แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
จะแสดงสังฆานุสสติ ระลึกถึงพระสงฆ์ คือระลึกถึงคุณของพระสงฆ์นำสติปัฏฐาน สุปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ หมู่แห่งสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น สุปฏิปันโนปฏิบัติดีแล้ว หมู่แห่งสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยตรงก็หมายถึงบุรุษ ๔ คู่ หรือบุคคล ๔ คู่ นับรายบุคคลเป็น ๘ ดังที่ได้แสดงแล้ว คือบุคคลผู้เป็นโสดาบัน เป็นสกทาคามี เป็นอนาคามี เป็นอรหันต์ ที่เรียกว่าอริยะบุคคลในธรรมวินัยนี้ หรือในพุทธศาสนาอย่างต่ำคือโสดาบันบุคคล เป็นผู้ละกิเลสได้เด็ดขาด คือสัญโญชน์ได้ ๓ จนถึงเป็นอรหันตบุคคล ละกิเลสคือสัญโญชน์ได้หมดสิ้น ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงไว้ ท่านผู้ละกิเลสได้บางส่วนจนถึงหมดสิ้นดังกล่าวนี้ จึงจะชื่อว่า สุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดีแล้ว
และผู้ปฏิบัติดีแล้วนี้ ก็ดีแล้วตั้งแต่ขั้นละสัญโญชน์ได้ ๓ แล้ว ก็ดีแล้วในขั้นละสัญโญชน์ได้ ๓ แต่ว่ายังไม่แล้วในการที่จะละสัญโญชน์ที่ยิ่งขึ้นไป จนถึงเป็นอรหันตบุคคล ที่เราเรียกกันว่าพระอรหันต์ละสัญโญชน์ได้ทั้งหมด ซึ่งสัญโญชน์นั้นมี ๑๐ ก็ละได้ทั้ง ๑๐ คือทั้งหมด จึงจะเป็น สุปฏิปันโนคือปฏิบัติดีแล้ว อย่างเสร็จกิจ ไม่มีกิจที่จะปฏิบัติเพื่อละกิเลสยิ่งขึ้นต่อไปอีก จึงจะเป็นดีแล้วจริงๆ แต่แม้ในขั้นโสดาบันบุคคลก็เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้วในขั้นละสัญโญชน์แล้วได้ ๓
สุปฏิปัติ การปฏิบัติดี
ส่วนผู้กำลังปฏิบัติเพื่อละสัญโญชน์ คือพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ทั้งบรรพชิตคือผู้บวช ทั้งคฤหัสถ์คือผู้ครองเรือน ซึ่งกำลังปฏิบัติอยู่ตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ก็ชื่อว่าเป็น สุปฏิปัติ คือมีการปฏิบัติดี มีความปฏิบัติดี คือกำลังปฏิบัติดีอยู่ แต่ว่ายังไม่แล้ว แม้ในขั้นที่จะละกิเลสได้แล้วในขั้นต้นที่ชื่อว่าปฏิบัติดีนั้นได้มีอธิบายไว้ ก็คือปฏิบัติดีจริง ปฏิบัติดีบริสุทธิ์ ปฏิบัติดีชอบ เป็นสัมมาปฏิปทาปฏิบัติชอบ แต่ใช้คำว่าดีตามภาษาพูดที่เข้าใจกันได้ง่าย เพราะตรงกับคำที่ว่าดี ในคำว่าทำดีเป็นต้น
และเมื่อว่าถึงคำว่าดีนี้ก็อาจจะกล่าวได้ว่ามี ๓ คือดีที่เป็นโลกาธิปไตย คือมีโลกเป็นใหญ่ อันหมายถึงว่าเมื่อชาวโลกว่าดี ก็รับว่าดีไปตาม เมื่อชาวโลกว่าชั่วหรือไม่ดี ก็รับว่าไม่ดีไปตาม เป็นดีไปตามโลก อีกอย่างหนึ่งดีที่เป็น อัตตาธิปไตย มีตนเป็นใหญ่คือคนเองเห็นว่าดีก็ถือว่าดี ตนเองเห็นว่าไม่ดีก็ถือว่าไม่ดี อีกอย่างหนึ่งดีที่เป็น ธรรมาธิปไตย คือมีธรรมะคือความถูกต้องเป็นใหญ่ ตามเหตุและผลตามเป็นจริง เมื่อเป็นธรรมะคือเป็นคุณที่เป็นส่วนดีเป็นกุศลเป็นบุญที่แท้จริงก็ดี เมื่อเป็นอธรรมคือเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมอันถูกต้อง หรือเป็นอกุศลธรรมเป็นบาปตามเป็นจริงก็ไม่ดี ดีที่มีธรรมะคือมีความถูกต้องเป็นใหญ่ ดั่งนี้เรียกว่าธรรมาธิปไตย
ทั้ง ๓ นี้ ดีที่มีโลกเป็นใหญ่นั้น บางทีก็ดีจริง บางทีก็ไม่ดีจริง สุดแต่ว่าคนส่วนใหญ่จะว่าดีหรือว่าไม่ดี และก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา สมัยนี้ว่าดีอีกสมัยหนึ่งว่าไม่ดี หรือว่าสมัยนี้ว่าไม่ดี อีกสมัยหนึ่งว่าดี เป็นสิ่งที่ไม่คงทนแน่นอน แม้ดีที่มีตัวเองเป็นใหญ่ก็เหมือนกัน เพราะตนเองนั้นเมื่อถูกใจชอบใจก็ว่าดี เมื่อไม่ถูกใจไม่ชอบใจก็ว่าไม่ดี ก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ ในคราวที่ถูกใจตนได้ประโยชน์ก็ว่าดี แต่ในคราวที่ไม่ถูกใจตนเสียประโยชน์ก็ว่าไม่ดี ก็เป็นดีที่ไม่แน่นอน
ส่วนดีที่มีธรรมะเป็นใหญ่นั้นเป็นดีที่ถูกต้องแน่นอน แต่ว่าดีที่มีธรรมะเป็นใหญ่นี้ ทุกคนไม่อาจจะรู้เห็นได้ ในเมื่อจิตใจยังประกอบด้วยตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก ยังมีโลภมีโกรธมีหลง ซึ่งรวมเป็นตัวกิเลสที่ทำให้จิตใจเศร้าหมองไม่ผ่องใส ทำให้จิตนี้ไม่ได้ปัญญาคือความรู้ที่ถูกต้อง ยังมีโมหะคือความหลง ยังมีอวิชชาคือความไม่รู้ตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น คนทั่วไปจึงมักจะยึดถือว่าดีหรือไม่ดี ที่มีโลกเป็นใหญ่บ้าง มีตนเองเป็นใหญ่บ้าง แต่เมื่อได้ใช้ปัญญาได้รู้เห็นตามเป็นจริงตามเหตุผล ก็อาจจะได้พบดีหรือชั่ว ที่มีธรรมะเป็นใหญ่คือถูกต้อง หรือว่าได้ฟังคำสั่งสอนของท่านผู้รู้ เช่นลูกที่มีพ่อแม่สั่งสอนมาว่านี่ดีนี่ชั่วตั้งแต่เป็นเด็ก และที่ครูอาจารย์สั่งสอนว่านี่ดีนี่ชั่วเมื่อเข้าโรงเรียน หรือว่าได้มาฟังธรรมะที่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าตรัสชี้ว่านี่ดีนี่ชั่ว แม้ว่าจะยังไม่มีปัญญาที่จะรู้ถึงรู้เท่าด้วยตนเองก็อาศัยศรัทธาคือความเชื่อ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน หรือตามท่านผู้รู้เช่นพ่อแม่ครูบาอาจารย์สั่งสอน ก็ได้ความรู้จักว่าอะไรดีอะไรชั่วอันถูกต้อง ดั่งนี้ก็เป็นดีชั่วที่มีธรรมะเป็นใหญ่ คือถูกต้องเป็นใหญ่
เพราะฉะนั้น สุปฏิปัติ คือการปฏิบัติดีนั้น จึงต้องเป็นการปฏิบัติที่ต้องมีธรรมะเป็นใหญ่ และต้องอาศัยปัญญาและอาศัยศรัทธาตามที่กล่าวมา เพราะฉะนั้น ทุกๆ คนซึ่งเป็นผู้นับถือพุทธศาสนา จึงได้ถึงพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์ เป็นสรณะคือที่พึ่ง ก็คือเป็นผู้นำทาง คือนำเข้าสู่ทางที่ชอบให้ดำเนินเข้าสู่ทางที่ชอบ และเมื่อดำเนินเข้าสู่ทางที่ชอบได้ ก็ชื่อว่าได้มีการปฏิบัติดี
พระโอวาทที่เป็นทางปฏิบัติ
พระสงฆ์คือหมู่แห่งสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ปรากฏมาตามพุทธประวัติ ทุกท่านก็ได้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ได้มีพระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระธรรมพระสงฆ์ เป็นสรณะนำเข้าสู่ทางชอบ ปฏิบัติชอบ จึงเป็นสุปฏิปัติคือปฏิบัติดีขึ้นโดยลำดับ การที่จะเป็นผู้ปฏิบัติดีขึ้นโดยลำดับนั้น เมื่อแสดงอย่างสั้นตามโอวาทปาติโมกข์ ๓ ข้อ ก็คือไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม ชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส อะไรเป็นบาปพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสชี้เอาไว้ อะไรเป็นกุศลพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสชี้เอาไว้ และการชำระจิตของตนให้ผ่องใสได้อย่างไร พระพุทธเจ้าก็ได้ทรงแสดงสั่งสอนเอาไว้ นี้เป็นพระโอวาทที่ทรงแสดงไว้เป็นทางปฏิบัติ สำหรับที่พระสาวกทั้งหลายจะได้นำไป ประกาศพระพุทธศาสนาตั้งแต่ในครั้งต้นพุทธกาล
และก็ได้ตรัสแสดงสัมมาปฏิบัติคือการปฏิบัติชอบ เป็นหลักไว้ตั้งแต่ปฐมเทศนา ก็คือมรรคมีองค์ ๘ อันได้แก่ สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะความดำริชอบ ทั้งสองนี้ก็จัดเป็นปัญญา หรือปัญญาสิกขา สัมมาวาจาเจรจาชอบ สัมมากัมมันตะการงานชอบ สัมมาอาชีวะเลี้ยงชีวิตชอบ สามนี้ก็จัดเป็นศีล หรือสีลสิกขา สัมมาวายามะเพียรชอบ สัมมาสติระลึกชอบ สัมมาสมาธิตั้งใจชอบ สามนี้ก็จัดเป็นสมาธิ หรือจิตตสิกขา เพราะฉะนั้น มรรคมีองค์ ๘ ก็รวมเข้าในไตรสิกขา และพระโอวาทปาติโมกข์ทั้ง ๓ นั้น ก็รวมเข้าในไตรสิกขาเช่นเดียวกัน
เมื่อปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน อะไรที่ตรัสว่าเป็นบาป เป็นอกุศล เป็นทุจริต ก็ละไม่ทำ อะไรที่ตรัสสอนว่าเป็นบุญเป็นกุศลสุจริต ก็ประกอบกระทำ และคอยชำระใจของตนให้บริสุทธิ์ ขัดเกลาใจของตนให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ ด้วยมาปฏิบัติโดยลำดับคือศีลสมาธิจนถึงปัญญาอันเป็นข้อสำคัญ ชำระตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก ชำระโลภโกรธหลงในจิตใจนี้เอง เมื่อปฏิบัติชอบเข้าทางที่พระพุทธเจ้าตรัสสั่งสอนไว้ดั่งนี้ ก็ชื่อว่าเป็นปฏิบัติดี
อนุโสตะคามี ปฏิบัติตามกระแสกิเลส
และการปฏิบัติดีดั่งนี้ จำจะต้องปฏิบัติไม่ปล่อยจิตไปตามกระแสกิเลส ที่เรียกว่า อนุโสตะคามี ไปตามกระแสของกิเลส คือไปตามกระแสของตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก หรือไปตามกระแสของโลภโกรธหลง
อันตัณหาหรือโลภโกรธหลงนี้แยกเรียกชื่อออกไปตามลักษณะ ของภาวะแห่งกิเลสที่บังเกิดขึ้นในจิต แต่อันที่จริงนั้นก็รวมอยู่เป็นกองเดียวกัน คือจิตที่มีโลภโกรธหลง ย่อมเป็นจิตที่มีความดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่าย จิตที่โลภนั้นก็ดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่าย จิตที่โกรธนั้นก็ดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่าย จิตที่หลงนั้นมี ๒ อย่าง คือดิ้นรนกระสับกระส่ายไปอย่างโง่ๆ คือด้วยความหลง อีกอย่างหนึ่งก็ง่วงงุนหลับใหลไป เพราะฉะนั้นเมื่อจับเอาอาการที่ชอบหรือชังหรือหลงก็เป็น โลภ โกรธ หลง
เมื่อจับเอาอาการที่ดิ้นรนไปดังกล่าวนั้นก็เรียกว่าตัณหา เพราะฉะนั้นจึงรวมอยู่เป็นอันเดียวกันนั่นแหละ และเมื่อปล่อยจิตให้เป็นไปตามกระแส ของตัณหาหรือโลภโกรธหลงดังกล่าวนี้ก็เป็น อนุโสตคามี (เริ่ม) ผู้ปฏิบัติไปตามกระแสของกิเลสเหล่านี้ กิเลสย่อมนำให้ปฏิบัติชั่วปฏิบัติผิดต่างๆ เป็นบาปเป็นอกุศลเป็นทุจริตต่างๆ
ปฏิโสตะคามี ปฏิบัติทวนกระแสกิเลส
เพราะฉะนั้น จึงต้องปฏิบัติทวนกระแสของกิเลสเป็น ปฏิโสตคามี ปฏิบัติกลับกระแสของกิเลส หรือทวนกระแสของกิเลส คือปฏิบัติดับระงับตัณหาหรือโลภโกรธหลง ไม่รับตัณหาหรือโลภโกรธหลงมาไว้ในจิตใจ เผาตัณหาเผาโลภโกรธหลงที่เรียกว่าตบะ การบำเพ็ญตบะคือความเพียรของพราหมณ์นั้นเผาวัตถุต่างๆ ในภายนอก แต่การบำเพ็ญตบะของพระพุทธศาสนานั้นคือเผากิเลสเผาตัณหาเผาโลภโกรธหลง ให้ดับไปจากจิตใจ ไม่ให้จิตใจล่องลอยไปตามกระแสของกิเลส แต่ให้ทวนกระแสของกิเลสดังกล่าวนั้นเป็น ปฏิโสตคามี
ในการปฏิบัติทวนกระแสของกิเลสดังกล่าวนี้ เมื่อดับรำงับเผากิเลสได้แล้ว ก็นำจิตให้เข้าสู่กระแสของธรรมะคือทางปฏิบัติที่ดีที่ชอบ คือทางศีลทางสมาธิทางปัญญา หรือทางมรรคมีองค์ ๘ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเอาไว้ เมื่อทวนกระแสของกิเลสได้ และปฏิบัตินำจิตให้เข้าสู่กระแสของธรรมะได้ดังกล่าว จนสามารถตั้งตัวได้ในกระแสของธรรมะ ไม่ตกจากกระแสของธรรมะ ก็เรียกว่าเป็น ฐิตตฺโต คือเป็นผู้ที่มีตนตั้งได้แล้วในกระแสของธรรมะ
และเมื่อตั้งตัวได้ดังกล่าว จนถึงละสัญโญชน์ได้ ๓ ก็ได้ชื่อว่าเป็นโสตาปันนะ ที่แปลว่าผู้ถึงกระแส คือกระแสธรรมะแล้ว อาปันนะ ก็แปลว่าถึงแล้วโสตะ ก็แปลว่ากระแสหมายถึงกระแสของธรรมะ อันตรงกันข้ามกับกระแสของกิเลส รวมกันเป็นโสตาปันนะ แปลว่าถึงแล้วซึ่งกระแสของธรรมะ เมื่อเป็นดั่งนี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นอริยะบุคคลขั้นแรก นับเข้าในหมู่สงฆ์ในคำว่า สุปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ หมู่แห่งสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีแล้ว
สติปัฏฐานในข้อกาย
การปฏิบัติในสติปัฏฐานคือตั้งสติกำหนดกายเวทนาจิตธรรม เมื่อปฏิบัติไปโดยลำดับก็ปฏิบัติตั้งสติกำหนดกาย และในข้อกายนี้ก็ยังจำแนกออกเป็นหลายข้อ เริ่มตั้งแต่ลมหายใจเข้าออก เมื่อมีสติกำหนดลมหายใจเข้าออก ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสั่งสอนเอาไว้ มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก หายใจเข้ายาวก็ให้รู้ว่ายาว สั้นก็ให้รู้ว่าสั้น หายใจเข้ายาวก็ให้รู้ว่ายาว หายใจออกยาวก็ให้รู้ว่ายาว หายใจเข้าสั้นก็ให้รู้ว่าสั้น ออกสั้นก็ให้รู้ว่าสั้น ตั้งสติว่า ตั้งสติสำเหนียกศึกษา คือสำเหนียกว่า เราจักรู้กายทั้งหมดหายใจเข้า เราจักรู้กายทั้งหมดหายใจออก ศึกษาคือสำเหนียกว่าเราจักรู้กายสังขารคือเครื่องปรุงกายทั้งสิ้นหายใจเข้า เราจักรู้กายสังขารคือเครื่องปรุงกายทั้งสิ้นหายใจออก เหมือนอย่างช่างกลึงเมื่อกลึงยาวก็รู้ว่ายาว กลึงสั้นก็รู้ว่าสั้น ฉะนั้น หลักใหญ่ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้เกี่ยวแก่ลมหายใจเข้าออกในพระสูตรนี้ ก็มีเพียงเท่านี้ เป็นหลักที่ผู้ปฏิบัติพึงถือเป็นหลักใหญ่ในการปฏิบัติ เพราะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเอง และก็ได้มีคำสั่งสอนของอาจารย์ต่างๆ อธิบายขยายความกันออกไป
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป