แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
การปฏิบัติจิตตภาวนา คือการอบรมจิต อาศัยสติปัฏฐานทั้ง ๔ เป็นหลัก ดังที่ได้แสดงมาในปีทั้งหลายเป็นลำดับ เพราะว่าการปฏิบัตินั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่พึงทำสำเร็จ ให้บริบูรณ์ได้ในระยะเวลาปีเดียวสองปี สำหรับผู้ปฏิบัติที่เป็นสามัญชนทั่วไป แต่ต้องปฏิบัติกันสืบต่อเป็นเวลานาน เพราะฉะนั้น การฟังบ่อยๆ ก็เช่นเดียวกับการที่ต้องปฏิบัติซ้ำๆ อยู่บ่อยๆ เพื่อให้บังเกิดความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ฉะนั้น แม้จะมีการฟังและการปฏิบัติซ้ำกันอยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตรนี้เพียงพระสูตรเดียว แต่ก็เป็นประโยชน์ให้เกิดความพูนเพิ่ม เพิ่มพูนขึ้นโดยลำดับดังกล่าว
โดยปรกติจิตนี้ของทุกๆ คน ดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่าย รักษายากห้ามยาก แต่ก็สามารถอบรมจิตนี้ให้ตรงได้ คือให้สงบตั้งมั่น ด้วยอาศัยอุปการธรรม ๔ ประการ ซึ่งได้อธิบายมาแล้ว คือ อาตาปะ ความเพียรเผากิเลส สัมปชานะ ความรู้ตัวหรือความรู้พร้อม สติ ความระลึกกำหนด และ (วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ) การกำจัดความยินดีความยินร้ายในโลกเสีย เมื่อมีอุปการธรรมทั้ง ๔ นี้ จึงสามารถปฏิบัติทำจิตตภาวนาได้
สมาธิเพื่อความสงบ สมาธิเพื่อปัญญา
และจิตตภาวนา แม้ตามหลักสติปัฏฐานทั้ง ๔ นั้น ก็มีทั้งเพื่อสมาธิความตั้งมั่นแห่งจิต หรือสมถะความสงบ และทั้งเพื่อปัญญาความรู้แจ้งเห็นจริงในสัจจะธรรม ทั้งสองนี้เป็นจิตตภาวนา ซึ่งต้องมีศีลเป็นภาคพื้น และกรรมฐานที่ตั้งของการปฏิบัติเบื้องต้นก็เพื่อให้จิตเป็นสมาธินั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้เริ่มตั้งแต่สติกำหนดลมหายใจเข้าออก ดังที่ได้ตรัสสอนไว้ให้ไปสู่ป่า โคนไม้ หรือเรือนว่าง อันหมายถึงที่สงบสงัด นั่งขัดบัลลังก์คือขัดสะหมาดหรือขัดสมาธิ ตั้งกายตรง ดำรงสติอยู่จำเพาะหน้า หายใจเข้าก็ให้รู้ หายใจออกก็ให้รู้ หายใจเข้ายาวก็รู้ว่าเราหายใจเข้ายาว หายใจเข้าสั้นก็รู้ว่าเราหายใจเข้าสั้น หายใจออกสั้นก็รู้ว่าเราหายใจออกสั้น ศึกษาคือสำเหนียกกำหนดว่าเราจักรู้กายทั้งหมดหายใจเข้า ศึกษาคือสำเหนียกกำหนดว่าเราจักรู้กายทั้งหมดหายใจออก
รูปกาย นามกาย
ซึ่งคำว่ากายนี้มีสองอย่าง นามกายอย่างหนึ่ง รูปกายอย่างหนึ่ง กองแห่งนามคืออาการของจิตใจเป็นนามกาย กองของรูปคือรูปกายเป็นกองรูป รวมความว่ารู้ทั้งกายและใจ และพระอาจารย์ก็ยกอธิบายรวบรัดเข้ามาว่ากายคือกองลม กองลมหายใจเข้า กองลมหายใจออกทั้งหมด ก็เป็นการอธิบายเพื่อยกเอากองลมขึ้นมาเป็นที่ตั้ง ก็ใช้ได้
กำหนดดูกองลม
เพราะเมื่อกำหนดดูกองลม กายและใจก็ย่อมรวมกันอยู่ที่กองลมนี้ทั้งหมด และยังได้อธิบายแยกกองลมออกไปเป็นเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เมื่อหายใจเข้านั้นลมหายใจเข้าก็จะผ่านปลายจมูกหรือริมฝีปากเบื้องบนเข้าไป และผ่านทรวงอกเข้าไปถึงอุทรคือท้องที่มีอาการพองออก ให้กำหนดเป็น ๓ จุด คือปลายจมูกหรือริมฝีปากเบื้องบนจุดหนึ่ง อุระคือทรวงอกภายในจุดหนึ่ง นาภีคือท้องจุดหนึ่ง และเมื่อหายใจออกก็ให้กำหนดท้องที่ยุบเป็นจุดที่หนึ่ง แล้วก็มาอุระคือทรวงอก แล้วก็มาปลายจมูกหรือริมฝีปากเบื้องบน มีสติตามดูลมหายใจที่เข้าไปและที่ออกมาดั่งนี้ เรียกว่ารู้กายทั้งหมด
และเมื่อได้ปฏิบัติดังนี้บ่อยๆ จนจิตรวมเข้ามาอยู่ตัวดีขึ้น ก็ทิ้งเสีย ๒ จุด กำหนดไว้เพียงจุดเดียว ซึ่งพระอาจารย์ท่านหนึ่งก็สอนให้กำหนดที่ปลายจมูก หรือริมฝีปากเบื้องบน อาจารย์สำนักอื่นก็มีสอนต่างๆ กันออกไป เช่นให้กำหนดที่ท้อง หายใจเข้าก็พองออก หายใจออกก็ยุบลง เพราะว่าปรากฏได้ง่าย
แต่แม้ว่าจะกำหนดที่ปลายจมูกแต่เพียงจุดเดียวก็รู้ได้ง่ายเหมือนกัน เพราะหายใจเข้านั้นลมหายใจก็ต้องกระทบที่ปลายจมูก หรือริมฝีปากเบื้องบนเข้าไป หายใจออก หายใจลมหายใจก็ย่อมกระทบจุดนี้เหมือนกัน ลมหายใจเมื่อหายใจเข้านั้นจะเป็นลมหายใจเย็นตามปรกติ หายใจออกนั้นจะเป็นลมหายใจที่อบอุ่นหรือร้อนขึ้น เมื่อมีสติกำหนดดูอยู่ดั่งนี้ ใจก็ย่อมรวมเข้ามาเป็นจุดเดียวกันอยู่ในภายใน ก็ชื่อว่ารู้กายทั้งหมด
กายสังขาร เครื่องปรุงกาย
และเมื่อได้ศึกษาสำเหนียกกำหนดให้รู้กายทั้งหมดดั่งนี้แล้ว ต่อไปก็ตรัสสอนให้ ศึกษาคือสำเหนียกกำหนดว่าเราจักรำงับกายสังขารเครื่องปรุงกายหายใจเข้า ศึกษาว่าเราจะระงับกายสังขารคือเครื่องปรุงกายหายใจออก และเครื่องปรุงกายที่เรียกว่ากายสังขารนั้น ก็หมายถึงลมหายใจเข้าลมหายใจออก หรือการหายใจเข้าการหายใจออกนี้เอง
เพราะว่าลมหายใจหรือการหายใจนั้น เป็นเครื่องปรุงกายให้ดำรงอยู่ ดังที่คนเราต้องมีลมหายใจจึงดำรงอยู่ได้ และหมายถึงเจตนาคือความจงใจ หายใจเข้า หายใจออก เช่นต้องการจะให้ยาว ต้องการจะให้สั้น หรือว่าอาการต่างๆ ของกายที่ปรากฏเป็นความเมื่อยขบ หรือความระคายเคืองร่างกาย เช่นคันที่โน่นที่นี่ เป็นต้น ก็เป็นการปรุงกายอย่างหนึ่ง ซึ่งเนื่องมาจากต้องมีเหตุปัจจัย มาทำให้เป็นเช่นนั้น ปรากฏเป็นความปรุงคือเป็นนั่นเป็นนี่ขึ้นมา เพราะฉะนั้น ในการหายใจนั้นจึ่งไม่ยึดถือด้วยตัณหา หรือด้วยเจตนา แต่ปล่อยให้หายใจเข้าหายใจออกไปโดยปรกติ
เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วลมหายใจก็จะละเอียดเข้า และกายอันนี้ก็จะละเอียดเข้า ดังเช่นเมื่อหายใจเข้าหายใจออกโดยปรกติยังมิได้ปฏิบัติ ลมหายใจจะเข้าออกตลอดทางทั้ง ๓ จุด ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น คือตั้งแต่ปลายจมูก ผ่านอุระคือทรวงอก ไปถึงนาภีคือท้อง และก็จากนาภีคือท้อง ผ่านอุระมาถึงปลายจมูกหรือริมฝีปากเบื้องบน และอาการของร่างกายก็จะปรากฏ เช่นว่าท้องพองท้องยุบ หรือร่างกายที่ตรงขึ้นหรือว่าค้อมลง หรือว่าร่างกายเอียงไปข้างหน้าเอียงไปข้างหลัง ข้างซ้ายข้างขวา ซึ่งเรียกว่าเป็นความปรุงกายทั้งหมด
ลมละเอียด
ต่อเมื่อได้ตั้งสติกำหนดลมหายใจเข้าออกดังกล่าวมาโดยลำดับ ตั้งแต่หายใจเข้าออกยาวโดยปรกติ หรือว่าสั้นโดยปรกติ หรือว่าสั้นเข้าเพราะเหตุว่าจิตกำหนดที่ลมหายใจ จิตได้สมาธิในการกำหนดลมหายใจ ลมหายใจก็สั้นเข้าละเอียดเข้า เพราะว่าสั้นก็คือละเอียด ละเอียดก็คือสั้น รวมความรู้กายใจทั้งหมดเข้ามาอยู่ที่ลมหายใจไม่ให้ออกไปข้างไหน
ลมหายใจก็จะสั้นเข้าละเอียดเข้า อาการพองยุบของนาภีคือท้อง ที่พองยุบอยู่โดยปรกติเมื่อหายใจเข้าหายใจออกก็จะลดลง พองยุบน้อยเข้า จนถึงเมื่อหายใจละเอียดเข้า ร่างกายละเอียดเข้า สมาธิดีขึ้น ก็เหมือนอย่างหายใจจากอุระคือทรวงอก อาการพองยุบของท้องจะไม่ปรากฏ จากทรวงอกมาถึงปลายจมูก จากจมูกมาถึงกลางทรวงอก ไปไม่ถึงท้อง เพราะว่าท้องจะสงบ เพราะจิตละเอียด กายก็ละเอียด
จนถึงเมื่อได้สมาธิดีขึ้นอีก การหายใจก็รู้สึกเหมือนอย่างว่าหายใจอยู่แค่ปลายจมูก หรือริมฝีปากเบื้องบนเท่านั้น ไม่เข้าไปถึงอุระคือทรวงอก หรือออกจากอุระคือทรวงอก และเมื่อจิตละเอียดยิ่งขึ้น กายก็ละเอียดยิ่งขึ้น อาการปรุงแต่งกายจะไม่มี ก็เหมือนอย่างไม่หายใจ หรือว่าแผ่วๆ อยู่แค่ปลายจมูกเท่านั้น หรือว่าสงบไปทีเดียว เพราะว่าจิตละเอียดที่สุดด้วยสมาธิ กายก็ละเอียดที่สุด ปราศจากความปรุงแต่ง จึงเหมือนอย่างไม่หายใจ แต่ความจริงนั้นไม่ใช่ไม่หายใจ ยังคงหายใจอยู่นั่นเอง ปรากฏว่าบางคนเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วเกิดตกใจ เกรงว่าจะหยุดหายใจเป็นอันตรายแก่ชีวิต
จึ่งเลิกปฏิบัติออกจากสมาธิเพียงแค่นั้น แต่อันที่จริงไม่ใช่เป็นเรื่องที่ต้องกลัว ก็เป็นธรรมดา เมื่อการปรุงแต่งกายที่เรียกว่ากายสังขารนี้สงบลง โดยที่จิตสงบ กำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างสงบ กายก็สงบ และเมื่อกายสงบ ลมหายใจเองก็สงบ จึงเป็นจิตละเอียดที่สุด กายสงบละเอียดที่สุด ก็เหมือนอย่างไม่หายใจ แต่ความจริงนั้นลมหายใจก็ผ่านเข้าผ่านออกอยู่โดยปรกติ โดยที่ร่างกายไม่มีอาการเยื้องกรายอย่างใดอย่างหนึ่ง และเมื่อถึงขั้นนี้แล้วความเมื่อยขบต่างๆ ความคันโน่นคันนี่ต่างๆ เป็นต้น ก็จะไม่มี จะหายไปหมด ในขณะที่จิตสงบจากการปรุงแต่ง กายก็สงบจากการปรุงแต่ง
เมื่อจิตเป็นสมาธิ
แม้ในขณะเช่นนี้ก็ให้กำหนดว่าลมหายใจยังมีอยู่ โดยที่ร่างกายไม่ต้องเคลื่อนไหว ยังมีลมหายใจเป็นอารมณ์ของสมาธิอยู่ จิตยังไม่ถอนจากความกำหนดลมหายใจเข้าออก เป็นแต่เพียงว่าสงบอยู่ในภายใน กำหนดรู้ว่าลมมีอยู่ แต่เป็นลมละเอียด จนถึงไม่ปรากฏว่าเข้าหรือออก แต่ว่าลมมีอยู่ เมื่อเป็นดังนี้ก็ชื่อว่าจิตเป็นสมาธิ
จิตที่เป็นสมาธินี้ต้องมีลักษณะรู้ รู้สงบอยู่ภายใน ไม่รู้ฟุ้งออกไปรับอารมณ์ภายนอก รู้สงบอยู่ภายใน มีตัวสติคือตัวกำหนด กำหนดรู้ รู้นั้นเป็นสัมปชัญญะ กำหนดเป็นตัวสติ รู้เป็นสัมปชัญญะ แต่เรียกรวมกันเป็นสติคำเดียวโดยมากว่ากำหนดรู้ และอาการที่จิตตั้งอยู่กับความกำหนดรู้ จิตไม่ฟุ้งออกไปภายนอกนั่นเป็นตัวสมาธิ
( เริ่ม) สมาธิและสตินี้ต้องอาศัยอยู่ด้วยกัน ไม่แยกจากกัน ก็เพราะว่าจิตจะกำหนดเป็นตัวสติอยู่ได้ ก็ต้องมีสมาธิคือจิตต้องตั้งอยู่ ถ้าจิตไม่ตั้งอยู่สติก็กำหนดไม่ได้ เพราะฉะนั้นสติจึงต้องมีสมาธิ อีกอย่างหนึ่งสมาธิก็ต้องมีสติ คือเพราะเหตุว่ามีสติกำหนดอยู่ จิตจึงตั้งอยู่กับความกำหนดนั้นได้ ถ้าไม่มีสติกำหนดอยู่ จิตก็ไม่มีที่ตั้ง เพราะว่าสตินั้นสร้างที่ตั้งให้แก่สมาธิ สมาธิอาศัยสติกำหนด จึงตั้งอยู่ได้ ก็เป็นอันว่าทั้งสติและทั้งสมาธินี้ต้องอยู่ด้วยกัน แยกกันไม่ได้
บริกรรมภาวนา อุปจาระภาวนา อัปปนาภาวนา
การปฏิบัติดั่งนี้ เมื่อว่าถึงเป็นวิธีภาวนา คือการอบรมจิตหรือจิตตภาวนาดังที่เรียกนั้น ก็มีแสดงไว้ว่าในขณะที่ทำสติกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกดั่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เรียกว่า บริกัมมภาวนา คือเป็นภาวนา การปฏิบัติอบรมในขั้นบริกรรม คือขั้นที่เริ่มกระทำ จิตยังไม่รวมอยู่โดยมาก จิตมักจะออกไปก็ต้องกลับเข้ามา และเมื่อจิตเริ่มรวมตัวเข้ามา สติกำหนดลมหายใจเข้าออกเข้มแข็งขึ้น จิตก็ตั้งมั่นขึ้น แต่ยังไม่แน่น ยังไม่ลึก ยังไม่มั่นคง ยังคลอนแคลน
แต่ก็ดีกว่าในตอนแรก และใกล้ที่จะแนบแน่นตั้งมั่น การปฏิบัติในขั้นนี้ก็เรียกว่า อุปจารภาวนา คือภาวนาที่ทำสมาธิใกล้จะตั้งมั่นแนบแน่น และเมื่อได้ถึงขั้นนี้แล้วก็แปลว่าจิตเริ่มได้สมาธิขึ้น เมื่อจิตเริ่มได้สมาธิขึ้น สมาธิก็จะดีขึ้นในเมื่อได้กระทำต่อไปบ่อยๆ และเสมอๆ จนถึงแนบแน่นตั้งมั่นอยู่ได้ ก็เป็นอันว่าเข้าเขตของอัปปนาสมาธิ การปฏิบัติก็เป็น อัปปนาภาวนา คือการปฏิบัติในขั้นอัปปนา จิตตั้งมั่นแนบแน่นขึ้น
เพราะฉะนั้นในขั้นของการปฏิบัติจึงมี ๓ ดังนี้ บริกรรมภาวนา อุปจารภาวนา และอัปปนาภาวนา การที่จิตปฏิบัติเป็นจิตตภาวนาดั่งนี้ได้ ก็ต้องอาศัยการที่มีความเพียรเผากิเลสเป็นต้น อันเป็นอุปการธรรมทั้ง ๔ ประการดังที่กล่าวมาแล้ว
ต่อจากนี้ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป