แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
สวากขาโต ภควตาธัมโม ธรรมะอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้วสันทิฏฐิโก อันผู้ปฏิบัติผู้ได้บรรลุ หรือรวมเรียกว่าวิญญูผู้รู้พึงรู้เฉพาะ หรือวิญญูพึงเห็นได้เอง อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา เอหิปัสสิโก ควรเรียกให้มาดู โอปนยิโก ควรน้อมเข้ามาปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ อันวิญญูคือผู้รู้พึงรู้เฉพาะตน
อันวิญญูคือผู้รู้นี้ ก็คือผู้ที่ปฏิบัติทำสติและปัญญาให้บังเกิดขึ้นในธรรม ด้วยการปฏิบัติทำสติปัฏฐานคือตั้งสติในกายเวทนาจิตธรรม ปฏิบัติทำโพชฌงค์ซึ่งเป็นองค์คุณแห่งความรู้ให้บังเกิดขึ้น ตามหลักโพชฌงค์ ๗ ตั้งแต่สติที่เพื่อรู้ทางปัญญา จนถึงอุเบกขาความเข้าเพ่งสงบอยู่ในภายใน ด้วยความรู้ (เริ่ม) สงบ อันเป็นภาวะที่จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ และเป็นภาวะที่รู้สงบอยู่ ไม่ยึดถืออะไรๆ เป็นผู้ดู เป็นผู้รู้อยู่ในภายใน และเมื่อเป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ก็น้อมจิตที่เป็นอุเบกขานี้เพื่อรู้ขันธ์ ๕ เป็นทุกขสัจจะสภาพที่จริงคือทุกข์ ก็เลื่อนชั้นของความรู้ขึ้นเป็นรู้ในสัจจะ ซึ่งจะพบทุกขสัจจะสภาพที่จริงคือทุกข์จากขันธ์ ๕ ที่น้อมจิตเพื่อรู้
สภาวทุกข์ ทุกข์ตามสภาพ
และเมื่ออาศัยอธิบายที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาโปรดแสดงธรรมอยู่จำเพาะหน้า ว่าเกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ ซึ่งเป็นสภาวทุกข์ ทุกข์ตามสภาพ จนถึงกล่าวโดยย่อ ขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการ อันเรียกว่าอุปาทานขันธ์ ขันธ์เป็นที่ยึดถือเป็นทุกข์ ก็คือรูปขันธ์กองรูป ก็ดูรูปกายนี้ที่ตน เวทนาขันธ์เป็นทุกข์ ก็ดูเวทนานี้ที่ตน สัญญาขันธ์เป็นทุกข์ ก็ดูสัญญานี้ที่ตน สังขารขันธ์เป็นทุกข์ ก็ดูสังขารความคิดปรุงหรือปรุงคิดที่ตน วิญญาณขันธ์เป็นทุกข์ ก็ดูวิญญาณขันธ์ วิญญาณความรู้เห็น รู้ได้ยิน รู้ทราบกลิ่น ทราบรส ทราบโผฏฐัพพะ รู้เรื่องที่ใจคิดที่ตน
พระพุทธเจ้าตรัสว่ารูปขันธ์ ก็ดูรูปขันธ์ที่ตนเป็นต้นดั่งนี้ ก็จะได้เห็นว่ารูปเป็นอย่างนี้ เวทนาเป็นอย่างนี้ สัญญาเป็นอย่างนี้ สังขารเป็นอย่างนี้ วิญญาณเป็นอย่างนี้ และเมื่อดูเห็นพบขันธ์ ๕ ที่ตนเองดั่งนี้ ก็ย่อมจะได้เห็นได้พบความเป็นไปของขันธ์ ๕ ที่ตน
พระพุทธเจ้าได้ตรัสบอกอีกว่า ความเกิดขึ้นของรูป ของเวทนา ของสัญญา ของสังขาร ของวิญญาณ อย่างนี้ ก็ดูที่ขันธ์ ๕ ที่ตนเองดังกล่าว ความเกิดขึ้นของขันธ์ ๕ ที่ตนเองก็จะปรากฏ พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่าความดับของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างนี้ ก็ดูที่ขันธ์ ๕ ที่ตนเอง ความดับของขันธ์ ๕ ที่ตนเองก็จะปรากฏ เพราะฉะนั้น
พระพุทธเจ้าทรงเป็นสรณะคือที่พึ่ง ก็เป็นที่พึ่งอย่างนี้ และที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาบอกนี้ ก็โดยที่ได้ระลึกถึงคำสั่งสอน ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัส สั่งสอนไว้ดังกล่าว และในขณะที่ปฏิบัติเมื่อถึงขั้นตอนที่เป็นตัวปัญญา หากปัญญาของตนเองยังไม่อาจที่จะก้าวไปเข้าถึงได้ ก็ต้องอาศัยพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ คือที่พึ่ง ระลึกได้ถึงคำสั่งสอนที่ทรงสั่งสอนไว้ อันได้ฟังได้อ่านได้กำหนดไว้ในใจแล้ว จึงเป็นเหมือนอย่างเสด็จมาสอนมาเตือน และลักษณะดังที่กล่าวมานี้ได้มีแสดงไว้ในตำนานทางพระพุทธศาสนา ถึงพระภิกษุผู้ปฏิบัติธรรมบางรูปที่เมื่อได้ปฏิบัติธรรม จิตได้ล่วงเข้าไปถึงประตูของความตรัสรู้ หรือของความเห็นธรรม แต่ว่าอาศัยที่ปัญญายังอ่อน ยังไม่อาจที่จะก้าวเข้าไปได้ ท่านก็ปรากฏเห็นพระพุทธเจ้ามาตรัสบอกธรรมะ และเมื่อได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสบอกธรรมะแล้ว ก็ได้ปัญญาเห็นธรรม จิตอันประกอบด้วยปัญญาก็ล่วงเข้าไปสู่ประตูของธรรมะได้ เห็นธรรมได้
แม้ผู้ปฏิบัติในปัจจุบันนี้ พิจารณาดูแล้วก็เช่นเดียวกัน ลำพังปัญญาของตนเองยังไม่อาจที่จะล่วงประตูของธรรมะเข้าไปได้ ก็ต้องอาศัยพระพุทธเจ้าเป็นสรณะคือที่พึ่ง ก็คือระลึกถึงธรรมะที่ทรงสั่งสอน และพิจารณาไปธรรมะที่ทรงสั่งสอน น้อมเข้ามาดูที่ตนตามที่ทรงสั่งสอน โดยอาศัยคำสั่งสอนของพระองค์ เหมือนอย่างดวงประทีปที่ส่องให้มองเห็นทาง ก็ลืมตาดู ก็จะเห็นทาง เห็นทางดำเนินเข้าไปสู่ธรรมะ
เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมะที่เป็นสาวกภูมิ ภูมิแห่งพระสาวกทุกท่าน ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลมาจนปัจจุบัน จึงต้องอาศัยประทีปที่พระพุทธเจ้าทรงส่องให้มองเห็นทาง และผู้ปฏิบัติทุกคนก็มีดวงตา เมื่อลืมตาขึ้นก็จะเห็นทางปฏิบัติได้ และก็ดำเนินไปได้ แต่ทั้งนี้ก็จะต้องปฏิบัติให้ดวงตาที่จะมองเห็นทางนี้เป็นดวงตาที่แจ่มใส และเป็นดวงตาที่ลืมตามองดู และดวงตาที่แจ่มใส และลืมตามองดูนั้น ก็จะต้องเป็นดวงตาที่ได้ชำระล้างจากเครื่องปกปิดทั้งหลาย ด้วยสติปัฏฐาน ด้วยโพชฌงค์มาโดยลำดับ และเมื่อผ่านสติปัฏฐานผ่านโพชฌงค์แล้ว จึงจะมองเห็นทางเข้าประตูของธรรมะได้
พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้โดยปริยายเป็นอันมาก ว่าขันธ์ ๕ นั้นแต่ละข้อมีลักษณะเป็นอย่างนี้ๆ ความเกิดขึ้นของขันธ์ ๕ เป็นอย่างนี้ๆ ความดับของขันธ์ ๕ เป็นอย่างนี้ๆ เพราะฉะนั้นตามที่ทรงสั่งสอนไว้นี้ ต้องอาศัยสติที่ระลึกได้ว่าทรงสั่งสอนไว้อย่างนี้ๆ และก็น้อมเข้ามาดูที่ตน เป็นธัมวิจัยที่ตน เลือกเฟ้นธรรมที่ตน ให้รู้ว่าที่ว่าเป็นอย่างนี้ๆ นั้น คืออย่างไหนบ้าง อย่างไหนบ้าง
ทุกขสัจจะ ๓ ประการ
เพราะฉะนั้นเมื่ออาศัยพระพุทธเจ้าทรงเป็นมัคคุเทศก์คือผู้นำทาง ชูดวงประทีปส่องให้มองเห็นทางดั่งนี้ จึงปฏิบัติเข้าสู่ทางได้ เห็นทุกขสัจจะสภาพที่จริงคือทุกข์ตามที่ตรัสสอนไว้ได้ ว่าเป็นทุกข์อย่างนี้ๆ ซึ่งลักษณะของความที่จะเป็นทุกข์อย่างนี้ๆ นั้น ท่านพระสารีบุตรได้แสดงสรุปเข้ามาเป็น ๓ คือทุกขทุกขตา ความเป็นทุกข์คือทุกข์ สังขารทุกขตา ความเป็นทุกข์คือสังขาร วิปรินามทุกข์ ความเป็นทุกข์คือวิปรินามะ
ข้อแรก พิจารณาเมื่อพิจารณาดูแล้ว ก็จะทำให้เข้าใจได้ว่าความเป็นทุกข์คือทุกข์นั้น ก็ได้แก่ความเป็นทุกข์คือทุกข์ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเอาไว้นั้นเอง ว่าความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์เป็นต้น สรุปลงก็คือขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการเป็นทุกข์ นี้คือทุกขทุกขตา ความเป็นทุกข์คือทุกข์
จึงมาถึง ข้อ ๒ สังขารทุกขตา ความเป็นทุกข์คือสังขาร ก็คือสรุปเข้าทั้งหมดได้ในคำเดียวว่า สังขาร คือสิ่งผสมปรุงแต่ง ความผสมปรุงแต่ง สิ่งผสมปรุงแต่ง เรียกว่าเป็นสังขารทั้งหมด และสิ่งที่ผสมปรุงแต่งทั้งสิ้นไม่ว่าอะไรทั้งนั้น จึงเป็นทุกข์ทั้งหมด ความผสมปรุงแต่งก็เช่นเดียวกัน ก็เป็นทุกข์ทั้งหมด
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสแสดง เมื่อชี้แจงจำแนกทุกข์เป็นอย่างๆ ไปตามอาการที่ปรากฏแล้ว จึงได้รวมเข้ามาในขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการ ตัวขันธ์ ๕นั้น ก็เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งนั้น รูปก็เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง ข้ออื่นๆ ก็เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง จึงรวมเข้าในคำว่าสังขารทั้งหมด แม้อุปาทานความยึดถือ ก็เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง ก็รวมเข้าในสังขารทั้งหมด เพราะฉะนั้น ความเป็นทุกข์ก็คือสังขาร คือสิ่งผสมปรุงแต่ง
สังขตลักษณะ
คราวนี้เพื่อจะชี้ให้ชัดว่าเป็นทุกข์อย่างไร จึงมาถึง ข้อ ๓ ความเป็นทุกข์คือ วิปรินามะ ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ก็เพราะว่าขึ้นชื่อว่าสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งดังที่แสดงไว้ในข้อ ๒ นั้น ย่อมมีลักษณะของสิ่งผสมปรุงแต่งอันเรียกว่า สังขตลักษณะ เป็น ๓ คือ
๑. อุปปาโท ปัญญายติ ความเกิดขึ้นปรากฏ
๒. วโย ปัญญายติ ความเสื่อมสิ้นไปปรากฏ
๓. ฐิตัสสะ อัญญะถัตตัง ปัญญายติ เมื่อยังตั้งอยู่ ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นปรากฏ คือความเป็นอย่างอื่นปรากฏ
เพราะฉะนั้น สังขารซึ่งต้องประกอบด้วยลักษณะทั้ง ๓ นี้จึงรวมเข้าในคำว่า วิปรินามะ คือความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป เกิดแล้วก็เสื่อมสิ้น ดับ นี่ก็เป็นความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่แปรปรวนเปลี่ยนแปลง เกิดแล้วก็ต้องไม่เสื่อมสิ้น ไม่ต้องดับ แต่เพราะเกิดแล้วก็ต้องเสื่อมสิ้น จึงชื่อว่าแปรปรวนเปลี่ยนแปลง และเมื่อตั้งอยู่ก็เป็นอย่างอื่นไปเรื่อยๆ ปรากฏ เช่นเมื่อเกิดมาเป็นเด็ก ก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลงจากความเป็นเด็กเล็ก เป็นเด็กใหญ่ขึ้นมา เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นผู้ใหญ่เป็นคนแก่ จนถึงแตกสลายในที่สุด ความเป็นอย่างอื่นนี้มีอยู่ตลอดเวลา ไม่มีหยุด ตั้งแต่เกิดจนถึงดับ
เพราะฉะนั้น จึงได้ตรัสเอาไว้ว่า เมื่อยังตั้งอยู่ก็มีความเป็นอย่างอื่นปรากฏ รวมเข้าทั้งหมดแล้วก็เข้าในคำว่า วิปรินามะ ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นข้อที่ ๓ วิปรินามทุกขตา ความเป็นทุกข์คือวิปรินามะความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ท่านพระสารีบุตรสรุปทุกข์ทั้งหมดเข้าเป็น ๓ ทุกข์ ดั่งนี้
ความหลงยึดถือด้วยอุปาทาน
ขันธ์ ๕ นี้ อันเป็นอุปาทานขันธ์ ขันธ์เป็นที่ยึดถือก็ประกอบด้วยทุกข์ทั้ง ๓ นี้ คือเป็น ทุกขทุกข์ เป็น สังขารทุกข์ เป็น วิปรินามทุกข์ แต่เพราะบุคคลยังมีอวิชชาคือความไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัวความจริง จึงมีโมหะคือความหลงยึดถือด้วยอุปาทาน คือความยึดถือ ว่านี่เป็นของเรา เราเป็นนี่ นี่เป็นอัตตาตัวตนของเรา
และสิ่งที่ยึดถือนี้ ก็มีคำเรียกสั้นอีกคำหนึ่งว่า อุปาทิ ซึ่งอุปาทินี้ข้อแรกก็คือ ขันธุปาทิ อุปาทิคือขันธ์ คำว่าอุปาทิก็คือสิ่งที่เข้ายึดถือด้วยอุปาทาน เมื่อเข้ายึดถือด้วยอุปาทานในสิ่งใด สิ่งนั้นก็เป็นอุปาทิขึ้นมา เป็นสิ่งที่เข้ายึดถือ เพราะฉะนั้นเมื่อเข้ายึดถือสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่านี่เป็นของเรา จึงเท่ากับว่ายึดถือทุกข์ว่าเป็นของเรา เราจึงต้องเป็นทุกข์ เข้ายึดถือตัวเราว่าเป็นสิ่งนี้ ตัวเราที่ยึดถือนี้จึงต้องเป็นอุปาทิ แล้วก็เป็นทุกข์ เข้ายึดถือว่าสิ่งนี้เป็นอัตตาตัวตนของเรา จึงได้เกิดอัตตาตัวตนที่เป็นตัวทุกข์ขึ้น
เพราะฉะนั้นเมื่อยังมีอุปาทานความยึดถือ และมีอุปาทิสิ่งที่ยึดถือกันอยู่ดั่งนี้ จึงไม่พ้นทุกข์ได้ และก็ทำให้ไม่มองเห็นว่าเป็นทุกข์ เมื่อมองไม่เห็นว่าเป็นทุกข์จึงยึดถือทุกข์ จึงต้องเป็นทุกข์ เมื่อสิ่งที่เป็นทุกข์นี้เกิด ก็ยึดว่าเราเกิด แก่ก็ยึดถือว่าเราแก่ ตายก็ยึดว่าเราตาย จึงต้องมีโสกะความโศก ปริเทวะความรัญจวนคร่ำครวญใจ มีไม่สบายกายไม่สบายใจ มีคับแค้นใจ ต้องมีพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่นัก ต้องมีประจวบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ต้องมีปรารถนาไม่สมหวัง ก็เพราะมีตัวปรารถนา ซึ่งเป็นตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก ประกอบกับอุปาทานคือความยึดถือดังที่กล่าวมา เป็นอุปาทานอุปาทิขึ้นมา จึงต้องเป็นทุกข์และไม่พ้นทุกข์ได้
เพราะเหตุว่าไม่เห็นทุกข์
และไม่มองเห็นว่าเป็นทุกข์ เมื่อไม่มองเห็นว่าเป็นทุกข์ก็ยังยึดถือทุกข์อยู่ ไม่ปล่อยทุกข์ เหมือนอย่างเมื่อกำก้อนถ่านไฟไว้ในมือ ไฟก็ไหม้มือร้อน แต่ก็ไม่เห็นว่าได้กำก้อนถ่านไฟไว้ ก็ยังกำอยู่นั่นเอง แล้วก็ร้องกันว่าร้อนอยู่..ร้อน แต่ก็ไม่ปล่อยก้อนถ่านไฟ ก็ไม่พ้นจากความร้อนได้ อันนี้ก็เพราะเหตุว่าไม่เห็นทุกข์ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนให้เห็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์ ไว้ด้วยปริยายคือทางเป็นอันมาก จึงต้องอาศัยพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ คือเอาธรรมะที่ทรงสั่งสอนนี้มาระลึกตรวจตราพิจารณา ให้มีสติอยู่ในธรรมที่ทรงสั่งสอนเสมอ และนำเข้ามาดูที่ตน ให้มองเห็นขันธ์ ๕ ที่ตน ให้มองเห็นทุกข์ที่ตน และเมื่อเป็นดั่งนี้ทุกข์ก็จะปรากฏขึ้นโดยลำดับ ก็จะเห็นทุกข์ขึ้นโดยลำดับ และก็จะปล่อยวางทุกข์ขึ้นโดยลำดับ
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป