื่องช่วยที่จะให้จิตตั้งอยู่ในอารมณ์ของสมาธิ
แต่เปรียบเหมือนอย่างว่า เรือที่พายผ่านไปถึงน้ำเชี่ยวต้องใช้ถ่อช่วย ลำพังพายนั้นไม่สามารถจะนำเรือไปได้ ต้องใช้ถ่อ ก็คือว่าจิตในที่แรกนั้น จิตในทีแรกนั้นเป็นจิตที่พล่าน ดิ้นรนพล่านอย่างน้ำเชี่ยว เพราะฉะนั้นจะใช้พายอย่างเดียวก็ดึงไว้ไม่อยู่ จึงต้องใช้ถ่อช่วย คือการนับช่วย แต่ว่าเมื่อถึงตอนที่น้ำไหลเป็นปรกติก็เลิกใช้ถ่อ ใช้พายต่อไป ฉะนั้น เมื่อถึงตอนที่จิตสงบลง ประคองให้จิตตั้งอยู่ในอารมณ์ของกรรมฐานได้ เช่นตั้งอยู่ในการกำหนดลมหายใจเข้าออกได้ ก็เลิกใช้การนับ เพียงแต่ทำสติ กำหนดอยู่เพียงจุดเดียว ที่ท่านสอนไว้ในวิสุทธิมรรคนั้นคือให้กำหนดดูที่ปลายจมูก (เริ่ม) ลมกระทบ อันเป็นที่ๆ เกิดความสัมผัสจริง กำหนดที่ความสัมผัส
วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
ดั่งนี้จึงต้องอาศัยวิตกวิจาร เพราะว่าการนับก็ดี หรือวิธีอื่นก็ดี ก็รวมอยู่ในวิตกคือตรึกทั้งนั้น ตรองทั้งนั้น คือตั้งจิตประคองจิตทั้งนั้น และแบบที่ใช้พุทโธก็เช่นเดียวกัน หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ ก็เป็นขั้นวิตกวิจาร อันเป็นเครื่องช่วยให้จิตตั้ง และเมื่อจิตเริ่มตั้งได้ ก็จะเริ่มได้ปีติคือความอิ่มใจ สุขใจ ความซาบซ่านในใจ เกิดสุขคือความสบายกายสบายใจ
และเมื่อได้ปีติได้สุขดั่งนี้จิตก็จะอยู่ตัว เพราะว่าจิตได้สุข ได้ปีติได้สุขจากสมาธิแล้ว ก็ไม่ต้องดิ้นรนพล่านไปหากามคุณารมณ์ ในตอนที่ยังดิ้นรนพล่านออกไปนั้นก็เพราะยังไม่ได้ปีติได้สุขจากสมาธิ เมื่อได้ปีติได้สุขจากสมาธิแล้วจิตก็จะตั้งมั่นได้สงบได้อยู่ในอารมณ์ของสมาธิ จิตก็เป็นเอกัคคตาคือความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว ซึ่งเป็นตัวสมาธิ คือความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว
ลักขณูปนิชฌาน
อันนี้ต้องอาศัยฌานคือความเพ่ง เพ่งจิตลงไปที่อารมณ์ของสมาธิ หรือที่อารมณ์กรรมฐานดั่งที่กล่าวนั้น นี่คือฌานความเพ่ง เพ่งเพื่อให้จิตเป็นสมาธิคือตั้งมั่น อันเป็นตัวฌานคือตัวความเพ่ง และเมื่อได้ฌานคือความเพ่งดั่งนี้ ต้องการจะเลื่อนชั้นของการปฏิบัติเป็นวิปัสสนา ก็นำเอาความเพ่งที่เป็นสมาธินี้มาเพ่งลักษณะ
อันหมายถึงไตรลักษณ์ คือลักษณะที่เป็นเครื่องกำหนดหมายว่าไม่เที่ยง มีเกิดดับ เรียกว่าอนิจจลักขณะ หรืออนิจจลักษณะ เพ่งที่ทุกข์ลักษณะหรือทุกขลักขณะ กำหนดหมายว่าเป็นทุกข์ ตั้งอยู่คงที่ไม่ได้ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป เพ่งที่อนัตตลักขณะหรืออนัตตลักษณะ เครื่องกำหนดหมายว่าอนัตตามิใช่อัตตาตัวตน ก็คือเพ่งที่องค์ฌาน หรือองค์ของสมาธิดังกล่าวแล้วนั้นเอง เพ่งดู วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
เมื่อรวมเข้าแล้วก็เป็นนามรูป สิ่งที่รู้เป็นรูป รู้เป็นนาม เพราะว่าทั้งหมดนั้นก็รวมอยู่ในความรู้ของจิต ตัวความเพ่งเอง หรือตัวสมาธิเอง ก็อยู่ในความรู้ของจิต และความรู้ของจิตนั้นก็แยกได้เป็น ๒ คือเป็นสิ่งที่รู้อัน ๑ ตัวความรู้อัน ๑ สิ่งที่รู้นั้นก็เป็นรูป ตัวความรู้ก็เป็นนาม หรือว่าแยกออกไปเป็นขันธ์ ๕ คือสิ่งที่รู้นั้นก็เป็นรูปขันธ์กองรูป
อันหมายถึงรูปที่ประกอบด้วยธาตุ ๔ หรือว่ารูปที่เป็นสิ่ง คือสิ่งที่รู้ แม้จะไม่ใช่เป็นรูปจริงๆ แต่เป็นสิ่งที่รู้ อะไรก็ตามที่เป็นสิ่งที่รู้ ก็เป็นรูปทั้งนั้น และนามนั้นก็แยกออกไปเป็นเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ เป็นขันธ์ ๕ รวมเข้าก็เป็นสิ่งที่รู้คือรูป ความรู้คือนาม
ก็เพ่งดูลักษณะของรูปนามดังกล่าวมานี้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดดับ อันเรียกว่าไม่เที่ยง เป็นสิ่งที่ไม่ตั้งอยู่ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป เป็นทุกข์ และเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะยึดถือว่าเป็นตัวเราของเรา เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ จึงไม่ควรจะยึดถือเป็นตัวเราของเรา และก็พิจารณารวมเข้ามาว่า สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา เป็นอันว่าอนิจจะทุกขะอนัตตารวมอยู่เป็นจุดเดียวกัน รวมอยู่เป็นเกิดดับ รวมอยู่เป็นความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ไม่ตั้งอยู่คงที่ รวมอยู่เป็นอนัตตามิใช่อัตตาตัวตน
ดั่งนี้ก็เรียกว่าเพ่งลักษณะ ลักขณูปนิชฌานทำให้ได้ปัญญาคือความรู้ทั่วถึงในลักษณะ อันเป็นเครื่องกำจัดความยึดถือ ทำให้เกิดความปล่อยวาง (ตทังค) วิมุติหลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ เพราะว่าเมื่อรู้ในลักษณะที่เรียกว่าตามเป็นจริงคือธรรมตามที่เป็นแล้ว ก็ย่อมจะเกิดความหน่ายไม่เพลิดเพลินติดอยู่ในสิ่งที่รู้นั้น เมื่อหน่ายก็สิ้นความติดใจยินดี เมื่อสิ้นความติดใจยินดีก็หลุดพ้นเป็นวิมุติ นี่เป็นการปฏิบัติในทางลักขณูปนิชฌานอันเป็นทางปัญญา
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเอาไว้ว่า ฌานคือความเพ่งย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ที่ไม่มีฌานคือความเพ่ง ฌานความเพ่งและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นชื่อว่าปฏิบัติใกล้นิพพาน ดั่งนี้
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป