แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ได้แสดงนิมิตคือเครื่องกำหนดหมายของจิต ๕ ประการ สำหรับแก้ไขอกุศลวิตกที่บังเกิดขึ้นแทรกแซง ในขณะเมื่อปฏิบัติกรรมฐานหรือจิตตภาวนา ดังเช่นเมื่อปฏิบัติตั้งสติกำหนดสติปัฏฐานทั้ง ๔ กายเวทนาจิตธรรม ข้อใดข้อหนึ่งอยู่ อกุศลวิตกคือความตรึกที่เป็นอกุศลบังเกิดแทรกแซง อันประกอบด้วยฉันทะความชอบ หรือราคะความติดใจยินดีบ้าง ประกอบด้วยโทสะบ้าง ประกอบด้วยโมหะบ้าง ผู้ปฏิบัติก็พึงมีหน้าที่จะต้องทำจำเพาะหน้า คือจัดการระงับอกุศลวิตกที่บังเกิดขึ้นแทรกแซงนั้น ด้วยการที่มากำหนดให้รู้จักว่าอกุศลวิตก ความตรึกที่เป็นอกุศลข้อนี้ๆ บังเกิดขึ้น จิตได้ไปกำหนดนิมิตคือเครื่องกำหนดหมายของอกุศลวิตกนั้นๆ คือเอาอารมณ์ของอกุศลวิตกนั้นๆ มาเป็นนิมิต คือเครื่องกำหนดของใจ เมื่อเป็นดั่งนี้ก็ให้ต้องแก้ไขในปัจจุบัน ด้วย ๑ กำหนดนิมิตอื่นจากนิมิตนั้น ๒ พิจารณาให้เห็นโทษของนิมิตอันเป็นอกุศลที่บังเกิดขึ้นแทรกแซงนั้น ๓ ไม่ใส่ใจในนิมิตของอกุศลวิตกนั้น เมินใจไปเสียในนิมิตอื่น ซึ่งได้อธิบายไปแล้ว จึงมาถึงนิมิตที่ ๔ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ ให้ใส่ใจถึงสัณฐาน (เริ่ม) จึงมาถึงนิมิตที่ ๔ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ ให้ใส่ใจถึงสัณฐานของวิตกสังขาร
วิตกสังชาร
เพราะว่าวิตกคือความตรึกนึกคิดนี้ ทั้งที่เป็นกุศล และทั้งที่เป็นอกุศล ย่อมมีสังขาร สังขารนั้นแปลว่าเครื่องปรุงแต่งก็ได้ สิ่งปรุงแต่งก็ได้ คือว่าปรุงแต่งขึ้นเป็นนั่นเป็นนี่ เช่น ที่เรียกกันว่าสังขารร่างกาย คือร่างกายนี้ก็เป็นสังขารอย่างหนึ่ง คือเป็นสิ่งผสมปรุงแต่งอย่างหนึ่ง ซึ่งแม้ว่าจะเป็นนามธรรมคือตัววิตกเองก็เป็นสังขาร คือสิ่งผสมปรุงแต่งเหมือนกัน เรียกว่าสังขารของวิตก เหมือนอย่างสังขารร่างกายของบุคคล อันสังขารร่างกายของบุคคลนั้น ก็ปรุงแต่งขึ้นเป็นร่างกายของบุคคล ดังเช่นประกอบขึ้นด้วยธาตุ ๔ มีอาการ ๓๒ รูปร่างภายนอกก็มีส่วนศีรษะ ส่วนลำตัว และส่วนขาเป็นต้น มีมือมีแขนมีขา ส่วนศีรษะก็มีจมูกมีตามีหูเป็นต้น เหล่านี้เป็นสังขารร่างกายทั้งนั้น และก็มีอิริยาบถยืนเดินนั่งนอน ก็เป็นอิริยาบถของสังขารร่างกาย
แม้วิตกคือความตรึกนึกคิดเอง ก็มีสังขารของวิตกที่มีลักษณะอาการ และก็มีอิริยาบถของวิตกเอง คือวิตกที่เดินยืนนั่งนอน เหมือนอย่างอิริยาบถของร่างกาย วิตกที่เป็นไปอยู่ในจิต ก็เหมือนอย่างเดินไปหรือวิ่งไปในจิต วิตกที่หยุดอยู่ก็เหมือนอย่างนั่ง หรือว่าเหมือนอย่างนอน แล้วเมื่อเป็นไปก็เหมือนอย่างลุกขึ้นมาจากนั่งลุกขึ้นมาจากนอน แล้วก็เดินไปวิ่งไป เป็นกระบวนการของวิตกในจิต นี่เป็นสังขารของวิตก และก็มีสัณฐานคือทรวดทรงของสังขารของวิตก เหมือนอย่างมีสัณฐานคือทรวดทรงของสังขารร่างกายของสัตว์บุคคลทั้งหลาย เช่นเดียวกัน แต่ว่าเป็นนามธรรม
วิธีหยุดวิตก
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงมาตรัสสอนว่า เมื่อแก้ด้วย ๓ วิธีข้างต้นไม่สำเร็จ ไม่สามารถที่จะรำงับอกุศลวิตกที่บังเกิดขึ้นแทรกแซงในจิตใจได้ หรือจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็กล่าวได้ว่าไม่สามารถที่จะระงับดับนิวรณ์ที่บังเกิดขึ้นในจิตใจได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้ใช้การพิจารณาดูสัณฐานคือทรวดทรงของวิตกสังขารที่บังเกิดขึ้น และเมื่อเป็นดั่งนี้ก็จะทำให้สังขารของวิตกนั้น ในขณะที่อยู่ในอิริยาบถที่สมมติว่าวิ่งไปนั้น ก็จะช้าเข้าในขณะที่จิตกำหนดดู เป็นเดิน แล้วก็จะช้าเข้าอีกได้ตามต้องการ เหมือนอย่างเป็นยืนเป็นนั่งเป็นนอน คือว่าหยุด
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเปรียบไว้เหมือนอย่างว่า เมื่อบุคคลวิ่งอยู่ ก็คิดว่าทำไมเราจึงจะต้องวิ่ง ทำไฉนเราจึงจะเปลี่ยนมาเป็นเดิน ดั่งนี้ ก็เปลี่ยนจากวิ่งมาเป็นเดิน และเมื่อเดินอยู่ก็คิดว่าทำไมเราจึงจะต้องเดิน ควรจะหยุดยืน ก็หยุดยืนได้ และเมื่อหยุดยืนแล้วก็คิดว่าทำไมเราจึงจะต้องยืน ควรจะนั่ง ก็นั่งได้ และเมื่อนั่งก็คิดว่าทำไมเราจึงจะต้องนั่ง ควรจะนอน ก็นอนลงได้ ก็เป็นอันว่าเป็นอิริยาบถที่หยุดพัก ฉันใด
การพิจารณาจับดูสัณฐานคือทรวดทรงของสังขารวิตก คือสังขารของวิตกก็เช่นเดียวกัน การที่เริ่มมาจับดูนั้นก็เหมือนอย่างว่า การทำให้วิตกกำลังวิ่งอยู่หยุดวิ่ง เป็นเดิน และเมื่อเพ่งดูต่อไปอีก ก็จะทำให้วิตกที่เหมือนอย่างกำลังเดินนั้น หยุดยืน และเมื่อดูเพ่งพินิจต่อไปอีก ก็จะทำให้วิตกที่เหมือนอย่างหยุดยืนนั้นนั่งลง และเมื่อดูต่อไปอีกก็จะทำให้วิตกที่กำลังนั่งนั้นนอนลง เป็นอันว่าสามารถหยุดอกุศลวิตกนั้นได้ ดั่งนี้เป็นวิธีที่ ๔
ในข้อที่ตรัสสอนให้กำหนดดูให้รู้จักวิตก คือให้รู้จักสัณฐานคือทรวดทรงแห่งสังขารของวิตกดั่งนี้ เป็นวิธีที่หยุดวิตก จะทำให้รู้เหตุรู้ผลว่าทำไมจึงต้องวิตก สมควรจะหยุด เพราะว่าเมื่อวิตกวิ่งไปหรือเดินไปหยุดยืนอยู่หรือนั่งอยู่ก็ดี ก็เป็นการทำให้จิตไม่เป็นสมาธิ ไม่สามารถที่จะปฏิบัติกรรมฐานที่ตั้งเอาไว้ได้ ทำให้รู้จักเหตุรู้จักผล และรู้จักเหตุรู้จักผลด้วยว่ามูลเหตุของวิตกอันเป็นอกุศลที่เกิดขึ้นแทรกแซงนั้น เกิดมาจากอะไร และวิ่งไปดำเนินไปอย่างไร เช่นว่าในขณะที่กำลังนั่งทำกรรมฐานอยู่ จิตกำลังรวมอยู่ในกรรมฐาน มีเสียงอะไรมากระทบหู จิตก็วิ่งไปที่เสียงนั้น และเมื่อวิ่งไปที่เสียงนั้นแล้ว ก็วิ่งต่อไปถึงอันโน้นถึงอันนี้อันนั้นอีกมากมาย จนเมื่อมีสติระลึกขึ้นมาได้ ก็นำจิตกลับเข้ามาตั้งไว้ใหม่
เพราะฉะนั้น เมื่อดูสัณฐานคือทรวดทรงแห่งสังขารของวิตกดังกล่าว ก็เป็นการเท่ากับตรวจดู ว่าอกุศลวิตกที่บังเกิดขึ้นแทรกแซงนั้นเกิดมาจากเหตุอะไร แล้วก็ไปไหนมาบ้าง แล้วจึงจะรู้สึกว่าจิตนี้แล่นไปเร็วมาก แว๊บเดียวเท่านั้นจะออกไปหลายเรื่องหลายราว เพราะฉะนั้นสามารถจะจับจิตได้ ทำให้หยุดวิตกลงได้ ตั้งแต่ผ่อนให้ที่วิ่งไปเร็วนั้นกลับช้าลงๆ จนนอนลงได้ คือว่าหยุดได้ และเมื่อจิตแล่นออกไปอีก ก็ดูอีกว่ามาจากอะไร ก็สามารถที่จะนำจิตกลับมาให้สงบอยู่ในกรรมฐานได้ คือให้รู้ต้นเหตุ
อุปมาเรื่องกระต่ายตื่นตูม
ท่านจึงตรัสอุปมาด้วยเรื่องกระต่ายตื่นตูม ซึ่งเรื่องกระต่ายตื่นตูมนี้ มีอยู่ในนิทานสอนเด็กตั้งแต่ในชั้นประถม ซึ่งมีเรื่องเล่าว่ากระต่ายนอนอยู่ใต้ต้นมะตูม ซึ่งมีลูกสุก มะตูมผลหนึ่งก็หล่นลงมาจากต้น ตกลงที่ใกล้หูของกระต่ายเสียงดังตูม กระต่ายกำลังหลับเพลินได้ยินเสียงมะตูมหล่นลงดังตูมดั่งนั้น ก็ตกใจคิดว่าแผ่นดินถล่ม รีบวิ่งหนีออกไปโดยเร็ว บรรดาสัตว์ทั้งหลายเห็นกระต่ายวิ่งหนีออกไปโดยเร็ว ไต่ถามว่าแผ่นดินถล่ม ก็พากันตกใจวิ่งตามกระต่ายออกไปเป็นพรวน จนถึงไปพบกับราชสีห์ซึ่งเป็นสัตว์มีปัญญา ราชสีห์จึงได้ถามกระต่ายว่าวิ่งมาทำไมกัน
กระต่ายก็ตอบว่าแผ่นดินถล่มจึงพากันวิ่งหนี ราชสีห์ก็ถามว่าถล่มที่ไหน กระต่ายก็ตอบว่าเริ่มที่ใต้ต้นมะตูม ราชสีห์จึงให้กระต่ายนำไป กระต่ายก็ไม่กล้า ราชสีห์บอกไม่เป็นไร เราพระยาราชสีห์ก็จะไปด้วย จึงได้พาสัตว์เหล่านั้นเดินย้อนกลับไปยังต้นมะตูม และเมื่อถึงต้นมะตูมแล้วราชสีห์ก็เข้าไปดู ก็เห็นลูกมะตูมหล่นอยู่ตรงที่กระต่ายนอนนั้น และแหงนขึ้นดูที่ต้นมะตูมก็พบว่ามะตูมนั้นมีผลสุก เพราะฉะนั้น จึงได้พูดให้กระต่ายเข้าใจว่าไม่ใช่แผ่นดินถล่ม แต่ว่าผลมะตูมหล่นลงจากต้น เท่านั้นสัตว์ทั้งหลายก็เลยหายความตกใจ
นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานสำหรับสอนว่า อาการที่จิตเป็นไปกับด้วยอกุศลวิตก วิ่งพล่านไปนั้น ก็เหมือนอย่างกระต่ายตื่นตูมด้วยคิดว่าแผ่นดินถล่ม พากันวิ่งพร้อมด้วยสัตว์ทั้งหลาย เพื่อจะหนีแผ่นดินถล่ม แต่ว่าเมื่อใช้การพิจารณาดูสัณฐานแห่งสังขารของวิตก ก็เหมือนอย่างว่าย้อนกลับไปดูถึงว่าวิตกนั้นมาจากไหน มาจากเรื่องอะไร ก็จะพบปฐมเหตุหรือว่าต้นเหตุ และเมื่อเป็นดั่งนี้แล้ววิตกในเรื่องนั้นก็จะสงบไป จิตกลับมาสู่ตั้งอยู่เป็นสมาธิได้
ดั่งนี้เป็นอธิบายในวิธีปฏิบัติในข้อที่ ๔ และหากว่าเมื่อปฏิบัติในข้อที่ ๔ นี้ยังไม่สามารถที่ระงับความฟุ้งซ่านของจิตได้ คือไม่สามารถที่จะระงับอกุศลวิตกที่บังเกิดขึ้นนั้นได้ ก็ให้มาใช้ข้อ ๕ ซึ่งใช้วิธีบังคับ คือว่าให้ใช้ฟันกัดฟัน เอาลิ้นดุนเพดาน ข่มจิต บังคับจิต เพื่อให้หยุดวิตกคือความตรึกนึกคิด เหมือนอย่างบุรุษที่มีกำลังกว่า จับบุรุษที่มีกำลังอ่อนกว่าที่ศีรษะที่คอหรือที่ก้านคอ บังคับกดเอาไว้ไม่ให้ไปข้างไหน ดั่งนี้เป็นวิธีที่ ๕
และเมื่อใช้บังคับด้วยวิธีที่ ๕ นี้แล้ว ก็จะสามารถระงับวิตก คือความตรึกนึกคิดที่ฟุ้งซ่านไปนั้นได้ จิตจะกลับมาตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ของสมาธิตามที่ต้องการ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่าผู้ที่ปฏิบัติตามวิธีทั้ง ๕ ประการนี้ ย่อมจะเป็นผู้มีความชำนาญในกระบวนการของวิตกคือความตรึกนึกคิด จะตัดตัณหาได้ จะคลี่คลายสัญโญชน์คือความผูกได้ จะทำทุกข์ให้สิ้นสุดลงได้ เพราะตรัสรู้ตามเป็นจริง
อำนาจของตัณหาสัญโญชน์
เพราะว่าตัณหาและสัญโญชน์นี้เอง ซึ่งเป็นเครื่องดึงจิต ให้วิ่งไปด้วยวิตกคือความตรึกนึกคิด ด้วยอำนาจของฉันทะคือความชอบใจบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง ก็ด้วยอำนาจของตัณหา และสัญโญชน์นี่เอง ตัณหา ก็คือความอยากหรือความดิ้นรนของใจ ที่จะออกไปในกามคุณารมณ์ทั้งหลายบ้าง ออกไปเป็นนั่นเป็นนี่บ้าง ออกไปไม่เป็นนั่นเป็นนี่บ้าง
และสัญโญชน์ก็คือความผูกใจ ความผูกใจในเมื่อๆ ตากับรูปประจวบกัน ก็จะเกิดสัญโญชน์คือความผูกใจขึ้นในรูป เมื่อหูกับเสียงประจวบกัน ก็จะเกิดสัญโญชน์คือความผูกใจขึ้นในเสียงที่ผ่านหู เมื่อจมูกกับกลิ่นประจวบกัน ก็จะเกิดความผูกใจขึ้นในกลิ่นที่ผ่านจมูก เมื่อลิ้นกับรสประจวบกัน ก็จะเกิดความผูกใจในรสที่ผ่านลิ้น เมื่อกายกับสิ่งที่กายถูกต้องถูกต้องประจวบกัน ก็จะเกิดความผูกใจในสิ่งถูกต้องที่ผ่านกาย เมื่อมโนคือใจกับธรรมะคือเรื่องราวประจวบกัน ก็จะเกิดความผูกใจ คือเป็นสัญโญชน์ขึ้นในเรื่องราวที่ผ่านใจ นี้เป็นตัวสัญโญชน์
เพราะฉะนั้น ตัณหาคือความอยาก หรือความดิ้นรนของใจไปดังกล่าว และสัญโญชน์คือความผูกใจนี้ จึงเป็นต้นเงื่อนอันสำคัญของวิตกคือความตรึก ตลอดถึงวิจารคือความตรอง ความตรึกความตรองทั้งหลายที่ให้วิ่งไปในโลก คือในอารมณ์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น เมื่อสามารถเป็นผู้ฉลาดในกระบวนการของวิตก ชำนาญในกระบวนการของวิตกดั่งนี้ จึงจะเป็นผู้สามารถที่จำนง จะตรึกเรื่องอันใด ก็จะตรึกเรื่องอันนั้น ไม่จำนงจะตรึกเรื่องอันใด ก็จะไม่ตรึกเรื่องอันนั้น สามารถจะหยุดได้ตามที่จำนงต้องการ
เพราะฉะนั้น จึงเป็นการปฏิบัติเป็นไปเพื่อตัด เพื่อละตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก เพื่อคลี่คลายสัญโญชน์คือความผูกใจ จากอารมณ์คือเรื่องทั้งหลายที่ผูกใจอยู่ ทำให้เป็นผู้สามารถทำทุกข์ให้สิ้นไปได้ เพราะตรัสรู้ คือรู้ถึงกระบวนการของวิตกเหล่านี้โดยชอบ
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป