แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม ได้แสดงโพธิปักขิยธรรมมาโดยลำดับ ซึ่งประกอบด้วยธรรมะ ๗ หมวด หมวดที่ ๑ สติปัฏฐาน ๔ หมวดที่ ๒ สัมมัปปธาน ๔ หมวดที่ ๓ อิทธิบาท ๔ หมวดที่ ๔ อินทรีย์ ๕ และจะได้แสดงหมวดที่ ๕ คือ พละ ๕
พละ ๕ นี้คือกำลังหรือพลัง ๕ ข้อ มีชื่อเช่นเดียวกันกับอินทรีย์ ๕ คือ ๑ สัทธาพละ กำลังคือศรัทธา ๒ วิริยะพละ กำลังคือวิริยะความเพียร ๓ สติพละ กำลังคือสติ ๔ สมาธิพละ กำลังคือสมาธิ ๕ ปัญญาพละ กำลังคือปัญญา และธรรมะ ๕ ข้อนี้ก็มีอธิบายเช่นเดียวกันกับอินทรีย์ ๕
สัทธาพละ
ศรัทธานั้นมีพระพุทธาธิบายว่า ความเชื่อความตรัสรู้ของพระตถาคตพุทธเจ้า และตรัสอธิบายเพียงเท่านี้ก็มี บางแห่งตรัสอธิบายว่าเชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าตามพระพุทธคุณทั้ง ๙ บทนั้นก็มี จึงจะอธิบายเพิ่มเติมในข้อศรัทธาแต่เพียงว่า พระพุทธคุณทั้ง ๙ บทนั้นเมื่อย่อลงก็เป็น ๓ คือ พระปัญญาคุณ คุณคือความตรัสรู้จริง พระวิสุทธิคุณ คุณคือความบริสุทธิ์จริง พระกรุณาคุณ คุณคือพระกรุณาจริง
พระคุณทั้ง ๓ นี้ได้มีในบทสวดหลังทำวัตรเช้า คือหลังสวดสดุดีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ คือบทว่า พุทโธ สุสุทโธ กรุณามหัณโว พุทโธพระผู้ตรัสรู้แล้ว แสดงถึงพระปัญญาคุณ วิสุทโธ พระผู้บริสุทธิ์แล้ว แสดงถึงพระวิสุทธิคุณ กรุณามหัณโว มีพระกรุณาดั่งห้วงทะเลหลวง แสดงถึงพระกรุณาคุณ
และในบทนอบน้อมพระพุทธเจ้าที่สวดนำ หรือคิดพิจารณาทำภาวนาทางจิตใจ ก็คิดนำด้วยบท นะโม ตัสสะ ภควะโต อรหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ซึ่งทุกคนย่อมสวดกันได้ และถือเป็นบทสวดนำอันจะขาดมิได้ ที่แปลความว่า นะโม นอบน้อม ตัสสะ ภควะโต แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งมีคำแปลด้วยความหมายอันหนึ่งว่า พระผู้จำแนกแจกธรรมสั่งสอนประชุมชน อรหะโต ผู้เป็นพระอรหันต์ ควรไหว้ควรบูชา เพราะเป็นผู้ไกลกิเลส จึงเป็นผู้บริสุทธิ์กายวาจาใจสิ้นเชิง สัมมาสัมพุทธัสสะ ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ
ในบท นะโม นี้ยกพระพุทธคุณบทว่า ภคะวา ซึ่งเป็นบทที่ ๙ ขึ้นมานำหน้า ซึ่งมีความหมายว่าทรงจำแนกแจกธรรมสั่งสอนประชุมชน ข้อนี้แสดงถึงพระกรุณาคุณนั้นเอง และเพราะมีข้อนี้ชาวโลกจึ่งได้รับประโยชน์ จากความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ได้รู้ธรรมะที่ทรงสั่งสอน นำมาปฏิบัติให้ได้รับประโยชน์ตามที่ปรารถนา เป็นประโยชน์ปัจจุบันบ้าง ประโยชน์ภายหน้าบ้าง อันเป็นฝ่ายโลกิยะเกี่ยวกับโลก และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งอันเรียกว่า ปรมัตถประโยชน์ ที่นำให้พ้นโลกพ้นกิเลส ก็เพราะพระคุณข้อนี้ คือทรงจำแนกแจกธรรมสั่งสอนประชุมชน ด้วยพระมหากรุณาดั่งห้วงทะเลหลวง จึงได้กล่าวนมัสการยกพระคุณข้อนี้ขึ้นเป็นข้อที่ ๑ เพราะเป็นข้อที่ทำให้ได้รู้ธรรมะที่ทรงสั่งสอน สามารถปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพื่อผลดีผลชอบตามที่ทรงสั่งสอน
และเพราะธรรมะที่ทรงแสดง และฟังแล้วก็มาปฏิบัติ ย่อมได้พบกับความบริสุทธิ์กายวาจาใจ และทำให้ได้มองเห็นว่า พระพุทธเจ้าผู้พระศาสดา ผู้ทรงสั่งสอนนั้น ทรงเป็นผู้บริสุทธิ์กายวาจาใจ ธรรมะที่ทรงแสดงสั่งสอนจึงเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ ทำผู้ปฏิบัติให้เป็นผู้บริสุทธิ์ และนำให้เกิดความเคารพบูชา นำให้ตั้งใจถึงหรือเปล่งวาจาถึง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะคือที่พึ่งของจิตใจ เป็นผู้นำทางจิตใจให้ปฏิบัติในทางอันถูกต้อง และเมื่อเป็นผู้ตามพระพุทธเจ้า คือปฏิบัติตามที่ทรงสั่งสอน ก็ย่อมได้ความบริสุทธิ์กายวาจาใจ นำให้เกิดความเคารพบูชา
จึงมาถึงบทที่ ๒ ว่า อรหะโต ที่มาจากคำว่า อะระหัง อันเป็นบทที่ ๑ ในพระพุทธคุณ ๙ บท แล้วจึงถึงพระพุทธคุณบทว่า สัมมาสัมพุทธัสสะ ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ บทว่า อรหะโต นั้นก็แสดงถึงพระวิสุทธิคุณ และบทว่า สัมมาสัมพุทธัสสะ ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบนั้น ก็แสดงถึงพระปัญญาคุณ ซึ่งพระปัญญาคุณนี้เป็นความตรัสรู้ซึ่งเป็นสัพพัญญู เป็น สัพพัญญุตญาณ คือความรู้ทั้งหมด จึงเป็นความรู้ที่ไม่มีประมาณ เพราะรู้จบ เมื่อรู้จบก็ชื่อว่ารู้หมด รู้หมดก็คือรู้จบ
จึงเป็นข้อที่ลึกซึ้ง ยังไม่ปรากฏแก่ผู้เริ่มปฏิบัติทีเดียว ผู้เริ่มได้พบเห็นพระพุทธเจ้า หรือว่าเริ่มได้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ย่อมยังไม่สามารถจะเข้าไปในข่ายแห่งพระปัญญาคุณได้ ต้องฟังธรรมคือรับพระมหากรุณาจากพระองค์ และได้ความบริสุทธิ์กายวาจาใจ นั่นแหละจึงจะปรากฏถึงพระปัญญาคุณ หรือเข้าในข่ายพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า ว่าพระองค์ได้เป็นผู้ตรัสรู้จริง ตรัสรู้เองด้วย ตรัสรู้ชอบด้วย คือต้องอยู่ในขั้นเห็นธรรม จึงจะเห็นพระพุทธเจ้า ก็เห็นความตรัสรู้ของพระองค์นั้นเอง ดังพระพุทธภาษิตที่ตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ดั่งนี้ จึงจะเข้าข่ายพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า
และเมื่อเข้าข่ายพระปัญญาคุณของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงจะได้ศรัทธาความเชื่อที่ตั้งมั่น ดังที่บังเกิดความรู้สึกสำนึกขึ้นในจิตใจตนเองว่า อโห พุทโธ พระพุทธเจ้าเป็นพระผู้ตรัสรู้จริงหนอ อโห ธัมโม ธรรมะเป็นธรรมที่ตรัสดีแล้วจริงหนอ อโห สังโฆ พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้วจริงหนอ ดั่งนี้
เพราะฉะนั้นในบท นะโม นี้ จึ่งได้เริ่มด้วยบทสุดท้ายคือ ภคะวา แล้วจึงมาบทที่ ๑ อะระหัง แล้วมาบทที่ ๒ สัมมาสัมพุทโธ ในพระพุทธคุณทั้ง ๙ บทนั้น ถ้าหากว่าไม่มีพระพุทธคุณบทว่า ภคะวา แล้ว เราทั้งหลายก็จะไม่ได้ทราบไม่ได้รู้ธรรมะ และก็จะไม่รู้จักพระอรหันต์ ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธะ
( เริ่ม) ฉะนั้น แม้พิจารณาพระพุทธคุณที่ย่อเข้ามา เป็นพระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ พระกรุณาคุณ หรือตามบท นะโม พิจารณาในพระกรุณาคุณ พระวิสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ ดั่งนี้ ก็จะทำให้บังเกิดศรัทธาในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เรียกอย่างง่ายๆ ว่าเชื่อความรู้ของครูอย่างไม่หวั่นไหว เป็นสัทธินทรีย์ อินทรีย์คือศรัทธา หรือสัทธาพละ กำลังคือศรัทธา
วิริยะพละ
ในข้อที่ ๒ อินทรีย์คือวิริยะความเพียร หรือว่า วิริยพละ กำลังคือพละ ก็ตรัสอธิบายไว้โดยมากว่า เริ่มความเพียรเพื่อละอกุศลทั้งหลาย เพื่อทำกุศลทั้งหลายให้เกิดขึ้น มีกำลังไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย ในบางครั้งก็ตรัสยกเอาว่าความเพียรในสัมมัปปธานทั้ง ๔ ในบางครั้งก็ตรัสรวมกันทั้งสองอย่าง บางครั้งก็แยกกันอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ว่าก็มีอรรถะคือเนื้อความถึงความเพียรเพื่อละ เพื่อๆ ละอกุศล เพื่อทำกุศลให้เกิดขึ้น หรือว่าความเพียรที่เป็นสัมมัปปธาน ๔ เช่นเดียวกัน
สติพละ
ข้อ ๓ อินทรีย์คือสติ และพละคือสติ ก็ตรัสอธิบายทั่วๆ ไปว่ามีสติประกอบด้วยสติอันเป็นเครื่องรักษาตน ระลึกนึกได้ถึงการที่ทำคำที่พูดแม้นานได้ หรือตรัสชี้เอาสติปัฏฐานทั้ง ๔ บางแห่งก็ตรัสอย่างใดอย่างหนึ่ง บางแห่งก็ตรัสรวมกันทั้งสองอย่าง แต่ว่า แม้ว่าจะตรัสโดยทั่วไป หรือว่าระบุเอาสติปัฏฐานทั้ง ๔ ก็มีความอย่างเดียวกัน
สมาธิพละ
มาข้อ ๔ อินทรีย์คือสมาธิ และพละคือสมาธิ ก็ตรัสอธิบายถึงสมาธิทั่วๆ ไป หรือสมาธิที่เป็นอัปปนาสมาธิโดยตรงคือฌาน ๔ สมาธิทั่วๆ นั้นก็คือตรัสแต่เพียงว่า จะทำการวางอารมณ์ ได้สมาธิได้ จิตเตกัคคตา คือความที่จิตใจมียอดเป็นอันเดียว คือมีอารมณ์เป็นอันเดียว บางแห่งก็ตรัสแยกกัน บางแห่งก็ตรัสรวมกัน ในข้อสมาธินี้ที่ตรัสโดยทั่วไปนั้น ก็อาจจะหมายถึงสมาธิเบื้องต้นรวมเข้าด้วย แต่ที่ตรัสถึงอัปปนาสมาธินั้น ก็เจาะจงเป็นอัปปนาสมาธิคือถึงฌาน
ปัญญาพละ
ในข้อ ๕ อินทรีย์คือปัญญา กับพละคือปัญญานั้น ตรัสอธิบายถึงปัญญาในพุทธศาสนาทั่วๆ ไป คือปัญญาในพุทธศาสนานั้น มุ่งถึงปัญญาที่รู้ถึงความเกิดความดับแห่งสังขารทั้งหลาย ทั้งภายในคือขันธ์ ๕ หรือนามรูปนี้ของทุกๆ คน และทั้งภายนอก ทั้งที่มีใจครอง ทั้งไม่มีใจครอง เมื่อเป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งแล้ว ก็เป็นสิ่งที่เกิดดับทั้งหมด จึงเป็นปัญญาที่เจาะแทงลงไปเห็นความเกิดดับ เจาะแทงอะไร ก็เจาะแทงโมหะความหลง อวิชชาความไม่รู้ เมื่อเจาะแทงอวิชชาโมหะได้ ปัญญาก็ผุดขึ้นเห็นเกิดดับในสังขารทั้งหลาย เมื่อเป็นดั่งนี้จึงเป็นปัญญาที่ทำให้ถึงความสิ้นทุกข์ได้ เป็นปัญญาที่มุ่งหมายในพุทธศาสนาทั่วไป ต้องการปัญญาดั่งนี้ และในบางแห่งก็ตรัสระบุปัญญาในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ คือทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ บางแห่งก็ตรัสแยกกัน บางแห่งก็ตรัสรวมกันทั้งสองอย่าง
เพราะฉะนั้น อินทรีย์ ๕ กับพละ ๕ นี้ จึงมีข้อธรรมะเป็นอย่างเดียวกัน แต่ว่าหมวดหนึ่งนั้นมุ่งเป็นอินทรีย์คือเป็นใหญ่ เป็นใหญ่เหนืออกุศลธรรมทั้งหลายที่ตรงกันข้าม อีกหมวดหนึ่งคือพละ มุ่งถึงเป็นกำลังหรือเป็นพลังในอันที่จะปราบปรามกิเลส
หรืออกุศลธรรมที่ตรงกันข้าม ดังเช่นว่าอินทรีย์คือศรัทธานั้นเป็นใหญ่เหนือความไม่เชื่อ พละคือศรัทธานั้นเป็นพลังที่ปราบปรามความไม่เชื่อลงได้ กำจัดความไม่เชื่อได้ อินทรีย์คือวิริยะความเพียรเป็นใหญ่เหนือความเกียจคร้าน พละกำลังคือความเพียร เป็นพลังเป็นกำลังสำหรับปราบปรามความเกียจคร้าน อินทรีย์คือสติเป็นใหญ่เหนือความหลงลืมสติ ความเผลอสติ พละกำลังคือสติเป็นเครื่องปราบปรามความหลงลืมสติ อินทรีย์คือสมาธิเป็นใหญ่เหนือความฟุ้งซ่านแห่งจิต พละกำลังคือสมาธิเป็นเครื่องปราบปรามความฟุ้งซ่านแห่งจิต อินทรีย์คือปัญญาเป็นเครื่องเป็นใหญ่เหนืออวิชชาความไม่รู้ โมหะความหลงถือเอาผิด พละกำลังคือปัญญาเป็นเครื่องปราบปรามทำลายอวิชชาโมหะ เพราะฉะนั้น จึงต้องแบ่งเป็น ๒ หมวด เป็นอินทรีย์หมวด ๑ เป็นพละหมวด ๑ เมื่อพิจารณาดูถึงบุคคลในโลกนี้ บุคคลผู้เป็นใหญ่ก็จะต้องมีพละคือกำลัง ถ้าๆ ไม่มีพละคือกำลังก็เป็นใหญ่ไม่ได้ และถ้าไม่มีความเป็นใหญ่ก็มีพละกำลังไม่ได้ เพราะฉะนั้น ธรรมะทั้งคู่นี้จึงได้ตรัสอธิบายไว้ว่าต่างอาศัยซึ่งกันและกัน อินทรีย์คือศรัทธาก็อาศัยพละคือศรัทธา พละคือศรัทธาก็ต้องอาศัยอินทรีย์คือศรัทธา อีก ๔ ข้อก็เช่นเดียวกัน
และได้ตรัสอุปมาไว้ถึงว่าทำไมจึงต้องแยกออกเป็น ๒ หมวดดังนี้ ด้วยแม่น้ำสายเดียวที่ไหลไปทางทิศตะวันออก และได้มีเกาะๆ หนึ่งอยู่กลางแม่น้ำ เมื่อน้ำไหลไปถึงเกาะนั้นก็แยกเป็นสองสาย เมื่อสุดเกาะนั้นแล้วก็รวมเป็นสายเดียวกัน เพราะฉะนั้น ธรรมะ ๒ หมวดนี้จึงกล่าวได้ว่าเป็นแม่น้ำสายเดียวกัน เป็นอันเดียวกัน แต่เมื่อถึงเกาะก็แยกออกเป็นสองสาย เป็นซ้ายทางซ้ายสายหนึ่ง ทางขวาของเกาะสายหนึ่ง ตั้งแต่เหนือเกาะจนถึงท้ายเกาะ แยกเป็นสองสาย คือแยกเป็นอินทรีย์สายหนึ่ง เป็นพละสายหนึ่ง และเมื่อสุดเกาะแล้วก็รวมเป็นสายเดียวกัน ครั้นพบเกาะเข้าอีกก็แยกเป็นสองสาย พ้นเกาะแล้วก็รวมเป็นสายเดียวกัน
เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติธรรมะ จะต้องต่อสู้กับกิเลสมาร มารคือกิเลสในจิตใจ ด้วยธรรมะ ดังธรรมะในหมวดโพธิปักขิยธรรมนี้ ปฏิบัติในหมวดสติปัฏฐานทั้ง ๔ เป็นหลัก โดยที่ต้องอาศัยสัมมัปปธานและอิทธิบาท เป็นอุปการะธรรมในการปฏิบัติสติปัฏฐาน และเมื่อพบเกาะคือเครื่องขัดขวางการปฏิบัติ ซึ่งเปรียบเหมือนเกาะที่เกิดกลางแม่น้ำ ทำให้แม่น้ำแยกเป็นสองสาย จึงต้องแยกธรรมะนี้ออกเป็นสองสาย สายอินทรีย์ที่เป็นใหญ่ คือต้องรักษาศรัทธาเป็นต้นให้เป็นใหญ่เหนือกิเลส และต้องมีพละคือกำลัง หรือมีศรัทธาเป็นต้นนั้นเองเป็นกำลัง สำหรับที่จะบำราบกิเลสมารลงไป เมื่อเป็นใหญ่ก็ชื่อว่ามีพละคือกำลัง และเมื่อมีพละคือกำลังก็ชื่อว่าเป็นใหญ่
เพราะฉะนั้นความเป็นใหญ่กับความมีพละคือกำลังต้องคู่กันไป ในคราวที่พบกิเลสมารอันจะต้องปราบปราม ซึ่งขัดขวางการปฏิบัติธรรมะ ก็ต้องมีความเป็นใหญ่ ต้องมีพละคือกำลัง คือต้องมีความเป็นใหญ่เหนือกิเลสมาร ต้องมีพละกำลังที่จะปราบกิเลสมารลงไปได้ จึงจะสวัสดีจากกิเลสมารที่มาขัดขวาง แล้วก็ดำเนินการปฏิบัติต่อไป คือต้องมีธรรมะ ๕ ข้อนี้เอง ต้องมีศรัทธา มีวิริยะ มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา
สัทธานุสารี ธรรมานุสารี
พระพุทธเข้าได้ตรัสยกอินทรีย์ ๕ ขึ้นเป็นที่ตั้ง เพราะเมื่อได้สมาทานอินทรีย์ ๕ นี้ให้บริบูรณ์แล้ว ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ หย่อนกว่านั้นก็เป็นพระอนาคามี หย่อนกว่านั้นก็เป็นพระสกทาคามี หย่อนกว่านั้นก็เป็นพระโสดาบัน หย่อนกว่านั้นก็เป็นผู้ปฏิบัติธรรม ที่เรียกว่า สัทธาวิมุติ มีศรัทธานำ หย่อนกว่านั้นก็หมายถึง ก็เป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่เรียกว่า ธรรมานุสารี มีธรรมะนำ ธรรมะก็เป็นธรรมะทางปัญญา หย่อนกว่านั้นก็เป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่เรียกว่า สัทธานุสารี มีศรัทธานำ
เพราะฉะนั้นธรรมะ ๕ ข้อนี้ จึงเป็นข้อที่ผู้ปฏิบัติธรรมะ จะพึงอบรมให้มีขึ้นเป็นพื้นอยู่ในตนอยู่เสมอ ขาดไม่ได้ทั้ง ๕ ข้อ จึงต้องมีศรัทธา มีวิริยะ มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา ตั้งแต่ต้นไปโดยลำดับ
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป