แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
จะแสดงพระสังฆคุณเพื่อเป็นสังฆานุสติ ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ อันเป็นรัตนะที่ ๓ ในพุทธศาสนา ในข้อ สุปฏิปันโน ภควโต สาวกสังโฆ สงฆ์คือหมู่แห่งสาวกคือผู้ฟัง คือศิษย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าสุปฏิปันโน ปฏิบัติดีแล้ว แม้จะได้แสดงมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่พระสังฆคุณบทนี้อันเป็นบทนำ ก็มีทางที่พึงแสดงเพิ่มเติม ให้เป็นอนุสติเป็นที่ระลึกถึงพระสังฆคุณได้อีก
ผู้ปฏิบัติดีแล้วนั้นก็ได้กล่าวแล้วว่า ท่านปฏิบัติเสร็จแล้วตามขั้นตอนแห่งอริยสงฆ์ ตามที่เป็นพระสงฆ์ในพระรัตนตรัย แต่ในเบื้องต้นก็ต้องอาศัยการปฏิบัติดีมาโดยลำดับ ซึ่งเราทั้งหลายปฏิบัติกันอยู่ ดังเช่นปฏิบัติดีที่เป็น ทิฏฐธัมมิกัตถะ ประโยชน์ปัจจุบัน และ สัมปรายิกัตถะ ประโยชน์ภายหน้า ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้ อันนับว่ายังเป็นโลกิยะเกี่ยวอยู่กับโลก สำหรับผู้ที่ยังมีความเกี่ยวข้องอยู่กับโลก และปฏิบัติดีที่ยิ่งขึ้นไปก็คือปฏิบัติดีที่เป็น ปรมัตถประโยชน์ ประโยชน์อย่างยิ่ง อันหมายความว่าปฏิบัติมุ่งนิพพาน อันเป็นธรรมะเป็นที่สิ้นกิเลสและกองทุกข์
และการปฏิบัตินั้น ก็ปฏิบัติเข้าทางแห่งมรรคมีองค์ ๘ คือสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะความดำริชอบ ทั้งสองนี้นับเป็นปัญญาสิกขา สัมมาวาจาเจรจาชอบ สัมมากัมมันตะการงานชอบ สัมมาอาชีวะเลี้ยงชีวิตชอบ สามนี้นับเข้าเป็นสีลสิกขา สัมมาวายามะเพียรชอบ สัมมาสติ สติคือความระลึกชอบ สัมมาสมาธิ สมาธิคือความตั้งใจมั่นชอบ ทั้งสามนี้นับเป็นจิตตสิกขา หรือสมาธิ
การปฏิบัติเข้าทางดั่งนี้ ก็เพื่อโลกุตรธรรม คือไม่ต้องการจะเกี่ยวข้องกับโลก ต้องการจะพ้นโลก ก็คือพ้นกิเลสและกองทุกข์ ก็ที่เรียกว่าโลกนั้นต้องประกอบด้วยกิเลสและกองทุกข์ เมื่อต้องการพ้นกิเลสพ้นทุกข์ ก็เป็นการพ้นโลก ที่เราเรียกว่าโลกุตระ อันแปลว่าเหนือโลก หรือโลกอุดร
โสตาปัตติยังคะ
พระพุทธเจ้าได้ตรัส โสตาปตฺติยงฺค คือองค์คุณที่สำหรับปฏิบัติให้บรรลุถึงกระแสแห่งธรรมะ อันเรียกว่าโสตาปัตติ ถ้าเป็นบุคคลก็เรียกว่าโสดาบัน อันเป็นพระอริยบุคคลชั้นแรก นัยหนึ่งก็ตรัสเอาไว้ว่าประกอบด้วยความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระพุทธะ ประกอบด้วยความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระธรรม ประกอบด้วยความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ ประกอบด้วย อริยกันตศีล คือศีลที่พระอริยะต้องการ อันได้แก่ศีลที่เป็นสีลวิสุทธิ คือศีลที่บริสุทธิ์ ไม่ขาดเป็นท่อน ไม่ทะลุเป็นช่อง ไม่ด่างไม่พร้อย เป็นไทไม่เป็นทาสแห่งความปรารถนา ไม่ถูกกิเลสรบกวน ลูบคลำ อันทำให้เศร้าหมอง อันวิญญูคือผู้รู้สรรเสริญ เป็นไปเพื่อสมาธิ เป็นองค์คุณ ๔ ประการ
และอีกนัยหนึ่งได้ตรัสไว้ว่า สัปปุริสูปสังเสวะ เสพคือคบหาสัตบุรุษคนดี สัทธัมมัสสวนะ ฟังสัทธรรมของสัตบุรุษคือคนดี โยนิโสมนสิการะ ทำไว้ในใจโดยแยบคาย คือพิจารณาจับเหตุจับผลให้เข้าใจ ธรรมานุธรรมปฏิปัติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ในข้อว่าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมนี้ ได้มีพระพุทธาธิบายไว้เป็นอย่างสูง อันหมายความว่ามุ่งถึงเป้าหมายของพุทธศาสนา อันเป็นหลักใหญ่ของพระสังฆคุณโดยตรง ซึ่งมีอยู่ทั้งในพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ อันนับว่าเป็นวัตถุที่บริสุทธิ์ด้วยกัน
คือได้มีผู้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ชื่อว่า พระธรรมกถึก คือผู้แสดงธรรมผู้กล่าวธรรม ด้วยประการอย่างไร ชื่อว่าเป็น ธรรมานุธรรมปฏิปันนะ ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ด้วยประการอย่างไร ชื่อว่าเป็น ผู้บรรลุถึงนิพพาน คือความดับกิเลสและกองทุกข์ด้วยประการอย่างไร พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบว่า ชื่อว่าเป็นธรรมกถึกผู้กล่าวธรรมผู้แสดงธรรม ก็ด้วยแสดงธรรมเพื่อนิพพิทาความหน่าย วิราคะความสิ้นติดใจยินดี นิโรธะความดับความเพลิดเพลิน ความยึดถือรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ แสดงธรรมดั่งนี้เรียกว่าธรรมกถึก
ปฏิบัติธรรมอย่างไรชื่อว่าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ก็คือปฏิบัติเพื่อนิพพิทาความหน่าย วิราคะความสิ้นติดใจยินดี นิโรธะความดับความเพลิดเพลินความติดยึดถือรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ปฏิบัติดั่งนี้เรียกว่าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม และที่เรียกว่าผู้บรรลุทิฏฐะธรรมนิพพานคือนิพพานในปัจจุบัน ก็ด้วยวิมุติคือหลุดพ้นเพราะหน่ายสิ้นติดใจยินดีดับ ไม่ยึดมั่นรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ดั่งนี้
ตามพระพุทธพยากรณ์ที่ยกมาอ้างนี้ ตรัสยกเอาขันธ์ ๕ ขึ้นเป็นที่ตั้ง ในที่อื่นก็ตรัสยกเอาอายตนะภายในภายนอกขึ้นเป็นที่ตั้งบ้าง สังขารทั้งปวงขึ้นเป็นที่ตั้งบ้าง โลกทั้งปวงขึ้นเป็นที่ตั้งบ้าง ตามหลักแห่งพระพุทธศาสนา ที่รวมอยู่ในคำว่า สัพเพธัมมานาลัง อภินิเวสายะ ธรรมทั้งปวงไม่ควรเพื่อยึดมั่น ดั่งนี้ แต่ในการที่ตรัสแสดงยกขึ้นชี้นั้น ก็ตรัสยกเอาข้อนั้นบ้างข้อนี้บ้าง และก็รวมเข้าในคำว่าธรรมทั้งปวงหรือธรรมทั้งหมดคือทุกสิ่งทุกอย่างไม่ควรเพื่อยึดมั่น
อะไรคือนิพพาน
และอะไรคือนิพพานนั้น ก็ได้มีปริพาชกผู้หนึ่งถามท่านพระสารีบุตร ว่าที่เรียกว่านิพพานๆ นั้นคืออะไร ท่านพระสารีบุตรก็ตอบว่า ได้แก่ราคัคคโย ธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งราคะความติดใจยินดีโทสัคคโย ธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งโทสะความกระทบกระทั่งขัดเคืองโกรธแค้นโมหัคคโย ธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งโมหะคือความหลง ดั่งนี้ ปริพาชกนั้นก็ถามต่อไปว่ามีทางที่จะทำให้แจ้งนิพพานหรือไม่ ท่านพระสารีบุตรก็ตอบว่ามี ปริพาชกก็ถามว่าทางไหน อะไร ท่านพระสารีบุตรก็ตอบว่าคือทางที่เป็นอริยะมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้นดังที่กล่าวแล้ว
พราหมณ์ได้ถามว่าในธรรมวินัยนี้อะไรที่ทำได้ยาก ท่านพระสารีบุตรก็ตอบว่าบรรพชา เป็นข้อที่ทำได้ยาก พราหมณ์ก็ถามต่อไปว่าผู้ที่บรรพชาแล้วคือบวชแล้วจะมีอะไรที่ทำได้ยาก ท่านพระสารีบุตรก็ตอบว่าอภิรติ คือความยินดียิ่งในการบวชทำได้ยาก พราหมณ์ปริพาชกก็ถามต่อไปว่าผู้ที่มีความยินดียิ่งในการบวชแล้วยังจะมีอะไรที่ทำได้ยากอีก ท่านพระสารีบุตรก็ตอบว่า ธรรมานุธรรมปฏิปัติ การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ธรรมานุธรรมะปฏิปัติ
(เริ่ม) ในข้อนี้ก็หมายถึงว่าการปฏิบัติธรรมของผู้ปฏิบัติทุกคน ถ้าเป็นบรรพชิตก็คือการปฏิบัติอยู่ในศีลสมาธิปัญญาที่เป็นไตรสิกขาของผู้ปฏิบัติ หรือแม้ว่าเป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน ก็เป็นผู้ปฏิบัติอยู่ในศีลสมาธิปัญญา หรือไตรสิกขาที่ลดลงมาของตนๆ การปฏิบัติของตนๆ ดั่งนี้ที่จะให้สมควรแก่ธรรม คือสมควรด้วยเป็นธรรมะอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สมควรตามความมุ่งหมายของธรรมะที่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
การปฏิบัติของทุกๆ คนที่จะให้เหมาะให้สม ให้ควรแก่ธรรมะที่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ดั่งนี้ เป็นการที่ทำได้ยาก เพราะอะไร ก็เพราะว่าธรรมะที่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น จะเป็นเบื้องต้นก็ตาม เบื้องกลางก็ตาม เบื้องสูงก็ตาม ล้วนแต่มีธรรมรส รสของธรรมเป็นอย่างเดียวกัน และรสของธรรมนั้นก็คือวิมุติความหลุดพ้น อันได้แก่ความพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ ก็หมายถึงจิตนี้เองที่พ้นจากกิเลสและกองทุกข์
วิมุติชั่วคราว
และวิมุติคือความหลุดพ้นนี้ก็ได้ตรัสไว้ทั้งอย่างสูง ทั้งอย่างปานกลาง ทั้งอย่างต่ำลงมา คือแม้ว่าเป็นความหลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง แม้ชั่วครั้งชั่วคราว อันเกิดจากการปฏิบัติธรรม ก็เป็นวิมุติได้ เช่นว่าเกิดความโกรธขึ้นมา ก็แผ่เมตตาจิตออกไปดับโกรธ โกรธก็ดับได้ด้วยอำนาจของเมตตาที่แผ่นั้น ดั่งนี้ก็เป็นวิมุติได้คือพ้นโกรธ หรือว่าเกิดราคะความติดใจยินดีขึ้นมา หรือโลภะความโลภอยากได้ขึ้นมา ก็ปฏิบัติธรรมเช่นเจริญกายคตาสติ สติที่ไปในกายพิจารณาให้เห็นว่าเป็นของที่ปฏิกูลไม่สะอาด พิจารณาว่าสิ่งที่อยากได้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะ ไม่ให้บังเกิดประโยชน์เป็นความสุข ก็ดับความโลภดับราคะลงได้ จิตสงบ ดั่งนี้ก็เป็นวิมุติอย่างหนึ่งชั่วคราวเฉพาะเรื่องๆ ซึ่งต่อไปเมื่อประสบอารมณ์ต่างๆ ก็เกิดราคะ โลภะ หรือเกิดโทสะขึ้นมาอีก ก็ปฏิบัติธรรมะแก้ที่จิตใจของตนเอง ดับลงได้ก็เป็นวิมุติอย่างหนึ่งๆ ดั่งนี้ก็เป็นวิมุติ
ธรรมะทุกระดับมีวิมุติเป็นรส
ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนนั้นทุกข้อทุกบท จะเป็นระดับศีลก็ตาม ระดับสมาธิก็ตาม ระดับปัญญาก็ตาม ทุกระดับทุกข้อล้วนมีวิมุติเป็นรสดั่งนี้เหมือนกันหมด ตรัสเทียบเหมือนอย่างว่า เหมือนอย่างมหาสมุทร น้ำในมหาสมุทรมีความเค็มเป็นรสเหมือนกันหมด เมื่อบุคคลยืนอยู่ที่ริมฝั่งทะเลเอามือแตะน้ำในมหาสมุทรมาแตะที่ลิ้นก็ย่อมจะได้รสเค็ม หรือไปอยู่กลางมหาสมุทรอันลึก เอามือแตะน้ำมาแตะที่ลิ้นก็ย่อมจะได้รสเค็มเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้น ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนย่อมมีวิมุติคือความหลุดพ้นเป็นรสดั่งนี้
เพราะฉะนั้น เมื่อปฏิบัติธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน จะเป็นขั้นสรณคมน์ ขั้นศีล ๕ หรือศีลข้อใดข้อหนึ่ง หรือศีล ๘ หรือศีลที่สูงขึ้นมา จะเป็นคฤหัสถ์เป็นบรรพชิต จะปฏิบัติธรรมะข้อไหน ถ้าในนวโกวาทก็ตั้งแต่ทุกะหมวด ๒ เป็นต้น ทุกข้อทุกบท หรือจบพระไตรปิฎกทั้งหมด ก็ล้วนแต่มีวิมุติเป็นรสดั่งนี้เหมือนกันหมด เพราะฉะนั้น ทุกคนผู้ปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติแล้วได้รสของธรรมะดั่งนี้ คือวิมุติความหลุดพ้น คือใจพ้นจากราคะโทสะโมหะ พ้นจากโลภโกรธหลง พ้นจากตัณหาความดิ้นรนทะยานอยากเป็นต้น ความทุกข์ก็ผ่อนคลายลงไป เมื่อปฏิบัติได้ผลดั่งนี้จึงจะเป็นการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าปฏิบัติยังไม่ได้ผลดั่งนี้ก็ยังไม่สมควรแก่ธรรม
ทุกคนสามารถจะปฏิบัติให้ได้รับผล คือความหลุดพ้นดังกล่าวนี้ ที่เป็นขั้นสามัญได้ทุกคนตั้งแต่เริ่มต้นปฏิบัติ บางอย่างก็อาจจะได้รับผลโดยที่ตนเองไม่รู้ เช่นว่าเมื่อปฏิบัติในศีล ก็ย่อมได้รับวิมุติคือความหลุดพ้นจากภัยเวรทั้งหลาย และในการปฏิบัติศีลนั้นก็ย่อมจะได้รับความทุกข์เพราะการปฏิบัติอยู่ด้วย ทั้งทางกายทั้งทางใจ เช่นเมื่อรับศีล ๘ เว้นจากบริโภคอาหารในเวลาวิกาล หลังวิกาลไปแล้ว ตั้งหลังเที่ยงไปแล้วบริโภคไม่ได้ ร่างกายก็เกิดทุกข์เหมือนกัน เช่นว่าหิวระหาย ก็เป็นทุกข์กาย และต้องทุกข์ใจก็มีเหมือนกัน เช่นว่าจิตนั้นต้องการจะละเมิด แต่ทำไม่ได้เพราะศีลห้ามอยู่ อยากจะทำนั่นทำนี่ก็ทำไม่ได้เพราะศีลห้ามอยู่ ยิ่งรักษาศีลมากมีข้อห้ามมาก ก็มีข้อที่ทำไม่ได้มากขึ้น อยากจะทำก็ทำไม่ได้ ก็ทำให้จิตกลัดกลุ้มเป็นทุกข์ เมื่อเป็นดั่งนี้ก็โทษศีล ว่าศีลไม่ให้สุข ศีลให้เกิดทุกข์ แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้วก็จะเห็นว่า อันที่จริงนั้นศีลไม่ได้ให้เกิดทุกข์ สิ่งที่ให้เกิดทุกข์นั้น คือตัณหาความดิ้นรนทะยานอยากในใจของตนเอง เมื่อก่อนถือศีลนั้นก็อาจจะปล่อยกายปล่อยใจไปตามตัณหาได้ หรือว่าจะยกเอาโลภโกรธหลง หรือราคะโทสะโมหะขึ้นมาก็ได้ เมื่อเกิดราคะโทสะโมหะ หรือโลภโกรธหลงขึ้นมา ศีลก็ห้ามไว้ ไม่ให้ทำอย่างนั้นไม่ให้ทำอย่างนี้ แต่เมื่อยังไม่ได้ถือศีลก็ทำได้
เพราะฉะนั้น ความทุกข์ที่บังเกิดขึ้นในขณะที่ถือศีลนั้น ไม่ใช่โทษของศีล แต่โทษของกิเลสที่บังเกิดขึ้นครอบงำจิตใจ อันนี้แหละที่เรียกว่าเป็นศีลที่ถูกกิเลสลูบคลำจับต้อง ลักษณะเป็นดั่งนี้เอง เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้สติใช้ปัญญาพิจารณาให้รู้จักว่า ความทุกข์นี้เกิดขึ้นเพราะอะไร และเมื่อพิจารณาแล้วก็จะรู้ว่าไม่ใช่เกิดเพราะศีล แต่เกิดเพราะกิเลสดั่งที่กล่าวมานั้น แต่ว่าศีลนั้นให้เกิดคุณ คือความที่เป็นวิมุติหลุดพ้นจากภัยเวรทั้งหลาย และเป็นทางระงับดับตัณหาดับราคะโทสะโมหะ ป้องกันไว้ไม่ให้บุคคลปฏิบัติไปตามอำนาจของกิเลส เป็นทาสของกิเลส ดั่งนี้เป็นต้น นี้แหละคือตัวโยนิโสมนสิการ ที่แปลว่าทำไว้ในใจโดยแยบคาย อันเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าขาดข้อนี้เสียแล้วก็ไม่สามารถจะปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมได้ เพราะฉะนั้นท่านจึงว่าไว้เป็นข้อที่ ๓ แต่ต้องมีกำกับอยู่แล้วจึงถึงข้อปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
การปฏิบัติที่บ่ายหน้าไปสู่นิพพาน
และเมื่อสามารถปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมได้แล้ว ได้รู้จริงถึงคุณและโทษของธรรมปฏิบัติกับของกิเลส ว่ากิเลสนั้นเองให้เกิดโทษเกิดทุกข์ แต่ธรรมปฏิบัตินั้นให้เกิดสุข ให้เกิดวิมุติความหลุดพ้น คือให้ใจผ่องพ้นได้โดยส่วนเดียว ดั่งนี้แล้ว จะทำให้ทวีการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติเมื่อไรก็ได้ผลเป็นความหลุดพ้น ทำให้ใจผ่องพ้นได้เมื่อนั้น และจะทำให้เกิดฉันทะความพอใจในการปฏิบัติธรรมยิ่งขึ้น เพราะเห็นประโยชน์ ไม่ใช่เห็นโทษ แต่ถ้าขาดโยนิโสมนสิการแล้วจะเห็นโทษ และจะทำให้ท้อถอยในการปฏิบัติธรรม
อันนี้แหละ คือเป็นการปฏิบัติที่เรียกว่าบ่ายหน้าไปสู่นิพพาน คือความดับทุกข์ในที่สุด อันเป็นนิพพานที่เป็นดับทุกข์ ดับกิเลสและกองทุกข์ได้สิ้นเชิง แม้จะอยู่ไกล คือแปลว่ายังไม่สามารถจะบรรลุถึงได้ในบัดนี้เมื่อนี้ แต่เมื่อหันหน้าไปสู่นิพพาน คือปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมดั่งนี้แล้ว ก็เรียกว่าเป็นการที่เดินใกล้นิพพานเข้าไปทุกที ตามที่ท่านพระสารีบุตรได้แสดงไว้ว่า คือธรรมะเป็นที่สิ้นราคะโทสะโมหะ นี่คือนิพพาน อันเป็นการแสดงอย่างให้เข้าใจได้ง่ายที่สุด
การบวชทำได้ยาก
และผู้ที่ปฏิบัติมาดั่งนี้ คือเป็นผู้ที่ทำสิ่งที่ทำได้ยาก ที่ท่านพระสารีบุตรท่านได้ตอบแก่ปริพาชกผู้นั้น ในธรรมวินัยนี้การบวชทำได้ยาก และการบวชนั้นถ้าแปลตามศัพท์ก็การเว้น ก็หมายคลุมได้ตลอดจนถึงผู้ที่ถือศีล ตั้งแต่ศีล ๕ ขึ้นมา ที่ว่าบวชได้เพราะเป็นผู้ที่เว้น เว้นจากภัยจากเวร และเมื่อปฏิบัติในศีลได้ก็แปลว่าทำสิ่งที่ทำยากนั้นได้
คราวนี้ครั้นถือศีลได้ หรือว่าบวชได้แล้ว ก็ยังมียากอีกที่จะให้มีความยินดียิ่งอยู่ในศีล หรือในบรรพชาการบวชนั้น เพราะฉะนั้น จึงจะต้องมีโยนิโสมนสิการดังที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อเกิดความเบื่อหน่าย เกิดความระอาท้อถอยขึ้นก็ต้องจับให้ถูก ว่าไม่ใช่เกิดจากศีล หรือธรรมปฏิบัติ แต่เกิดจากกิเลส เพราะว่าการปฏิบัติธรรมะนั้นทวนกระแสกิเลส ทวนกระแสของตัณหาโลภโกรธหลง ไม่ปล่อยไปตามอำนาจของกิเลส เพราะฉะนั้นจึงทำให้เกิดความเบื่อหน่ายท้อถอย เกิดความทุกข์เดือดร้อน แต่เมื่อรู้ว่านี่เกิดจากกิเลส ส่วนธรรมปฏิบัตินั้นเกิดสุข เกิดวิมุติความหลุดพ้น อันเป็นคุณโดยส่วนเดียว เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วก็จะประคองความยินดียิ่งในการเว้นคือศีล หรือการบรรพชาการบวชให้ดำเนินต่อไปได้
และแม้ว่าจะมีความยินดียิ่งในการบวชแล้วก็ไม่ใช่หมายความว่า บวชแล้วก็กินนอนอยู่เฉยๆ หรือว่าถือศีลก็ถืออยู่แค่ศีลเท่านั้น ศีล ๕ เท่านั้น ควรจะต้องต่อเป็นสมาธิเป็นปัญญาขึ้นไปด้วย คือปฏิบัติให้สูงขึ้นไป เพื่อให้ได้วิมุติคือความหลุดที่จะทำให้ใจผ่องพ้นนั้นสูงขึ้นๆ อันเรียกว่าธรรมานุธรรมะปฏิบัติ แม้บวชแล้วหรือเว้นเรียกแปลว่าถือศีลได้แล้ว ก็ยังมีข้อยาก ก็คือการที่จะปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมที่ยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะฉะนั้นก็ต้องปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมที่ยิ่งๆ ขึ้นไป รักษาศีลแล้วก็ต้องปฏิบัติในสมาธิปฏิบัติในปัญญาต่อขึ้นไปโดยลำดับ แล้วหากว่าปฏิบัติให้เป็นธรรมานุธรรมปฏิบัติได้จริงๆ แล้ว
พราหมณ์ปริพาชกผู้นั้นก็ยังถามท่านไปว่า กว่าจะเป็นพระอรหันต์ได้นั้นนานเท่าไหร่ ท่านพระสารีบุตรก็ตอบว่าไม่นาน ถ้าสามารถปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรมได้แล้ว ไม่นาน ก็จะเป็นพระอรหันต์ได้ ก็หมายความว่าสามารถจะบรรลุถึงภูมิอันสูงสุดได้ แม้ในทิฏฐะธรรมคือในปัจจุบัน ที่เรียกว่าบรรลุนิพพานในปัจจุบันที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เพื่อให้ได้ธรรมรสขึ้นไปโดยลำดับ ดั่งนี้ เป็นสุปฏิปัติ ปฏิบัติดี และเมื่อเป็นสุปฏิปันโน ปฏิบัติดีแล้วไปโดยลำดับ ก็ย่อมจะได้ภูมิชั้นที่สูงขึ้นไปโดยลำดับ จนเป็นอริยะบุคคลเข้าหมู่อริยะสงฆ์ในพุทธศาสนา
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจปฏิบัติสืบต่อไป