แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
จะแสดงอุเบกขาพรหมวิหารอันเป็นข้อที่ ๔ อุเบกขา นี้แปลกันว่า ความวางเฉย และท่านผู้แปลได้มีอธิบายต่อท้ายว่า ไม่ยินดีไม่ยินร้ายในเวลาที่ผู้อื่นถึงความวิบัติ ดั่งนี้ก็มี และคำว่าความวางเฉยนี้มี ๒ อย่าง คือวางเฉยที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เป็นความวางเฉยที่มีอยู่แก่ทุกๆ คน แม้ไม่ปฏิบัติธรรมก็มีอยู่ ดังเช่นอุเบกขาเวทนา ทุกคนย่อมมีเวทนาคือความรู้เป็นสุขบ้าง รู้เป็นทุกข์บ้าง รู้เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง ที่เรียกตามศัพท์ภาษาบาลีว่า สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา นี้เป็นธรรมดาของเวทนาในขันธ์ ๕ ที่ทุกๆ คนมีอยู่ และในข้อ ๓ อทุกขมสุขเวทนา เวทนาที่ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข เรียกว่าอุเบกขาเวทนาก็ได้ มีความทำนองว่าเวทนาที่เป็นกลางๆ ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข
ทุกๆ คนนั้นก็ย่อมจะต้องมีเวทนาทั้ง ๓ นี้อยู่ด้วยกัน ในเวลาที่ทุกคนประสบอารมณ์ คือเรื่องที่เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางมนะคือใจ คือตาเห็นรูปอะไร หูได้ยินเสียงอะไร จมูกได้ทราบกลิ่นอะไร ลิ้นได้ทราบรสอะไร กายได้ทราบสิ่งถูกต้องอะไร และมโนคือใจได้รู้ได้คิดเรื่องอะไร ก็บังเกิดเป็นวิญญาณ ซึ่งเป็นความรู้อย่างหนึ่ง คือว่าเห็น ได้ยิน ที่เราเรียกกัน อันที่จริงก็เป็นความรู้อย่างหนึ่งๆ รู้ที่สำเร็จเป็นการเห็น รู้ที่สำเร็จเป็นการได้ยิน ต่อไปก็รู้ที่สำเร็จเป็นการทราบกลิ่น ทราบรส ทราบสิ่งถูกต้อง และรู้ที่สำเร็จเป็นความรู้คิดเรื่อง ดั่งนี้เป็นวิญญาณ ก็คือการเห็น การได้ยิน การได้ทราบ การได้คิด การได้รู้ สิ่งที่ประสบเหล่านั้น
และเมื่อเป็นวิญญาณขึ้นดั่งนี้ ก็เป็นผัสสะคือกระทบถึงจิต ซึ่งในขันธ์ ๕ มิได้แสดงเอาไว้ ในขันธ์ ๕ นั้นแสดงต่อเป็นเวทนาทีเดียว เมื่อเป็นผัสสะก็กระทบถึงจิต ก็บังเกิดเป็นเวทนา คือเป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข หรือเป็นอุเบกขาดังกล่าว ซึ่งแม้สุขทุกข์หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขนี้ ก็เป็นความรู้อีกนั่นแหละ แต่เป็นความรู้ที่ปรากฏให้รู้เป็นสุข รู้เป็นทุกข์ ให้รู้เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข
เวทนาเป็นที่ตั้งแห่งราคะโทสะโมหะ
อันเวทนาที่เป็นสุขเวทนานั้น ย่อมเป็นที่ตั้งแห่งความยินดี ทำให้เกิดราคะความติดใจยินดี ทุกขเวทนา เวทนาที่เป็นทุกข์ย่อมเป็นที่ตั้งแห่งปฏิฆะกระทบกระทั่งโกรธแค้นขัดเคือง ส่วนข้อที่ ๓ เวทนาที่ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช้สุข หรืออุเบกขาเวทนานั้นย่อมเป็นที่ตั้งแห่งโมหะ คือความหลง อันหมายความว่ามิได้พิจารณาให้รู้จักปล่อยให้เลยไป คือแปลว่าไม่สนใจ และเมื่อไม่สนใจก็ทำให้ไม่รู้จักเวทนาที่เป็นกลางๆ นี้ มีเหมือนอย่างว่าไม่มี คล้ายกับว่าทุกคนหายใจเข้าหายใจออกอยู่โดยปรกติ แต่ว่าเมื่อไม่กำหนดจิตอยู่ที่ลมหายใจ ก็ย่อมไม่รู้ว่าหายใจ แม้จะหายใจอยู่ก็เหมือนอย่างว่าไม่หายใจ ไม่รู้ว่าหายใจ เพราะว่าไม่ได้สนใจถึง แต่ความจริงหายใจอยู่
การปฏิบัติให้รู้จักเวทนาทั้ง ๓
เพราะฉะนั้น จึงไม่รู้จักเวทนาที่เป็นกลางๆ นี้ แม้จะมีอยู่ๆ เป็นระยะๆ ก็ไม่สนใจ ไม่รู้จักเวทนานี้ อันนี้แหละคือโมหะคือความหลง เป็นที่ตั้งแห่งความหลงก็คือว่าไม่รู้จัก มักจะรู้จักแต่เวทนาที่ให้เป็นสุขให้เป็นทุกข์ ที่ให้ชอบให้ชัง ในทางปฏิบัติพิจารณาขันธ์ ๕ นั้น ก็ต้องการที่จะให้รู้จักเวทนาทั้ง ๓ นี้ ของตนเองที่บังเกิดขึ้น สุขก็ให้รู้จัก ทุกข์ก็ให้รู้จัก เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขก็ให้รู้จัก คือใจจะต้องกำหนดเหมือนอย่างลมหายใจที่ยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างนั้น ต้องกำหนดจึงจะรู้ว่าเราหายใจเข้าเราหายใจออกอยู่
สัจจะความจริงคือเกิดดับ
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีอยู่สิ่งที่เป็นไปอยู่เป็นอันมาก เมื่อไม่มีสติที่จะกำหนด ก็ไม่รู้จักว่ามีอยู่เป็นไปอยู่ เมื่อเป็นดั่งนี้ก็เป็นความหลง เพราะไม่รู้จัก ต่อเมื่อมากำหนดให้รู้จักในสิ่งที่มีอยู่ที่เป็นไปอยู่ ก็ย่อมจะเห็นสัจจะ คือความจริงของสิ่งนั้น คือเกิดดับ เหมือนอย่างเมื่อกำหนดลมหายใจเข้าออก ก็ย่อมจะรู้จักว่าลมหายใจที่เข้าออกนี้เป็นสิ่งที่เกิดดับๆ เกิดดับอย่างหยาบ ก็คือหายใจเข้าเกิด หายใจออกก็ดับ เป็นไปอยู่ดั่งนี้
แม้เวทนาก็เหมือนกัน เมื่อกำหนดให้รู้จักก็ย่อมจะมองเห็นความเกิดดับของเวทนาทุกอย่าง แต่ว่าก่อนที่จะเห็นเกิดดับนั้น จะต้องรู้จักหน้าตาของเวทนานั้นๆ ก่อน ทุกๆ สิ่งก็เหมือนกัน ที่จะเห็นเกิดดับได้นั้นก็ต้องเห็นหน้าของสิ่งนั้นๆ ก่อน จึงจะเห็นเกิดดับของสิ่งนั้นๆ ได้
เกิดดับของนาฬิกา
เหมือนอย่างดูนาฬิกา ก็ต้องมองเห็นหน้าปัดนาฬิกา จะต้องมองเห็นเข็มสั้นเข็มยาว จึงจะมองเห็นว่านาฬิกานั้นเคลื่อนที่ไปอยู่เสมอ คือเข็มสั้นเข็มยาวนั้นเคลื่อนไปอยู่เสมอ ที่เรียกว่านาฬิกาเดิน ถ้าหากว่าไม่ดูหน้าปัดไม่เห็นหน้าปัด ก็ไม่มองเห็นเข็มสั้นเข็มยาวของนาฬิกาที่เคลื่อนไปๆ นั่นก็คือเกิดดับของนาฬิกานั้นเอง แต่เป็นเกิดดับที่มีสันตติคือความสืบต่อ ต่อเนื่องกันไป
ความมุ่งหมายของอุเบกขาพรหมวิหาร
อุเบกขาที่เป็นอุเบกขาเวทนาดังกล่าว ที่ทุกคนมีอยู่เป็นประจำ เมื่อไม่กำหนดให้รู้จัก ก็เป็นอุเบกขาที่เรียกว่าไม่ประกอบด้วยปัญญา เป็นอุเบกขาที่เป็นไปตามธรรมชาติธรรมดา ส่วนอุเบกขาที่เป็นพรหมวิหารนี้ ถ้าจะแปลว่าความวางเฉย ก็เป็นความวางเฉยที่ประกอบด้วยปัญญา
และก็ควรจะทราบว่าความมุ่งหมายของอุเบกขาในพรหมวิหารนี้ มุ่งถึงอุเบกขาในสัตว์บุคคล มีสัตว์บุคคลเป็นอารมณ์ เช่นเดียวกับเมตตากรุณามุทิตา ก็เป็นไปในสัตว์บุคคล มีสัตว์บุคคลเป็นอารมณ์ อุเบกขาก็เช่นเดียวกัน คือเป็นอุเบกขาในสัตว์บุคคลนั้นๆ
(เริ่ม) และอาการที่เป็นอุเบกขาที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเอาไว้ ให้เจริญอุเบกขาพรหมวิหาร ก็คือให้พิจารณาว่า สัตว์บุคคลนั้นๆ โดยเจาะจง หรือว่าสัตว์บุคคลทั้งปวงโดยไม่เจาะจง กัมมัสสกา เป็นผู้มีกรรมเป็นของๆ ตน กัมมะทายาทา เป็นทายาทรับผลของกรรม กัมมะโยนิ มีกรรมเป็นกำเนิด กัมมะพันธุ มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กมฺมปฏิสรโณ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ยํ กมฺมํ กริสฺสามิ จักกระทำกรรมอันใดไว้ กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา ดีหรือชั่ว ตสฺส ทายาโท ภวิสฺสามีติ จักเป็นทายาทรับผลของกรรมนั้น ดั่งนี้
ข้อพิจารณาปลงลงในกรรม
คือให้พิจารณาปลงใจลงไปในกรรม โดยพิจารณาถึงสัตว์บุคคลนั้นๆ โดยเจาะจง หรือถึงสัตว์ทั้งปวงบุคคลทั้งปวงโดยไม่เจาะจง ปลงลงไปในกรรมดังกล่าว เช่นว่า เมื่อแผ่ใจออกไปด้วยอุเบกขาในบุคคลใดในบุคคลหนึ่งโดยเจาะจง ก็พิจารณาว่าเขาผู้นั้นเป็นผู้มีกรรมเป็นของๆ ตน เป็นทายาทรับผลของกรรม ดั่งที่กล่าวมา ถ้าแผ่ไปด้วยอุเบกขาโดยไม่เจาะจง ก็แผ่ใจออกไปว่าสัตว์บุคคลทั้งปวง เป็นผู้มีกรรมเป็นของๆ ตน เป็นทายาทรับผลของกรรม ดังกล่าว และก็แผ่ถึงตนเองด้วยว่า ตนเองก็เช่นเดียวกันมีกรรมเป็นของๆ ตน เป็นทายาทรับผลของกรรมดังกล่าว ตนเองฉันใด สัตว์บุคคลอื่นก็ฉันนั้น สัตว์บุคคลอื่นฉันใด ตนเองก็ฉันนั้น
เมื่อแผ่ใจถึงสัตว์บุคคลนั้นๆ โดยเจาะจง หรือทั้งหมดโดยไม่เจาะจง ดั่งนี้ จิตก็จะปลงลงได้ในกรรม เมื่อปลงลงได้ในกรรมดั่งนี้ ก็แปลว่าจิตวางได้ วางลงไปในกรรมได้ อันนี้คือวาง เมื่อวางลงไปในกรรมได้แล้ว ก็ย่อมจะวางความชอบหรือความชัง ในสัตว์บุคคลนั้นๆ ลงได้ด้วย ในสัตว์ทั้งปวงได้ด้วย
เพราะว่าจะชอบก็ตาม จะชังก็ตาม ทุกคนก็ต้องมีกรรมเป็นของๆ ตน เป็นทายาทรับผลของกรรมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ความชอบความชังนั้นจึงทำอะไรไม่ได้ จะชอบและคิดเพื่อให้เขาเจริญสักเท่าไร เขาก็เจริญไปได้ตามกรรมที่เขาทำ หรือว่าจะชังคิดจะทำลายเขาสักเท่าไหร่ เขาก็จะต้องเป็นไปตามกรรมของเขาเอง เมื่อกรรมเขาดี เขาก็จะต้องดีทำลายเขาไม่ได้ เมื่อกรรมเขาไม่ดี เขาก็ต้องไม่ดี จะส่งเสริมอย่างไรก็ไม่ได้
เครื่องดับความชอบความชัง
เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดปัญญาศรัทธาเชื่อลงไปในกรรม เห็นกรรม ปลงใจลงไปได้ดั่งนี้ จึงเป็นเครื่องดับความชอบความชังได้ และเมื่อวางลงไปได้ดั่งนี้ คือวางใจลงไปในกรรมได้ วางความชอบความชังลงไปในใครๆ ได้ และแม้ในตนเอง ซึ่งปรกตินั้นตนเองก็ชอบตนเองอยู่แล้ว รักตนเองอยู่แล้ว ไม่ชังตนเอง แต่เมื่อปลงใจลงไปในกรรมได้ ว่าตนเองนั้นเมื่อทำกรรมดีก็ย่อมดีตามกรรม เมื่อทำกรรมชั่วก็ย่อมชั่วตามกรรม จะให้ยิ่งหรือหย่อนไปกว่ากรรมที่ทำนั้นก็ไม่ได้ ก็ทำให้ปลงใจลงไปในตัวเองได้ วางความชอบความชังในตัวเองลงได้
และเมื่อวางลงได้ดั่งนี้ก็ย่อมจะเกิดความเฉย อันหมายความว่าไม่ขวนขวายที่จะทำให้ผิดไปจากกรรม ให้เป็นไปตามกรรม โดยที่ตนเองไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่น ให้เป็นไปตามกรรม และความที่เฉยดั่งนี้ไม่ใช่หมายความว่า เฉยจากความไม่ขวนขวายที่จะทำอะไร ที่ควรจะทำต่างๆ เมื่อควรที่จะไปไหน จะทำอะไร จะอยู่ที่ไหนก็ไป ก็ทำ ก็อยู่ ควรที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนก็ปฏิบัติ ไม่หวั่นไหวต่อความยินดีความยินร้าย ความหลงความกลัวต่างๆ คือเฉยต่อความยินดี เฉยต่อความยินร้าย เฉยต่อความหลง เฉยต่อความกลัว ต่างๆ ไม่ให้ความยินดีความยินร้าย ความหลง ความกลัว เข้ามาขัดขวางต่อการที่จะกระทำ ตามที่ควรจะกระทำ และก็กระทำให้สมควร เช่นควรที่จะเมตตา ก็เมตตา แผ่ความรักดีปรารถนาดีไปแก่บุคคลนั้นๆ โดยเจาะจง หรือแก่สัตว์บุคคลทั่วไปโดยไม่เจาะจง แผ่กรุณาความคิดสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ไปเช่นเดียวกัน
แผ่มุทิตาความพลอยยินดีไปเช่นเดียวกัน และเมื่อได้เมตตา ได้กรุณา และได้มุทิตา ในสัตว์บุคคลที่มีความสุขความเจริญ เมื่อเขามีความสุขความเจริญแล้วก็ไม่ต้องขวนขวายที่จะช่วยต่อไปได้ เหมือนอย่างบิดามารดาที่มีเมตตากรุณามุทิตาในบุตรธิดามุ่งให้บุตรธิดามีความสุขความเจริญ มีทุกข์ก็ช่วยให้พ้นทุกข์ และยินดีในเมื่อบุตรธิดามีความสุขความเจริญ และเมื่อบุตรธิดานั้นมีความสุขความเจริญเต็มที่แล้ว ไม่มีความทุกข์อะไรที่จะต้องช่วย ก็ปฏิบัติในอุเบกขานี้เป็นความวาง วางใจ และเฉยจากการที่จะต้องขวนขวายช่วยเหลือ เมื่อบุตรธิดาเกิดความทุกข์ก็ขวนขวายช่วยให้พ้นทุกข์ตามที่พึงช่วยได้ และเมื่อไม่สามารถจะช่วยได้ เช่นว่า เจ็บป่วยเป็นโรคที่ไม่สามารถจะรักษาได้ จะต้องทำกาลกิริยาตายจากไป ก็ต้องปลงใจลงในกรรมและผลของกรรมดังกล่าว วางจากความยึดถือเศร้าโศก วางความรักความยึดถือ แล้วก็เฉยจากความรักความยึดถือ แสดงอาการเป็นปรกติ ไม่เดือดร้อนวุ่นวายเพราะความทุกข์โศก ดั่งนี้ก็เป็นอุเบกขา
หลักของใจ
เพราะฉะนั้น อุเบกขาข้อนี้จึงเป็นข้อหลักที่จะเป็นหลักของใจอยู่เป็นประจำ พร้อมกันไปกับข้อเมตตา ข้อกรุณา ข้อมุทิตา ซึ่งควรจะมีเป็นหลักของใจอยู่เป็นประจำ เพราะว่า เมื่อมีข้ออุเบกขานี้ เพราะปลงใจลงไปในกรรมในผลของกรรมได้ในใครๆ ในคนที่เป็นที่รักก็ดี ในคนที่เป็นปานกลางก็ดี หรือแม้ในคนที่ไม่ชอบกันก็ดี ปลงใจลงไปในกรรมในผลของกรรมได้ ว่าเขานั้นๆ แต่ละคนหรือทั้งหมดนั้น ก็ต้องมีกรรมเป็นของๆ ตน ต้องเป็นทายาทรับผลของกรรม เขาได้ดีมีสุขก็เพราะกรรม เขาได้โทษมีทุกข์ก็เพราะกรรม มีเป็นหลักของใจอยู่ดั่งนี้
แม้เป็นสามัญชนจะต้องมีความยึดถือว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา แต่เมื่อมีอุเบกขาข้อนี้อยู่ ก็จะทำให้แก้ใจตัวเองได้ ไม่ยึดถือจนเกินไปจนทำให้ปฏิบัติผิด รู้จักผิดชอบชั่วดี ก็คือกรรมนั้นเอง แม้ในเวลาปรกติ เช่นว่า มารดาบิดาที่เลี้ยงดูบุตรมาตั้งแต่เล็ก เมื่อบุตรทำไม่ดีก็ต้องรู้ว่าบุตรทำไม่ดี โดยจะต้องสอบถามสอบสวน เมื่อรู้ว่าบุตรทำไม่ดีก็ต้องว่ากล่าวตักเตือน ให้ละชั่วและให้ทำดี และแม้ว่าบุตรของตนบุตรของเขาทะเลาะกัน ก็ไม่ลำเอียงเข้ากับบุตรของตน พิจารณาให้รู้จักว่าใครผิดใครถูก เมื่อบุตรของตนผิดก็ต้องรับว่าผิด แล้วก็ต้องว่ากล่าวตักเตือน ดั่งนี้ก็เพราะอุเบกขานี่แหละ คือมีใจที่เป็นกลาง เป็นกลางได้ก็เพราะว่าปลงลงไปในกรรมได้ ไม่รักเสียจนไม่รู้ผิดไม่รู้ถูก ซึ่งความรักเช่นนั้นไม่ใช่เป็นความรักที่เป็นเมตตา
ความรักที่ไม่ใช่เมตตากรุณา
แต่เป็นความหลงใหล เป็นความรักหลง และความรักหลงนี้ไม่ชื่อว่ามีเมตตา ไม่ชื่อว่ามีกรุณา ต่อคนที่รัก ดังเช่นนิทานที่แสดงเรื่องพ่อแม่เลี้ยงลูกให้เป็นโจร เมื่อลูกตั้งแต่เป็นเล็กๆ ไปลักขโมยของใครมาพ่อแม่ก็ดีใจชมเชย ก็ทำให้ลูกนั้นเกิดความสำคัญผิดว่าขโมยนี่ดีแม่ชมพ่อชม ก็ทำบ่อยๆ จนติดสันดานเป็นโจร ในที่สุดก็เป็นโจรต้องถูกจับลงโทษตามบ้านเมือง รักดั่งนี้ไม่ใช่รักที่เป็นเมตตาเป็นกรุณา แต่เป็นรักที่ผิด เพราะเหตุว่าขาดหลักของอุเบกขาที่รู้จักผิดรู้จักชอบ เพราะปลงใจลงในกรรมนี้เอง ทำให้เกิดความลำเอียง ไม่เที่ยงธรรม
และผู้ที่มีหน้าที่ในด้านที่จะตัดสินคดีความ ก็ต้องมีอุเบกขานี้เป็นหลัก จึงจะปราศจากความลำเอียง มุ่งเอาผิดเอาถูกเป็นที่ตั้ง ไม่มุ่งว่าโจทก์จำเลยเป็นญาติของตน หรือให้สินบนแก่ตนอะไรเหล่านี้เป็นต้น แต่มุ่งเอาผิดเอาถูกเป็นที่ตั้ง วางได้จากความโลภ ความรัก ความชัง ความหลง และความกลัวต่างๆ ชี้ผิดว่าผิด ชี้ถูกว่าถูก ตามความเป็นจริง โดยไม่ลำเอียง ดั่งนี้ก็เพราะมีอุเบกขาวางได้ ลงไปในกรรมคือในข้อผิดข้อถูก วางได้จากความชอบความชัง
แล้วก็เฉยได้จากความชอบความชังความหลงและความกลัวต่างๆ ไม่หวั่นไหวในอันที่จะรักษาความเที่ยงธรรม ดั่งนี้เพราะมีอุเบกขา เพราะฉะนั้นทั้ง ๔ ข้อนี้ก็จำเป็นต้องมีทั้งนั้น
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป