แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ธรรมะนั้นมาจากความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และพระองค์ได้ทรงแสดงสั่งสอน และธรรมะที่เป็นสัจจะคือความจริงที่กล่าวว่ามาจากความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น ก็เพราะว่าถ้าพระองค์ไม่ตรัสรู้ ธรรมะก็จะไม่ปรากฏมาถึงเราทั้งหลายในบัดนี้ และความตรัสรู้ของพระองค์นั้นหมายความว่าได้ทรงค้นพบ ฉะนั้น ธรรมะจึงเป็นสัจจะธรรมที่มีอยู่โดยเป็น ธรรมธาตุ ธรรมฐิติ คือเป็นธาตุแท้ที่ตั้งอยู่ หรือจะเรียกว่าเป็นธรรมดาที่ตั้งอยู่ ดังที่ตรัสเอาไว้ว่า พระตถาคตทั้งหลายจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธรรมะนั้นย่อมตั้งอยู่ หรือว่าธาตุนั้นย่อมตั้งอยู่ เป็นธรรมฐิติความตั้งอยู่แห่งธรรม เป็นธรรมนิยามความกำหนดแน่แห่งธรรม แต่เมื่อพระตถาคตได้ทรงพบคือตรัสรู้จึงทรงจำแนกเปิดเผย กระทำให้แจ้ง เป็นอริสัจจ์ ๔ หรือโดยปริยายที่จำแนกออกเป็นหมวดธรรมต่างๆ
เราทั้งหลายเมื่อได้ฟังคำสั่งสอนของพระองค์จึงได้ทราบ รู้จักศีล สมาธิ ปัญญา รู้จักมรรคมีองค์ ๘ หรือหมวดธรรมที่ตรัสไว้โดยปริยายอื่น ดังเช่นเป็นโพชฌงค์ เป็นพละ เป็นอินทรีย์ อิทธิบาท สมุปธาน สติปธาน ที่เป็นหมวดโพธิปักขิยธรรม เป็นต้น
มัชฌิมาปฏิปทา
และทางที่ทรงปฏิบัติคือมรรคมีองค์ ๘ หรือที่เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา ข้อปฏิบัติเป็นหนทางกลาง ก็มีแสดงไว้แห่งหนึ่งว่าเป็นทางเก่า ซึ่งเป็นทางที่พระพุทธเจ้าในอดีตทั้งหลาย ได้ปฏิบัติดำเนินมาในทางนี้อยู่แล้ว จึงได้ตรัสรู้ และเมื่อทรงสั่งสอนพระสาวกทั้งหลายก็ได้ฟัง และก็ได้ดำเนินทางนี้อยู่แล้ว จึงได้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ธรรมะจึงเป็นธรรมดา หรือที่เรียกว่า ธาตุ เรียกว่า ธรรมฐิติ ธรรมนิยาม ดังกล่าวนั้น พระพุทธเจ้ามิได้ทรงสร้างธรรมะขึ้นมาเอง แต่ว่าทรงสร้างพุทธศาสนา หรือว่าศาสนธรรม ธรรมะคือคำสั่งสอน ส่วนธรรมะที่ตรัสรู้นั้นไม่ได้ทรงสร้างขึ้นมาเอง เป็นธาตุ เป็นธรรมฐิติ เป็นธรรมนิยาม ที่มีอยู่พระองค์ได้ทรงพบคือตรัสรู้ เพราะฉะนั้น ธรรมะที่เป็นสัจจะนี้ จึงเป็นสิ่งที่มีอยู่เป็นอกาลิโกไม่ประกอบด้วยกาลเวลา หรือหากจะกล่าวถึงกาลเวลาก็ต้องกล่าวว่ามีอยู่ทุกกาลสมัย และก็เป็นสัจจะคือความจริงเป็นอันเดียวกัน
ดังที่ตรัสไว้ในธรรมนิยามสูตรคือข้อที่สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงคือทั้งสังขาร ทั้งวิสังขาร เป็นอนัตตา มิใช่อัตตาตัวตน เป็นธรรมดา ที่มีอยู่โดยไม่กำหนดด้วยกาลเวลา เป็นอกาลิโกไม่ประกอบด้วยกาลเวลา เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายต่างได้มีพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร คือเป็นมิตรผู้ดีงาม
ซึ่งประกอบด้วยพระมหากรุณา ทรงแสดงธรรมะสั่งสอน และธรรมะที่ทรงแสดงสั่งสอนนี้แม้จะทรงแสดงแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ว่าธรรมะที่ทรงแสดงนั้น ก็ไม่จำเพาะเจาะจงบุคคลนั้นเท่านั้น แต่เป็นสัจจะคือความจริงที่ครอบโลกทั้งหมด ใช้ได้แก่บุคคลทั้งหมด สัตว์ทั้งหมด
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้ฟังธรรมที่พระองค์ทรงสั่งสอนไว้ จึงเหมือนอย่างพระองค์เสด็จมาโปรด ทุกครั้งทุกคราวไป ธรรมะที่ทรงสั่งสอนที่เราทั้งหลายได้ฟังกันมาจนถึงทุกวันนี้นั้น จึงประกอบด้วยพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ อยู่สมบูรณ์ทุกข้อทุกบท พระพุทธคุณนั้นก็คือประกอบด้วยพระปัญญาคุณ เพราะออกมาจากพระปัญญาที่ตรัสรู้ ประกอบด้วยปริสุทธิคุณ เพราะออกมาจากความบริสุทธิ์ของพระองค์ ประกอบด้วยพระกรุณาคุณ เพราะออกมาจากพระกรุณาของพระองค์ ทุกข้อทุกบท ฉะนั้น เมื่อได้สดับตรับฟังด้วยมี โยนิโสมนสิการ ทำไว้ในใจโดยแยบคาย คือธรรมะมาใส่ไว้ในใจ ใส่ใจในธรรมะ และตั้งใจพิจารณาไตร่ตรองจากเหตุจากผล ก็จะได้พบเหตุผลตามสัจจะที่เป็นความจริง หรือพบความจริงตามเหตุและผล จนถึงธรรมะที่อยู่เหนือเหตุผล อันเป็นที่สุด
เพราะฉะนั้น จึงเท่ากับพระองค์ได้เสด็จมาโปรดด้วยพระองค์เอง ในทุกขณะที่ได้ฟังธรรมของพระองค์ และจะได้พบพระธรรมคุณด้วยตนเอง ตั้งต้นแต่ด้วยความสำนึกในพระธรรมที่ทรงสั่งสอนว่า สวากขาโต ภควตา ธัมโม ธรรมะอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว บอกไว้ดีแล้ว และนำให้ผู้ปฏิบัติ เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง ดังที่แสดงไว้ในพระสังฆคุณ
ผู้ฟังธรรมะของพระองค์ผู้ทรงเป็นกัลยาณมิตรผู้สูงสุด และมีโยนิโสมนสิการ การกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย คือพิจารณาจับเหตุจับผล หรือเรียกว่าพิจารณาจับเหตุผลต้นปลายให้ถูกต้อง ย่อมจะได้พบพระพุทธคุณพระธรรมคุณพระสังฆคุณอยู่อย่างสมบูรณ์ ในธรรมะที่สดับทุกข้อทุกบท
ข้อปฏิบัติในการฟังธรรม
เพราะฉะนั้น ความที่มาตั้งใจฟังธรรม มีโยนิโสมนสิการที่ในธรรมที่ฟังนั้น คือทำไว้ในใจ อันหมายความว่าทำธรรมะที่ฟังไว้ในใจ หรือว่าใส่ใจในธรรมะที่ฟังนั้น ไตร่ตรองพิจารณาไป จับเหตุผลต้นปลายให้ถูกต้อง ปฏิบัติดั่งนี้ชื่อว่าปฏิบัติในการฟังธรรม ย่อมจะเห็นธรรม คือเห็นเหตุผลต้นปลายในธรรมะที่ฟังนั้น ย่อมจะได้วิเวกคือความสงบสงัด อันเป็นเหตุให้เกิดความสุข ดังที่ตรัสเอาไว้ว่า สุโข วิเวโก ตุฏฺฐสฺส สุตธมฺมสฺส ปสฺสโต ที่แปลความว่า วิเวกคือความสงบสงัดให้เกิดความสุขแห่งบุคคลผู้มีธรรมที่ได้สดับแล้ว เห็นธรรม สันโดษยินดีในธรรม
และวิเวกคือความสงบสงัดนี้ แสดงโดยทั่วไป ท่านแบ่งเป็น ๓ คือ กายวิเวก ความสงบสงัดทางกาย จิตตวิเวก ความสงบสงัดจิต อุปธิวิเวก ความสงบสงัดกิเลสที่สิงใจ จะได้วิเวกคือความสงบสงัดทั้ง ๓ ประการนี้ ซึ่งแต่ละประการก็ให้เกิดความสุข
กายวิเวก สีลสิกขา
ประการแรกกายวิเวกสงบสงัดกาย มีความหมายถึงสงบสงัดกายคือ กาย วาจา และเนื่องมาถึงจิต จากภัยเวรทั้งหลาย หรือจากบาปอกุศลทุจริตทางกายวาจาพร้อมทั้งใจ
( เริ่ม ) หากว่าจะแสดงโดยอริยมรรคมีองค์ ๘ ก็ได้แก่อริยมรรค ๓ ข้อ คือปรากฏเป็นสัมมาวาจาเจรจาชอบ สัมมากัมมันตะการงานชอบ สัมมาอาชีวะเลี้ยงชีวิตชอบ สัมมาวาจาเจรจาชอบนั้นก็คือเว้นจากพูดเท็จ เว้นจากพูดส่อเสียด เว้นจากพูดคำหยาบ เว้นจากพูดเพ้อเจ้อเหลวไหล หากแสดงโดยนัยยะที่ไม่ปฏิเสธ ก็คือพูดวาจาที่เป็นสัตย์จริงซึ่งมีประโยชน์ พูดวาจาที่สมัครสมานสามัคคี พูดวาจาที่เป็นคำสุภาพ วาจาซึ่งเป็นที่รัก และพูดวาจาที่มีหลักฐานเป็นธรรมเป็นวินัย เป็นข้อที่ควรพูด
มรรคทั้ง ๓ ข้อนี้จัดเป็นศีล หรือสีลสิกขา ศึกษาในศีล ย่อมปรากฏออกมาเป็นความไม่เบียดเบียน เป็นความสำรวมระวังในสัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น จึงเป็นเหตุให้เกิดความสุข เพราะเมื่อไม่มีการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน มีความสำรวมระวังในสัตว์ทั้งหลาย ก็คือในกันและกันทั้งหมด โดยไม่ให้มีการละเมิด กระทบกระทั่ง ทำลายร่างกายชีวิตทรัพย์สินเป็นต้น ก็จะมีความสุข ทั้งผู้ประพฤติปฏิบัติเองด้วย และทั้งผู้อื่นด้วย จึงได้ตรัสเอาไว้ว่า อพฺยาปชฺฌํ สุขํ โลเก ปาณภูเตสุ สญฺญโม ความไม่เบียดเบียน คือความสำรวมระวังในสัตว์ทั้งหลายเป็นสุขในโลก หรือเป็นเหตุให้เกิดสุขในโลก
การปฏิบัติในข้อนี้จัดว่าเป็นกายวิเวก และผู้ที่ฟังธรรมเห็นธรรมยินดีในธรรม ย่อมได้วิเวกคือกายวิเวกเป็นข้อที่ ๑ นี้แล้ว ยังจะได้วิเวกข้อต่อไป คือจิตตวิเวกสงบสงัดจิต เพราะว่า เมื่อได้สดับธรรมเห็นธรรมด้วยโยนิโสมนสิการ ยินดีในธรรม พอใจในธรรม ก็ย่อมยินดีในการปฏิบัติธรรมที่เป็นวิเวกดังกล่าวนี้ขึ้นไปโดยลำดับ
จิตตวิเวก จิตตสิกขา
และจิตตวิเวกคือความสงบสงัดทางจิตนี้ ก็ได้แก่สมาธิ คือความที่จิตสงบสงัดกาม และอกุศลธรรมทั้งหลาย ตั้งมั่นอยู่ในกรรมฐาน ได้ความที่นำจิตมาตั้งไว้ในกรรมฐาน ได้ความประคองจิตไว้ในกรรมฐาน ได้ปีติได้สุขในกรรมฐาน และได้ความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียวในกรรมฐาน
และหากจะยกเอาองค์มรรค ๘ มาแสดงในข้อนี้ ก็ได้แก่องค์มรรค ๓ ข้อ คือ สัมมาวายามะ เพียรชอบ คือเพียรระวังบาปอกุศลอธรรมทั้งหลายที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิด ขึ้นข้อ ๑ เพียรละบาปอกุศลธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้ว ข้อ ๑ เพียรทำกุศลธรรมทั้งหลายที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ข้อ ๑ เพียรรักษากุศลธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งอยู่ และให้เจริญบริบูรณ์ เรียกว่าสัมมาวายามะเพียรชอบ เป็นข้อที่ ๑
สัมมาสติ สติคือระลึกชอบ ก็ได้แก่ระลึกรู้ไปในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม อันเป็นสติปัฏฐาน ๔ ข้อ เรียกว่าสัมมาสติระลึกชอบ สติชอบ เป็นองค์มรรคที่ ๒ สัมมาสมาธิตั้งใจมั่นชอบ ได้แก่ปฏิบัติทำสมาธิกำหนดในกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ เบื้องต้นก็มีวิตกคือนำจิตตั้งไว้ในกรรมฐาน มีวิจารความตรองคือประคองจิตไว้ในกรรมฐาน เมื่อประคองจิตไว้ได้นาน ก็จะได้ปีติความดูดดื่มความอิ่มใจ สุขความสบายกายสบายใจ และได้ความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว ซึ่งตั้งอยู่อาศัยสุข และเมื่อได้จิตที่มีอารมณ์เป็นอันเดียวได้ก็เรียกว่าได้สมาธิ อันนับว่าเป็นขั้นต้น และเมื่อปฏิบัติต่อไปจิตก็จะตั้งมั่นแน่วแน่ยิ่งขึ้น ได้สมาธิที่ดียิ่งขึ้น จนถึงแนบแน่น ก็เรียกว่า สัมมาสมาธิ ตั้งใจมั่นชอบ เป็นข้อที่ ๓
ทั้ง ๓ ข้อนี้เป็นจิตตวิเวก หรือว่าจิตตสิกขาศึกษาในจิต ก็คือสมาธิ มีอาการที่เป็นวิเวกคือความสงบสงัดจากราคะคือความติดใจยินดี อันเรียกว่า วิราคตา คือความที่ปราศจากความติดใจยินดี ก้าวล่วงกามทั้งหลาย คือก้าวล่วงกามคุณารมณ์ทั้งหลาย ดังที่ได้กล่าวในเบื้องต้นไว้แล้วว่า สงบสงัดจากกามทั้งหลาย จากอกุศลธรรมทั้งหลาย
เป็นเหตุให้เกิดความสุขขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ดังที่ตรัสเอาไว้ว่า สุขา วิราคตา โลเก กามานํ สมติกฺกโม ความสิ้นความติดใจยินดี คือก้าวล่วงกามทั้งหลาย เป็นสุขในโลก และความที่ได้สดับฟังธรรมะ เห็นธรรมะด้วยโยนิโสมนสิการ ยินดีในธรรม ย่อมจะอุดหนุนให้การปฏิบัติพบวิเวกที่ละเอียดไปกว่านั้น คือ อุปธิวิเวก สงบสงัดจากอุปธิคือกิเลสที่สิงใจทั้งหลาย
อัสมิมานะ อหังการ มมังการ
อันกิเลสที่สิงใจนี้ ที่เป็นอย่างละเอียดเรียกว่า อัสมิมานะ ความสำคัญหมายยึดถือว่าเรามีเราเป็น เพราะเมื่อมีความหมายมั่นในใจ ยึดถือในใจว่าเรามีเราเป็นดั่งนี้ ก็ทำให้บังเกิด อหังการ คือสร้างตัวเราขึ้นมา เกิด มมังการ สร้างของเราขึ้นมา มีตัวเรา มีของเรา
เมื่อมีตัวเรามีของเราดั่งนี้ ก็ย่อมทำให้บังเกิดความขวนขวายต่างๆ มาให้ตัวเราของเรา และเมื่อมีความยึดถือในตัวเราของเรามาก ก็ย่อมจะทำให้ขวนขวายแสวงหามาให้ตัวเราของเรามากขึ้น ปรากฏเป็นตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก อยากจะให้ตัวเราได้นั่นได้นี่ เป็นนั่นเป็นนี่ ให้สิ่งนั้นมาเป็นของเรา ให้สิ่งโน้นมาเป็นของเรา ไขว่คว้าต่างๆ โดยที่ไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ เพราะว่าอันความอยากนั้นไม่มีอิ่มไม่มีพอ ท่านจึงเปรียบเหมือนอย่างว่า ตัณหาไม่มีอิ่มไม่มีพอ เหมือนอย่างมหาสมุทรที่ไม่เต็มด้วยน้ำ หรือไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ อย่างเช่นเอาเชื้อใส่ไฟมากเท่าไร ไฟก็ไหม้เชื้อกองโตขึ้นเท่านั้น ทำให้ต้องการเชื้อมากขึ้น
เพราะฉะนั้น ตัวอัสมิมานะคือความสำคัญมั่นหมายว่าตัวเราของเรานี้จึงเป็นจุดสำคัญ ซึ่งเป็นตัว ภวตัณหา นำให้เกิด กามตัณหา และเพิ่มพูน วิภวตัณหา ทั้งหมดนี้บังเกิดขึ้นจากอวิชชาคือความไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัวความจริง จึงบังเกิดความหลงยึดถือดั่งนั้น
อุปธิวิเวก
เพราะฉะนั้น จะแก้ได้ก็ต้องแก้ด้วยปัญญา โดยที่อบรมปัญญา กำจัดกิเลสที่สิงใจเหล่านี้ให้สิ้นไป เพราะเมื่อปัญญาบังเกิดขึ้นเป็นวิชชาคือความรู้ ที่หยั่งรู้ถึงสัจจะคือความจริง ว่าอันที่จริงนั้น ตัวเราของเราจริงๆ นั้นไม่มี แต่ที่มีตัวเราของเรานั้นเป็นตัวมานะคือความสำคัญมั่นหมายยึดถือเท่านั้น จึงทำให้เกิดอหังการมมังการเป็นต้น ขึ้นอีกมากมาย
เพราะฉะนั้น จึงต้องอาศัยปัญญา เมื่อปัญญาบังเกิดขึ้นเป็นวิชชา ความรู้ที่แจ่มแจ้งในสัจจะคือความจริง อวิชชาคือความไม่รู้ก็หายไป เมื่ออวิชชาหายไป อัสมิมานะอันนี้ก็ดับ เหมือนอย่างเมื่อความสว่างบังเกิดขึ้นความมืดก็หาย สัจจะคือความจริงก็ย่อมปรากฏขึ้น เป็นทุกข์เป็นสมุทัยเป็นนิโรธเป็นมรรค
เพราะฉะนั้นจะได้วิเวกขั้นสูงคืออุปธิวิเวก คือความสงบสงัดกิเลสที่สิงใจคืออัสมิมานะ ก็ต้องปฏิบัติทางปัญญา คือตั้งใจฟังธรรม และเห็นธรรมด้วยโยนิโสมนสิการ ยินดีในธรรมที่ยิ่ง ปฏิบัติโยนิโสมนสิการ ใส่ใจในธรรม คือนำธรรมะมาใส่ไว้ในจิตที่เป็นสมาธิ ที่สงบ ที่บริสุทธิ์สะอาด ธรรมะที่ใส่เข้าไปในใจเช่นนี้ย่อมจะเป็นแสงประทีปขึ้นในใจ ส่องให้มองเห็นธรรมะที่เป็นสัจจะคือความจริง เป็นวิชชาขึ้น เป็นญาณเป็นความหยั่งรู้ขึ้น เป็นจักษุคือดวงตาเห็นธรรมขึ้น เป็นความสว่างขึ้น
ว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่มีตัวเรา ไม่มีของเรา เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วก็เป็นวิชชาซึ่งเป็นแสงสว่างปรากฏ อวิชาที่เป็นตัวมืดก็หาย แต่ทั้งนี้ก็ต้องปฏิบัติทางปัญญาดังกล่าว สืบเนื่องมาจากศีลและสมาธิ คือให้จิตนี้เองเป็นศีล จิตนี้เองเป็นสมาธิ และจิตนี้เองเป็นปัญญาขึ้นในจิต
หากจะแสดงโดยองค์มรรค ก็ได้แก่องค์มรรค ๒ ข้อ คือ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ที่ได้แก่ญาณคือความหยั่งรู้ ในทุกข์ ในเหตุเกิดทุกข์ ในความดับทุกข์ ในทางฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เป็นสัมมาทิฏฐิข้อที่ ๑
สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ คือดำริออกจากกาม ดำริไม่เบียดเบียน ดำริไม่พยาบาทมุ่งร้ายปองร้ายใคร ดำริไม่เบียดเบียน เมื่อปฏิบัติให้ได้สัมมาทิฏฐิสัมมาสังกัปปะดั่งนี้ ก็จะได้ปัญญาที่เป็นวิชชา เป็นความสว่างปรากฏขึ้นในจิต ความมืดหรืออวิชชาที่เป็นตัวไม่รู้ก็หายไป เป็นความรู้แจ้มแจ้งขึ้นมา อัสมิมานะก็หายไปเรียกว่ากำจัดอัสมิมานะได้
อันนี้แหละเป็นตัวสุขที่เป็นข้อที่ ๔ ถ้านับตั้งแต่วิเวกที่เป็นข้อรวม ข้อที่ ๑ หรือถ้านับจำเพาะที่เป็นศีลเป็นสมาธิปัญญาก็เป็นข้อที่ ๓ ซึ่งเป็นบรมสุข จึงได้ตรัสไว้ว่าอสฺมิมานสฺส วินโย เอตํ เว ปรมํ สุขํ กำจัดอัสมิมานะความสำคัญมั่นหมายยึดถือว่าเรามีเราเป็นเสียได้ นี้แลเป็นบรมสุข ดั่งนี้
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป