แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
จะแสดงพระสังฆคุณบทว่า สามีจิปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ หมู่แห่งสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นปฏิบัติชอบยิ่งแล้ว อันเป็นพระสังฆคุณบทที่ ๔ นำสติปัฏฐาน
คำว่า สามีจิ ในพระสังฆคุณบทนี้แปลกันโดยมากว่าชอบยิ่ง แต่จะแปลอย่างอื่นเช่นว่าชอบ หรือเหมาะ หรือรวมกันว่าชอบเหมาะ จะแปลว่าสมควรก็ใช้ได้ และคำนี้มีใช้แสดงการปฏิบัติธรรมของพุทธศาสนิกชนทั่วไปทั้งบรรพชิต ทั้งคฤหัสถ์ ทั้งบุรุษทั้งสตรี ดังพระบาลีที่ว่า ธรรมานุธรรมะปฏิปันโน ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สามีจิปฏิปันโน ปฏิบัติเป็นสามีจิคือชอบยิ่ง อนุธรรมจารี ปฏิบัติตามธรรมดั่งนี้ และคำว่า ธรรมานุธรรมะปฏิปันะ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมนั้น
ก็มีความหมายโดยสรุปว่า ปฏิบัติธรรม คือปฏิบัติถูกชอบดังที่เรียกกันว่าปฏิบัติธรรมทั่วไป สมควรแก่ธรรม คือสมควรแก่ธรรมะที่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และสมควรแก่ธรรมะที่เป็นสัจจะคือความจริงตามที่ทรงสั่งสอนนั้น พร้อมทั้งสมควรแก่ผลตามเป้าประสงค์ที่ทรงสั่งสอน เช่นว่า เป้าประสงค์ก็คือประโยชน์ที่เป็นปัจจุบัน ก็ปฏิบัติธรรมะอันเป็นส่วนเหตุ ก็ตามที่ทรงสั่งสอนนั่นแหละ ให้ตรงต่อผลที่เป็นประโยชน์ปัจจุบันที่ต้องการ เป้าประสงค์คือประโยชน์ภายหน้า ก็ปฏิบัติธรรมะที่เป็นส่วนเหตุ ให้ตรงต่อผลที่ประสงค์คือประโยชน์ภายหน้า เป้าที่ประสงค์คือประโยชน์อย่างยิ่งอันได้แก่มรรคผลนิพพาน ก็ปฏิบัติธรรมะที่เป็นส่วนเหตุให้ตรงกับเป้าที่ประสงค์คือมรรคผลนิพพาน และสำหรับในเป้าประสงค์สูงสุดคือมรรคผลนิพพานนี้ ได้มีพระพุทธาธิบาย และพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรไว้ว่า คือปฏิบัติเพื่อนิพพิทาคือความหน่าย วิราคะคือความสิ้นติดใจยินดี นิโรธะคือเพื่อความดับ ดับนันทิความเพลิดเพลิน ดับตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก เพื่อนิพพาน ดั่งนี้ ปฏิบัติดั่งนี้ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
โกศล ความฉลาด ๓ ประการ
สามีจิปฏิปันนะ ปฏิบัติชอบยิ่งก็คือปฏิบัติให้เหมาะที่จะบรรลุได้ถึงผลที่เป้าหมายนั้น ดังที่ได้มีแสดงถึงโกศลคือความฉลาดไว้สามอย่าง คือ อายโกศล ความฉลาดในทางเจริญ อปายโกศล ความฉลาดในทางเสื่อม อุปายโกศล ฉลาดในอุบาย คือในวิธีที่จะปฏิบัติเพื่อละทางเสื่อมเข้าสู่ทางเจริญ เพื่อผลคือความเจริญตามที่ต้องการ การที่จะปฏิบัติได้ดังกล่าวนี้ก็ต้องปฏิบัติให้เหมาะ จึงจะเป็นอุบายที่จะนำเข้าสู่ความสำเร็จได้ ดังที่บัดนี้เรียกกันว่านโยบาย นัยยะก็แปลว่าเป็นเครื่องนำไป อุบายก็คือว่าวิธีที่จะเข้าถึงความเจริญ
เพราะฉะนั้น สามีจิปฏิปันนะ ปฏิบัติชอบยิ่งหรือเหมาะนี้ จึงเป็นข้อสำคัญที่จะต้องมีอยู่อีกข้อหนึ่ง ประกอบเข้ากับสามข้อข้างต้น คือปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม หรือเพื่อธรรมที่บรรลุ จะต้องมีข้อ ๔ คือปฏิบัติชอบยิ่ง คือเหมาะเข้าประกอบด้วย
การปฏิบัติชอบยิ่ง
การปฏิบัติที่เป็น สามีจิ นี้ได้มีใช้ในพระวินัยบัญญัติหลายข้อ เป็นต้นว่าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัย ห้ามไม่ให้หยิบจับรูปิยะคือเงินทอง เว้นไว้แต่เงินทองที่ตกอยู่ในวัดในที่อาศัย ถ้าหยิบจับเงินทองที่ตกอยู่ในที่อื่นปรับเป็นอาบัติ แต่ถ้าพบเงินทองที่ตกอยู่ในวัดก็หยิบจับได้ และรักษาไว้เพื่อว่าใครเป็นเจ้าของจะได้มารับเอาไป
(เริ่ม) การปฏิบัติเช่นนี้เรียกว่า สามีจิ คือชอบยิ่งได้มีบัญญัติไว้ในพระวินัยบัญญัติหลายข้อ ดังอีกข้อหนึ่งเมื่อมีพระราชาก็ดี อำมาตย์ของพระราชาก็ดี คฤหบดีก็ดี ได้ส่งคนนำเอามูลค่าจีวรเพื่อไปซื้อจีวรแล้วมาถวายภิกษุรูปหนึ่ง แต่ว่าบุคคลที่ท่านผู้บริจาคทรัพย์ใช้มานั้น เขาเอาเงินมาถวายพระรูปนั้นโดยตรง ก็ให้พระรูปนั้นตอบว่า เงินทองที่เป็นค่าจีวรนี้ไม่สมควรที่จะรับไว้ได้
และถ้าบุคคลผู้นั้นเขาถามว่า ท่านมีไวยาวัจกร คือคฤหัสถ์ที่เป็นอุบาสกก็ดี เป็นผู้อาศัยอยู่ในวัดก็ดี อยู่หรือไม่ ถ้าบุคคลเช่นนั้นมีอยู่ และภิกษุก็ต้องการจีวร ก็ให้ตอบเขาว่ามี คนนั้นคนนี้ ผู้ที่รับใช้มานั้นก็นำเอามูลค่าของจีวรที่เป็นเงินไปมอบแก่อุบาสก หรือบุคคลที่อาศัยอยู่ในวัด แล้วกลับมาบอกภิกษุว่าได้ตกลงมอบแก่ผู้นั้นๆ ไว้แล้ว เมื่อท่านต้องการจีวรก็ให้ไปเรียกร้องเอาจากเขา ตามที่ต้องการ ต่อมาเมื่อภิกษุนั้นต้องการจีวรก็ให้ไปหาอุบาสก หรือหา อารามิกะ คือผู้ที่อาศัยอยู่ในวัดนั้น และบอกความประสงค์ว่าต้องการจีวร ก็มีบัญญัติพระวินัยว่าให้ไปทวงได้ดังนี้ ๓ ครั้ง ให้ไปยืนนิ่งๆ ๖ ครั้ง ถ้าได้มาก็เป็นการดี ถ้าไม่ได้มา ถ้าไปทวงเกินกว่านั้นก็ปรับเป็นอาบัติ และเมื่อไม่ได้ก็ให้ไปบอกแก่เจ้าของทรัพย์เขาว่า ทรัพย์ที่ส่งมาเพื่อให้เป็นมูลค่าจีวรนั้น ไม่สำเร็จประโยชน์ ให้เจ้าของทวงทรัพย์ของเขาคืนไปเสีย จะไปเองหรือจะส่งทูตไปก็ได้ การปฏิบัติดังนี้เป็นสามีจิคือชอบยิ่ง นี้เป็นไปในทางวินัย
สามีจิกรรม
ในทางคารวะนั้นก็มีแสดงไว้ถึงวัตถุหรือบุคคล ที่พึงเคารพด้วยวิธีต่างๆ มีการกราบไหว้กระทำอัญชลีลุกขึ้นยืนรับ จนถึงข้อสุดท้ายก็คือ สามีจิกรรม กระทำอาการที่สมควรที่เหมาะสม และสามีจิที่แสดงไว้ในหลักคารวะนี้ ย่อมเป็นหลักปฏิบัติได้กว้างๆ ภิกษุพึงทำสามีจิกรรมต่อภิกษุด้วยกัน ที่มีพรรษาแก่กว่า ที่มีพรรษาเสมอกัน ที่มีพรรษาอ่อนกว่าก็ได้ เช่นว่าเวลาที่จะปฏิบัติกรรมทางพระวินัยต่อกัน เช่นนั่งคุกเข่าสองรูปหันหน้าเข้าหากัน แล้วกลับผ้า เป็นต้น ภิกษุทั้งแก่ทั้งอ่อนก็นั่งพนมมือด้วยกัน การพนมมือนั้นเรียกว่าเป็นสามีจิกรรม การกระทำที่ชอบยิ่ง
แม้ในเวลาที่สวดมนต์ก็พนมมือ รับศีลก็พนมมือ นี่เป็นสามีจิกรรม กรรมะที่ชอบยิ่ง แม้การที่จะลากัน ภิกษุที่อาวุโสกว่าจะเป็นอุปัชฌาย์อาจารย์จะลาสัทธิวิหาริก เช่นลาเข้าบ้านในเวลาวิกาล ก็ใช้พนมมือกล่าวคำลาเป็นสามีจิกรรม ตลอดจนถึงเช่นว่า สัทธิวิหาริกป่วยไข้ อุปัชฌาย์อาจารย์ก็ไปปฏิบัติสัทธิวิหาริก เหมือนอย่างเป็นบุรุษพยาบาลก็ทำได้ ดั่งนี้เรียกว่าเป็นสามีจิกรรม กรรมะที่ชอบยิ่ง
และนอกจากนี้ก็ยังมีข้อที่ภิกษุควรปฏิบัติ เช่นว่าเวลาที่กำลังเดินบิณฑบาต ถึงเวลาที่เขายกธงชาติ เขามีบัญญัติธรรมเนียมให้ทุกคนเมื่อเดินอยู่ก็หยุดยืน ดั่งนี้ทางคณะสงฆ์ก็เคยใช้ปฏิบัติกัน ว่าแม้ภิกษุเองก็ควรจะหยุดยืน ในเมื่อเขาหยุดยืนกันหมด พระจะไปเดินอยู่องค์เดียวก็ไม่งาม ก็เป็นสามีจิกรรมเหมือนกัน ในเมื่อที่จะยืนได้ แต่ถ้าในโอกาสที่จะยืนไม่ได้ เช่นกำลังเดินอยู่กลางถนนก็ไม่ได้อยู่เอง ต้องเดินข้ามมาให้พ้น ดังนี้เป็นต้น
และก็ได้มีท่านผู้หลักผู้ใหญ่ที่เล่ากันมา เช่นสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ขณะที่ทรงดำเนินอยู่ในถนน เมื่อเขามีการแห่ศพผ่าน หรือว่านำศพผ่านก็ทรงหยุดยืน ก็เป็นการที่แสดงสามีจิกรรม กรรมะที่ชอบยิ่ง หรือแม้ว่ามีพระต่างวัดมาต้องการจะมาหาพระรูปหนึ่ง เมื่อพบเข้าทราบความประสงค์ก็นำไปชี้กุฏิให้ ก็เป็นสามีจิกรรมอันหนึ่ง
ในเรื่องนี้ก็ได้มีเล่าถึงสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้นอีกเหมือนกัน ว่าวันหนึ่งได้เสด็จทรงพระดำเนินอยู่ในวัด ได้มีพระต่างวัดรูปหนึ่งเข้ามา เห็นกำลังทรงดำเนินอยู่ก็เข้าไปถวายความเคารพ โดยรับสั่งถามว่าจะมาหาใคร พระรูปนั้นก็ตอบว่าจะมาหาพระเถระต่างจังหวัดรูปหนึ่งซึ่งมาพักอยู่ในวัดนี้ พระองค์ก็รับสั่งว่าโน่นเขาพักอยู่กุฏิโน้น แล้วก็เสด็จนำไปเอง จนถึงกุฏิของพระเถระต่างจังหวัดรูปนั้น ว่านั่นอยู่กุฏินั้นแล้วก็เสด็จกลับ พระต่างวัดรูปนั้นต่อมาก็เป็นพระผู้ใหญ่ขึ้นก็ได้เล่าเรื่องนี้ ซาบซึ้งในพระมหากรุณาของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้นเป็นอย่างที่สุด มีความเคารพอย่างที่สุดในการที่ได้ทรงปฏิบัติเอื้อเฟื้อต่อพระอาคันตุกะต่างวัดที่เข้ามา ดั่งนี้ก็เป็นสามีจิกรรม คือเป็นกรรมะที่ชอบยิ่ง
พระพุทธเจ้าเองก็ได้ทรงปฏิบัติกิจที่เรียกว่าเป็นสามีจิกรรมไว้ตลอด เรื่องที่เป็นเรื่องปลีกย่อยก็เช่น ครั้งหนึ่งประทับอยู่ในกรุงโกสัมพี นางมาคันทิยาซึ่งเป็นมเหสีองค์หนึ่งของพระเจ้าอุเทนแห่งกรุงโกสัมพี ได้ผูกโกรธต่อพระพุทธเจ้า ได้จ้างให้คนตามด่าพระพุทธเจ้า ในขณะที่เสด็จออกบิณฑบาต ทุกวัน หลายวัน พระอานนท์ก็กราบทูลว่าขอให้เสด็จย้ายออกไปจากเมืองนี้ ไปอยู่เมืองโน้น ก็รับสั่งว่าถ้าเมืองโน้นเขาด่าอีกจะไปไหน พระอานนท์ก็กราบทูลว่าก็ให้ออกจากเมืองโน้นไปอีกเมืองหนึ่ง พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าปฏิบัติอย่างนั้นไม่ชอบ เมื่ออธิกรณ์บังเกิดขึ้นในที่ใด เมื่ออธิกรณ์นั้นสงบลงไปแล้วจึงค่อยย้ายไปจากที่นั้น และความจริงก็เป็นดั่งนั้น พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ที่บริสุทธิ์อย่างยิ่ง เหตุที่บังเกิดขึ้นแก่พระองค์นั้นเป็นไปอยู่ไม่เกิน ๗ วัน แล้วก็สงบไป การที่ทรงปฏิบัติดั่งนี้เรียกว่าเป็นสามีจิคือเป็นการปฏิบัติชอบยิ่ง
และพระอานนท์เองนั้นก็ได้เป็นผู้มีการปฏิบัติดั่งนี้มากครั้ง เช่นครั้งหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงมีศรัทธาปสาทะในพระพุทธศาสนา ได้ทรงนิมนต์ให้พระสงฆ์เข้าไปรับบาตรในพระราชสำนัก แต่ไม่ได้ทรงสั่งข้าราชสำนักให้เป็นผู้นิมนต์พระและถวายอาหารแก่พระ เมื่อพระไปแล้วไปไม่มีใครถวาย ไม่มีใครใส่บาตรก็กลับ
เมื่อเป็นดั่งนี้เข้าสองสามวันก็ไม่มีพระเข้าไป ยังเหลือแต่พระอานนท์องค์เดียว ซึ่งได้รักษาพระพุทธเจ้าที่ตรัสสั่งไว้ว่าให้เข้าไปรับบาตรในวัง ท่านก็ยังคงเข้าไปอยู่ทุกวัน จนถึงวันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงระลึกขึ้นมาได้ ก็รับสั่งให้เตรียมเครื่องอาหารออกทรงบาตร เห็นพระอานนท์รูปเดียวก็ไต่ถามว่าทำไมพระไม่มี พระอื่นไม่มีอีก ข้าราชสำนักก็ได้กราบทูลให้ทรงทราบ ก็ทรงมีศรัทธาปสาทะในท่านพระอานนท์เป็นอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าก็ทรงชมเชยว่าท่านพระอานนท์เป็น การณวสิกะ คือเป็นผู้ที่ปฏิบัติไปตามอำนาจแห่งเหตุการณ์ เมื่อควรจะปฏิบัติอย่างไรในเหตุการณ์ที่บังเกิดขึ้นนั้นก็ปฏิบัติด้วยความอดทนไม่ย่อท้อ ดั่งนี้ก็เป็นสามีจิปฏิบัติ ปฏิบัติชอบยิ่ง
แม้เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของบุคคลทั่วไป การปฏิบัติที่เป็นสามีจิที่ชอบยิ่งนี้ก็จำเป็นจะต้องมี ดังเช่นเรื่องของโฆสกะเศรษฐี เมื่อบิดาของโฆสกะเศรษฐีถึงแก่กรรม พระเจ้าแผ่นดินก็รับสั่งให้บุตรที่ชื่อว่าโฆสกะเข้าไปเฝ้า โฆสกะนั้นถือว่าเป็นเด็ก เมื่อเข้าไปเฝ้านั้นพอดีฝนตกมาก ทางที่เดินที่จะเข้าไปเฝ้าในพระตำหนักนั้นก็เป็นหลุมเป็นบ่อน้ำขัง โฆสกะกุมารนั้นก็เดินไปบ้างกระโดดไปบ้าง ข้ามน้ำที่เป็นหลุมเป็นบ่อ เมื่อเข้าไปเฝ้าแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็รับสั่งว่าจะตั้งให้เป็นเศรษฐีสืบต่อบิดา โฆสกะก็ออกมา แต่เมื่อขาออกกลับนั้นเดินไปโดยเรียบร้อย ไม่กระโดดข้ามหลุมข้ามบ่อเหมือนอย่างเมื่อขาเข้าเฝ้า
พระเจ้าแผ่นดินทอดพระเนตรทางพระแกล ทอดพระเนตรเห็นสังเกตในอากัปกิริยาก็เรียก ตรัสเรียกให้เข้าไปเฝ้าใหม่ ก็ตรัสถามว่าทำไมเมื่อขาเข้ามากระโดดข้ามหลุมข้ามบ่อเข้ามา แต่ขากลับเดินไปโดยเรียบร้อย โฆสกะก็กราบทูลว่าได้ทรงจะตั้งให้เป็นเศรษฐี ให้มีฐานันดรเป็นเศรษฐีขึ้นแล้ว จึงต้องรักษาความเรียบร้อย พระเจ้าแผ่นดินก็โปรดปราน ก็โปรดตั้งให้เป็นเศรษฐีในวันนั้นในเวลานั้นทีเดียวสืบต่อจากบิดา
และก็มีเล่าถึงเรื่องนางวิสาขา ซึ่งเรียกว่าเป็นมหาอุบาสิกา ในครั้งพุทธกาล เมื่อนางวิสาขายังเป็นกุมาริกายังไม่ได้แต่งงาน ก็ได้มีทูตของเศรษฐีเมืองอื่น หรือคณะบุคคลของเศรษฐีเมืองอื่นที่ส่งเข้ามาเพื่อพิจารณาดู เพื่อจะได้สู่ขอนางวิสาขาไปแต่งกับบุตรชายของเศรษฐีอีกเมืองหนึ่งซึ่งมีฐานะที่เสมอกัน คณะผู้ที่มาคอยดูนั้นก็คอยตามดู คณะของนางวิสาขาวันหนึ่งที่ออกจากบ้าน พร้อมกับพวกมิตรสหายทั้งหลายจะไปสู่ท่าน้ำ ฝนก็ตกลงมา บรรดามิตรสหายทั้งหลายก็วิ่งเข้าศาลา
นางวิสาขาซึ่งเป็นกุมาริกาผู้หนึ่งนั้นก็เดินเข้าไปโดยปรกติ พวกคณะบุคคลต่างเมืองเหล่านั้นก็พูดเปรยๆ ให้ได้ยินว่า เป็นหญิงที่เฉื่อยช้าไม่ว่องไว นางวิสาขาก็ตอบว่าการที่เดินเข้ามานั้นก็เพราะว่าบุคคล ๔ จำพวกนั้นวิ่งไม่งาม ก็คือหนึ่งพระราชาที่ทรงเครื่องอย่างเต็มที่ เมื่อทรงวิ่งก็ไม่งาม ช้างพระที่นั่งที่ทรงเครื่องอย่างเต็มที่ วิ่งก็ไม่งาม ภิกษุ วิ่งก็ไม่งาม ก็จะถูกหาว่าเหมือนอย่างคฤหัสถ์ กุมาริกาวิ่งก็ไม่งดงาม จะถูกหาว่าเหมือนบุรุษ ดั่งนี้ บรรดาคณะที่มาสืบนั้นก็พอใจว่าเป็นสตรีที่มีความฉลาด
พระพุทธเจ้าเองนั้นได้ทรงแสดงธรรม ตั้งพระพุทธศาสนาขึ้น คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกข้อทุกบท ก็เป็น สามีจิ คือชอบยิ่งทั้งนั้น เพราะอะไร ก็เพราะว่าวาจาที่พระพุทธเจ้าตรัสนั้นไม่ใช่ว่าเป็นความจริงอย่างเดียว พระพุทธเจ้านั้นจะต้องตรัสความจริง และเมื่อตรัสความจริงแล้วก็ไม่เป็นความเท็จ คนทั่วไปเมื่อพูดความจริงก็ไม่ผิดศีลข้อ ๔ แต่ว่าจริงอย่างเดียวนั้นไม่พอ พระพุทธเจ้าจะตรัสพระวาจาอันใดต้องเป็นความจริงด้วย ต้องเป็นประโยชน์ด้วย และต้องถูกต้องด้วยกาละเทศะด้วย เมื่อประกอบด้วยองค์ทั้งสามนี้พระพุทธเจ้าจึงจะตรัส
เพราะฉะนั้นธรรมะทุกบทที่ทรงสั่งสอนนั้น จึงเป็นสัจจะคือความจริงด้วย และเป็นประโยชน์ด้วย และเป็นข้อที่ต้องด้วยกาละเทศะด้วย และเมื่อกล่าวคลุมโดยทั่วไปแล้วเป็นอกาลิโกไม่ประกอบด้วยกาลเวลา ใช้ได้ทุกสมัย แต่ว่าที่ว่าต้องด้วยกาละเทศะนั้นก็หมายความว่าเหมาะที่จะพูดในเวลานั้นในเวลานี้เท่านั้น
เพราะฉะนั้นความที่คำสั่งสอนที่เป็นสัจจะคือความจริงนั้นเป็นประโยชน์ และต้องด้วยกาลเวลานั้น จึงเป็นสามีจินั้นเองคือชอบยิ่ง ถ้าหากว่าขาดสองข้อนี้แล้วมีแต่ความจริงอย่างเดียวก็ไม่ชอบยิ่ง เพราะความจริงบางอย่างนั้นควรพูด บางอย่างนั้นไม่ควรพูด พระพุทธเจ้าเองนั้นก็ยังมีเล่าไว้ในเรื่องว่าเมื่อมีผู้มาตรัสถามเรื่องบางอย่าง
เป็นเวลาที่พระองค์ไม่ควรจะตรัสตอบ ผู้นั้นพอมาเข้าเฝ้าแล้วก็ลืมไปทุกที ต่อเมื่อถึงเวลาที่ควรจะตรัสตอบ ผู้นั้นก็มาเฝ้าอีก คือเมื่อเขากลับไปแล้วเขานึกขึ้นมาได้ว่าจะมาทูลถามเรื่องนี้ แต่ว่าลืมไปเสียก็จึงกลับไปเฝ้าอีก แล้วก็ลืมอีก กลับไปเฝ้าอีก แล้วก็ลืมอีก จนถึงเวลาที่ควรจะตรัสตอบ เขาก็ไม่ลืมก็กราบทูลถาม ก็ตรัสตอบ ก็ได้ประโยชน์ เพราะฉะนั้น การพูดความจริงนั้นจึงต้องให้เหมาะแก่เวลา ดั่งนี้ จึงเป็นสามีจิคือชอบยิ่ง
ในการปฏิบัติธรรมก็เป็นเช่นนั้น การปฏิบัติธรรมนั้นต้องปฏิบัติดี ต้องปฏิบัติตรง ต้องปฏิบัติเป็นญายะ คือเป็นธรรม หรือเพื่อผลที่พึงบรรลุ และต้องปฏิบัติเป็น สามีจิ คือชอบยิ่งเข้าอีกข้อหนึ่งจึงจะสำเร็จผล ความสำเร็จผลที่เป็นผลสามัญ ที่สามัญชนจะพึงบรรลุก็ดี ความสำเร็จผลที่เป็นมรรคเป็นผลเป็นนิพพานก็ดี จะต้องประกอบด้วย สามีจิ คือชอบยิ่ง ดั่งนี้
และทางอธิบายนั้นก็มีได้โดยตัวอย่างอันหนึ่ง คือท่านพระอานนท์เถระเอง ซึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานนั้น ท่านเป็นพระโสดาบัน ยังไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพราะท่านมีกิจที่จะต้องทรงถวายอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า และจะต้องพยายามที่จะจดจำธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ทั้งหมด จนถึงขั้นขอพรพระพุทธเจ้าว่า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมในที่ที่ไม่มีท่านอยู่ด้วย และก็เมื่อกลับจากนั้นแล้ว ก็ขอให้มาทรงแสดงธรรมนั้นให้ท่านฟัง เพื่อท่านจะได้จำเอาไว้ แล้วก็เพื่อกันครหาว่าเมื่อมีผู้มาถามท่านก็จะตอบได้ ถ้าท่านตอบไม่ได้เขาก็จะติว่าเป็นพุทธอุปัฏฐากอยู่ใกล้ชิดทำไมจึงไม่รู้ ดั่งนี้ ท่านจึงขอพรข้อนี้ต่อพระพุทธเจ้าไว้ ท่านจึงมีภาระที่จะต้องปฏิบัติพระพุทธเจ้า มีภาระที่จะต้องคอยจดจำทบทวนพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว
ทรงบัญญัติไว้แล้ว ไม่มีเวลาที่จะปฏิบัติให้สำเร็จมรรคผลนิพพานที่สูงขึ้นถึงที่สุด แต่ว่าท่านก็ได้พยายามปฏิบัติ จนถึงได้รับเลือกเข้าเป็นพระเถระรูปหนึ่งในการทำปฐมสังคายนาซึ่งมีจำนวน ๕๐๐ ในจำนวนนั้นพระเถระรูปอื่นเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น มีแต่พระอานนท์รูปเดียวยังเป็นเสขะบุคคล คือเป็นโสดาบัน ซึ่งจำจะต้องเลือกท่าน เพราะท่านจำทรงพระธรรมวินัยไว้ได้ทั้งหมด แต่ว่าพระกัสสปซึ่งเป็นประธาน ท่านก็กำชับว่า ให้พยายามปฏิบัติ ให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ก่อนที่จะเปิดสังคายนา ทำสังคายนา
เพราะฉะนั้น ในคืนวันรุ่งขึ้นที่จะทำสังคายนานั้น ท่านจึงได้พยายามปฏิบัติอย่างเต็มที่เพื่อที่จะให้ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ แต่อันที่จริงนั้นก็นับว่าท่านเป็นผู้ที่มีบารมีที่สั่งสมมาปฏิบัติมาอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จอยู่นั่นเอง จนท่านคิดว่าจะพักก็เอนองค์ลงเพื่อพัก ยังไม่ทันที่จะถึงอิริยาบถนอน ท่านก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นในขณะนั้น ที่แสดงว่าสำเร็จในระหว่างอิริยาบถทั้ง ๔
ในข้อนี้นักธรรมะได้วิจารณ์ว่า การที่ท่านไม่สำเร็จก่อนแต่นั้น เพราะเหตุว่าท่านมีตัณหาคือความอยากจะสำเร็จ เมื่อมีตัณหาอยู่ ตัณหานี้เองเป็นเครื่องกั้นไม่ให้บรรลุมรรคผลชั้นสูงสุดได้ (เริ่ม) แต่ครั้นเมื่อท่านเอนองค์ลงเพื่อพักก็แปลว่าท่านวางตัณหา คือความอยากสำเร็จ เมื่อวางลงก็สำเร็จทันที สิ้นกิเลสทันที เพราะว่าที่ยังติดอยู่ก็เพราะตัณหาคืออยากสำเร็จนี่แหละ ครั้นวางความอยากสำเร็จได้แล้วก็สำเร็จทันที อันนี้แหละเป็น สามีจิ คือปฏิบัติเหมาะ คือต้องวาง
เหมือนอย่างว่าลูกบอล หรือลูกโป่งที่เป่าลมเข้าไป ก็เต็มแล้ว แต่ยังเอามือจับอยู่ ลูกโป่งนั้นก็ยังพร่องอยู่หน่อยหนึ่งก็ไอ้ตรงที่มือจับ ไม่กลมเต็มที่แต่เมื่อปล่อยมือที่จับออกแล้วลูกโป่งนั้นก็กลมเต็มที่ ฉันใดก็ดี ท่านพระอานนท์ก็ฉันนั้น ตัณหานั้นเองเป็นเครื่องที่กั้นเอาไว้ไม่ให้ท่านสำเร็จ เมื่อท่านวางตัณหาก็สำเร็จทันทีในขณะที่วางตัณหานั้น เพราะท่านบำเพ็ญธรรมปฏิบัติหรือบารมีมาอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว
เพราะฉะนั้นความเป็น สามีจิ ชอบยิ่งนี้จึงมีความหมายว่า ความเป็นมรรคสมังคี ความพร้อมเพียงกันของมรรคมีองค์ ๘ หรือความพร้อมเพรียงกันของ ศีล สมาธิ ปัญญาไตรสิกขา เป็นมรรคสมังคีไม่บกพร่อง เพราะฉะนั้น ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม หรือปฏิบัติเพื่อผลที่พึงบรรลุ จึงต้องมี สามีจิปฏิปันนะ ปฏิบัติชอบยิ่งประกอบเข้าอีกข้อหนึ่ง จึงจะให้บังเกิดผลกำจัดกิเลสได้บางส่วนจนถึงสิ้นเชิง เป็นอริยะบุคคล อันนับเข้าเป็นสาวกสังฆะ คือเป็นสังฆรัตนะ ในไตรรัตนะ ในพุทธศาสนา
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป