แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
จะแสดงพรหมวิหารธรรม หรืออัปปมัญญาทั้ง ๔ ทบทวนในทางปฏิบัติ ในพระบาลีมีสอนให้แผ่โดยเจาะจงและโดยไม่เจาะจง ซึ่งพรหมวิหารธรรมทั้ง ๔ ประการ และได้มีระบุสัตว์บุคคลที่คิดแผ่ใจออกไปถึงโดยเจาะจง แต่ว่าโดยเจาะจงนั้นที่ยกเป็นคำสอนแนะไว้ในพระบาลีนั้นยกเป็นหมวดหมู่ แต่เป็นหมวดหมู่ที่เจาะจงจำเพาะหมู่ใดหมู่หนึ่ง คือมีแสดงแนะไว้สำหรับปฏิบัติตั้งใจแผ่ออกไปโดยเจาะจงเป็น ๗ จำพวก คือ สัพพา อิตถิโย สตรีทั้งปวง สัพเพ ปุริสา บุรุษทั้งปวง สัพเพ อริยา อริยะบุคคลทั้งปวงสัพเพ อนริยาบุคคล ผู้มิใช่อริยะคือยังเป็นบุถุชนอยู่ทั้งปวง สัพเพ เทวา เทพทั้งปวง สัพเพ มนุสสา มนุษย์ทั้งปวง สัพเพ วินิปาตา สัตว์ที่เรียกว่าวินิบาต คือพวกที่ตกต่ำ อันหมายถึงสัตว์ที่เกิดในอบาย หรืออบายภูมิทั้งปวง คือสัตว์เดรัจฉาน นรก เปรต อสุรกาย ต่างๆ รวมเป็น ๗ จำพวก
ส่วนที่แสดงแนะไว้สำหรับแผ่จิตออกไปโดยไม่เจาะจง ก็เป็น ๕ คือ สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งปวง สัพเพ ปาณา สัตว์ที่มีปราณมีหายใจคือมีชีวิตทั้งปวง สัพเพ ภูตา ภูตะคือผู้ที่เกิดในภพชาตินั้นๆ ทั้งปวง สัพเพ ปุคคลา บุคคลทั้งปวง สัพเพ อัตตภาวะปริยาปันนา สัตว์โลกที่นับเนื่องในอัตภาพทั้งปวง
และก็มีแสดงสอนไว้ให้แผ่ไปในทิศทั้ง ๑๐ ตลอดโลกทั้งสิ้นในที่ทั้งปวง ซึ่งทิศทั้ง ๑๐ นั้นก็คือ ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องซ้าย ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง หรือจะล่างก่อน ก็ทิศเบื้องล่างทิศเบื้องบน ก็รวมเป็น ๖ ทิศ และทิศเบื้องขวางโดยรอบ คือว่าทิศน้อยทั้ง ๔ ที่แทรกอยู่ในระหว่างทิศใหญ่ทั้ง ๔ นั้น คือทิศน้อยของทิศเบื้องหน้า ทิศน้อยของทิศเบื้องหลัง ทิศน้อยของทิศเบื้องซ้าย ทิศน้อยของทิศเบื้องขวา หรือจะเรียงเป็น ๘ ทิศ อย่างที่เราใช้กัน ก็คือทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ก็รวมเป็น ๘ ทิศ สำหรับทิศใหญ่กับทิศน้อย รวมทิศเบื้องบนเบื้องล่างก็เป็น ๑๐ ทิศ
และในการปฏิบัติแผ่จิตนี้ที่ตรัสสอนไว้ดั่งนี้ มุ่งถึงเป็นการแผ่จิตออกไปโดยไม่มีประมาณ อันเรียกว่าอัปปมัญญาคือโดยไม่เจาะจง แต่คำว่าไม่เจาะจงในพรหมวิหารนั้นอาจจะมีความหมายว่าไม่เจาะจงใคร แต่ว่ายังไม่มีกำหนดว่าให้แผ่ไปทั้ง ๑๐ ทิศ อาจจะไม่เจาะจงไปในทิศใดทิศหนึ่ง หรือในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็ได้ ส่วนที่เป็นอัปปมัญญาคือไม่มีประมาณนั้นก็แผ่โดยไม่เจาะจง แต่ว่าแผ่ไปถ้วนทั้ง ๑๐ ทิศ ตลอดโลกทั้งสิ้น ในที่ทุกแห่ง โดยที่มีจิตเสมอกันทั้งหมด หรือว่าโดยที่เป็นมหาตมะหรือมหาตมัน คือตนของตนนี้เหมือนอย่างว่าเป็นที่รวมของสัตว์โลกทั้งหมด เหมือนเป็นตนเดียวกัน สม่ำเสมอกัน เป็นอัปปมัญญา เป็นเมตตา เป็นกรุณา เป็นมุทิตา เป็นอุเบกขา ไม่มีภัยไม่มีเวร ไม่มีทุกข์ มีสุขรักษาตนสวัสดี ทั่วถ้วนกันทั้งหมด
จิตใจดั่งนี้ จึงเป็นจิตใจที่เรียกว่ามหัคตะ ที่แปลว่า ขยายออกไปใหญ่ เป็นใจที่ใหญ่ครอบโลกด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จึงเหมือนอย่างว่ามีตัวขยายออกไปใหญ่ครอบโลก เป็นอัตตาใหญ่ มีใจที่ใหญ่ด้วยเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาเสมอกันหมดทั่วทั้งโลก ดั่งนี้เป็นอัปปมัญญา
อัปปมัญญาปฏิบัติในโพชฌงค์
และในการปฏิบัติที่ตรัสสอนไว้นี้ ในเบื้องต้นก็ต้องอาศัยสตินี่แหละเป็นข้อสำคัญ คือความระลึกนึกคิดปรุงใจแผ่ออกไป เป็นเมตตา เป็นกรุณา เป็นมุทิตา เป็นอุเบกขา ดังกล่าว เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนให้ปฏิบัติทางโพชฌงค์ทั้ง ๗
โพชฌงค์ คือ องค์แห่งความตรัสรู้ ตรัสสอนให้อบรมสติสัมโพชฌงค์ ประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ธัมวิจยสัมโพชฌงค์ ประกอบด้วยเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา วิริยะสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ทุกข้อ ไปโดยลำดับ ฉะนั้น เมื่อปฏิบัติอาศัยโพชฌงค์ดั่งนี้ ก็เป็นอันได้ปฏิบัติในหมวดโพชฌงค์ด้วย ในหมวดพรหมวิหารธรรมหรืออัปปมัญญาด้วย เป็นพรหมวิหารด้วย เป็นอัปปมัญญาด้วย เป็นโพชฌงค์ด้วย ไปพร้อมกัน
คือจะต้องมีสติกำหนดใจระลึกถึงสัตว์บุคคลนั้นๆ ที่จะแผ่ออกไปถึง และต้องปรุงความคิดระลึก ระลึกนึกคิดว่าให้มีความสุข ให้พ้นจากทุกข์ อย่าให้พลัดพรากจากสมบัติที่ได้แล้ว และทั้งหมดก็มีกรรมเป็นของๆ ตน นี้เป็นสติทั้งนั้น จะต้องมีสติที่กำหนดนึก ปรุงคิดให้เป็นเมตตา เป็นกรุณา เป็นมุทิตาอุเบกขา แผ่ออกไป ดั่งนี้ก็เป็นอันปฏิบัติในสติสัมโพชฌงค์ และก็ต้องคอยมีธรรมวิจัย คือความเลือกเฟ้นธรรมะในใจของตัวเอง ว่าอารมณ์ความคิดที่ผุดขึ้นในใจของตนเองนั้น ถูกหรือผิด เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล มีคุณหรือมีโทษ
อารมณ์แทรกในการปฏิบัติธรรม
เพราะว่าวาระจิตของผู้ปฏิบัติธรรมะนั้นย่อมมีอารมณ์แทรก และก็มีภาวะจิตที่เป็นกิเลสแทรกอยู่มากบ้างน้อยบ้าง เสมอบ้างๆ ไม่เสมอบ้าง ในการปฏิบัติทีแรกนั้นสติที่กำหนดปฏิบัติ เป็นสติที่เป็นเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา สตินี้ก็มักจะเผลอ จะมีอารมณ์และกิเลสแทรกเข้ามาเกิดอยู่เนืองนิจ ต้องมีสติที่ระลึกได้แล้วก็นำจิตกลับเข้ามาใหม่ นี้ต้องอาศัยธัมวิจยสัมโพชฌงค์ คือต้องคอยเลือกเฟ้นธรรม ต้องจับอารมณ์ของจิตวาระของจิตให้ทันท่วงที ว่านี่เป็นอารมณ์แทรก เป็นกิเลสแทรก เพื่อดับเสีย แล้วก็นำจิตกลับเข้ามาสู่กระแสของเมตตาเป็นต้นใหม่ จึงต้องมีธรรมวิจัยเลือกเฟ้นธรรม คือความรู้นี่เอง รู้สิ่งที่ผุดขึ้นในจิตใจทันที รู้ว่าถูกหรือผิด เป็นเมตตา หรือว่าเป็นกิเลสไปแล้ว ต้องแยกให้รู้ได้ทันที แล้วจึงมาถึงวิริยะสัมโพชฌงค์ความเพียร เมื่อเป็นส่วนที่เป็นอารมณ์แทรกเป็นกิเลสแทรก ก็ต้องเพียรละไปเสีย ด้วยความรู้นี่แหละ เมื่อเป็นเมตตาที่บริสุทธิ์เป็นต้นอยู่ ก็พอกพูนต่อไป
(เริ่ม) และเมื่อเป็นดั่งนี้ก็จะรักษาสติ และวาระของจิต อารมณ์ของจิต ที่เป็นเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาเอาไว้ได้มาก จิตก็บริสุทธิ์ผ่องใสขึ้น จึงบังเกิดปีติความดูดดื่มใจ เพราะว่าจิตที่ไม่บริสุทธิ์ ยังมีเมตตาเป็นต้น ไม่เข้าไปตั้งอยู่มั่นคงนั้น ยังเป็นจิตที่เร่าร้อนอยู่ด้วยอารมณ์และกิเลสต่างๆ แต่เมื่อมีธรรมวิจัย และก็ละออกไปได้ ก็เหลือแต่จิตที่สัมปยุตด้วยเมตตา อันประกอบด้วยสติและอารมณ์ของสติคือเมตตานั้นอยู่มาก จิตที่เคยเศร้าหมองกระสับกระส่าย ก็จะหายเศร้าหมอง หายกระสับกระส่าย และจิตที่กระสับกระส่ายหรือเศร้าหมองนั้นก็คือเป็นจิตที่กระหายนั่นเอง กระหายอารมณ์ กระหายกิเลส
ครั้นเมื่อได้มีเมตตาซึมซาบเข้าไปสู่จิตมากขึ้น กรุณามุทิตาอุเบกขาก็เช่นเดียวกัน จิตก็ดื่มเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา เข้าไปแทนที่อารมณ์และกิเลส ที่ทำให้กระหาย ให้เศร้าหมอง ให้ทุรนทุราย จึงบังเกิดความอิ่มเอิบ เหมือนอย่างกระหายน้ำได้ดื่มน้ำที่ใสบริสุทธิ์เย็น ก็อิ่มเอิบร่างกาย จิตใจที่ดื่มเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาเข้าไป ก็ได้ความอิ่มเอิบก็เป็นปีติ ก็เป็นปีติสัมโพชฌงค์
เมื่อได้ปีติดั่งนี้แล้ว ปัสสัทธิคือความสงบกายสงบใจก็มาได้ง่าย สมาธิคือความตั้งใจมั่นอยู่ใน เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา สถิตอยู่ในจิตใจได้มั่นคงขึ้น ก็เป็นสมาธิ และเมื่อเป็นสมาธิดั่งนี้ อุเบกขาคือความที่เพ่งพินิจอยู่กับสมาธิจิตนั้น อันทำให้มีความสงบยิ่งขึ้น ไม่ยึดถืออะไรๆ อื่น นอกจากเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา ที่ปรากฏขึ้น และไม่วุ่นวาย มีลักษณะที่เพ่งดูสมาธิจิตนั้นสงบเฉยอยู่ สมาธิก็ตั้งมั่นยิ่งขึ้น ดั่งนี้ก็เป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์
สุภกรรมฐาน อสุภกรรมฐาน
และเมื่อเป็นดั่งนี้แล้ว สมาธิและอุเบกขาดังกล่าวนี้ก็เลื่อนขึ้น จนถึงที่สุดของพรหมวิหารทั้ง ๔ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คือเมตตานั้นก็ให้ถึงรูปฌานชั้นสูง แต่ว่าเป็นรูปที่ประกอบด้วยความงามอันบริสุทธิ์ เรียกว่าเป็น สุภกรรมฐาน ที่ให้ถึงฌานที่ ๔ คือเป็นรูป เป็นรูปที่งามบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นข้อนี้เองจึงที่ท่านแสดงว่า ในพระพุทธศาสนานั้นมีทั้ง อสุภกรรมฐาน มีทั้ง สุภกรรมฐาน และสุภกรรมฐานนั้นก็คือเมตตานี้เอง กรุณาก็ให้ไปอากาสานัญจายตนะ มุทิตาก็ให้ไปถึงวิญญาณัญจายตนะ อุเบกขาก็ให้ไปถึงน้อยหนึ่งนิดหนึ่งก็ไม่มี ที่เรียกว่าอากิญจัญญายตนะ ดังที่ได้แสดงแล้ว
การหัดปฏิบัติไปโดยลำดับ
แต่ว่าในเบื้องต้นนั้น การปฏิบัติก็ต้องหัดปฏิบัติไปโดยลำดับตั้งแต่เบื้องต้น เหมือนอย่างการขึ้นบันไดต้องขึ้นตั้งแต่ขั้นแรกดังที่ได้แสดงแล้ว และเมื่อธรรมะได้ดำเนินติดต่อกันไปแล้ว การที่จะขึ้นชั้นสูงขึ้นไปโดยลำดับก็ไม่ยาก แต่ว่าการปฏิบัติโดยมากนั้น มักจะปฏิบัติกันในขั้นต้น ขึ้นไปได้ขั้นสองขั้นสามขั้นของบันได แล้วก็ลงมาคือเสื่อม แล้วขึ้นไปใหม่ได้หน่อยหนึ่ง ก็เสื่อมอีก เรียกว่าล้มๆ ลุกๆ กันอยู่ตั้งแต่ในขั้นบันไดสามสี่ขั้นข้างต้น การปฏิบัติจึงไม่ก้าวหน้าไปมาก
แต่หากว่าถ้าได้ปฏิบัติติดต่อทำให้มากสม่ำเสมอไปแล้ว ธรรมะก็จะดำเนินเข้ามาสู่จิตเอง และจิตนี้ก็จะเลื่อนภาวะขึ้นไปเอง โดยไม่มีการเหน็ดเหนื่อย ขึ้นไปอย่างเป็นสุข เรียกว่ามีปีติมีความสงบกายสงบใจเป็นสุข แล้วก็เป็นสมาธิ เป็นอุเบกขา ตามแนวโพชฌงค์นั้น
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป