แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
สวากขาโต ภควตา ธัมโม ธรรมะอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว สันทิฏฐิโก อันผู้ปฏิบัติผู้ได้บรรลุพึงเห็นเองอกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาลเวลาเอหิปัสสิโก ควรเรียกให้มาดูโอปนยิโก ควรน้อมเข้ามาปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ อันวิญญูคือผู้รู้พึงรู้เฉพาะตน
อันพระธรรมคุณทั้ง ๖ บทนี้ ย่อมมีอยู่ในพระธรรมทั้งที่เป็น ปริยัติธรรม คือเป็นคำสั่งสอน เป็น ปฏิบัติธรรม ธรรมคือปฏิบัติ เป็นปฏิเวธธรรม ธรรมะคือรู้แจ้งแทงตลอดทั้งหมด และผู้ที่เริ่มตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจเพ่งด้วยใจ พินิจพิจารณาธรรมะที่ฟังและกำหนดไว้ จดจำไว้ และขบเจาะด้วยทิฏฐิคือความเห็น อันได้แก่ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ย่อมเริ่มได้พระธรรมคุณไปโดยลำดับ และเมื่อน้อมนำมาปฏิบัติทางกายทางวาจาทางใจ ก็ย่อมได้พระธรรมคุณจากปฏิบัติยิ่งขึ้น และเมื่อปฏิบัติก็ย่อมได้รับผลของการปฏิบัติขึ้นทันที เมื่อกำหนดให้รู้จักผลที่ได้รับนั้น หรือแม้ยังกำหนดไม่ได้ ก็ย่อมได้พระธรรมคุณอันเป็นส่วนผลมากขึ้นโดยลำดับ
หลักปฏิบัติทั่วไปในกรรมฐานทั้งปวง
และดังที่ได้กล่าวแล้วว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงหลักปฏิบัติในโพชฌงค์ทั้ง ๗ เป็นหลักปฏิบัติทั่วไปในกรรมฐานทั้งปวง ทั้งสมถกรรมฐาน ทั้งวิปัสสนากรรมฐาน และแม้ในด้านปริยัติซึ่งเริ่มขึ้นด้วยการฟังหรือการอ่านดังที่ได้กล่าวแล้ว พระพุทธองค์ก็ตรัสสอนให้ใช้แนวปฏิบัติในโพชฌงค์ ๗ เช่นเดียวกัน
ดังที่ได้ตรัสไว้โดยใจความว่า เมื่อได้ฟังธรรมและตั้งใจระลึกถึงธรรมที่ได้ฟัง ดั่งนี้ ก็เป็นอันเริ่มปฏิบัติในสติสัมโพชฌงค์ องค์ของความรู้พร้อมคือสติ คือความระลึก คือระลึกได้ถึงธรรมะที่ได้ฟัง ก็เป็นสติสัมโพชฌงค์ขึ้นมา และเมื่อใคร่ครวญพิจารณาวิจัยเลือกเฟ้น ก็คือให้รู้จักว่านี้เป็นส่วนที่เป็นอกุศลมีโทษ นี้เป็นส่วนที่เป็นกุศลไม่มีโทษ ดั่งนี้เป็นต้น ก็เป็นอันว่าได้เริ่มปฏิบัติในธัมวิจยะสัมโพชฌงค์ และเมื่อวิจัยเลือกเฟ้นได้ดั่งนี้ที่ใจของตัวเอง ก็จะทำให้เกิดความเพียรละส่วนที่เป็นอกุศลมีโทษ อบรมส่วนที่เป็นกุศลมีคุณ ก็เป็นวิริยะสัมโพชฌงค์ เมื่อเป็นดั่งนี้ก็จะได้ปีติความอิ่มใจ ปัสสัทธิความสงบใจและกาย สมาธิความตั้งใจมั่น สงบ และอุเบกขาความเข้าเพ่งพินิจอยู่ในภายใน ในสมาธิที่ตั้งอยู่ในภายใน เพราะฉะนั้นก็เป็นอันว่าได้โพชฌงค์ขึ้นไปโดยลำดับทั้ง ๗ ข้อ
ดังจะได้แสดงสติปัฏฐานเป็นตัวอย่างโดยสรุป คือเมื่อได้ฟังสติปัฏฐานซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสสอนให้ตั้งสติ หรือทำสติให้ตั้งในกาย ในเวทนา ในจิต และในธรรม เมื่อได้ฟังได้กำหนดตามที่ทรงสั่งสอน ก็ย่อมจะระลึกได้ถึงสติปัฏฐานที่ทรงสั่งสอนนี้ ในข้อกายกำหนดที่กายตามที่ทรงสั่งสอน กำหนดเวทนาที่เวทนาตามที่ทรงสั่งสอน กำหนดจิตที่จิตตามที่ทรงสั่งสอน กำหนดธรรมที่ธรรมตามที่ทรงสั่งสอน ก็ย่อมจะได้ธรรมวิจัยความเลือกเฟ้นธรรมขึ้นมาโดยลำดับ คือจะรู้จักกายตามที่ทรงสั่งสอนที่กาย เวทนา จิตธรรม ก็เช่นเดียวกัน และจะรู้จักกาย เวทนา จิต ธรรม ภายในภายนอก ทั้งภายในทั้งภายนอก และธรรมดาของกาย เวทนา จิต ธรรมคือเกิดดับ และรวมกันทั้งเกิดทั้งดับ เป็นอันว่าได้วิจัยที่จิตใจของตัวเองนี้เอง ให้รู้จัก กาย เวทนา จิต ธรรม ตามที่ทรงตรัสสอนไว้ดั่งนี้ และให้มีสติกำหนดให้รู้จักดั่งนี้ แต่ให้พรากจิตออกเสียจากความยึดถือ ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ว่าเป็นตัวเราของเรา อันเป็นตัณหาอุปาทาน
และเมื่อกำหนดพิจารณาลงไปแล้ว เมื่อประมวลเข้าก็ย่อมจะได้ตัวสติที่เป็นตัวกำหนดนี้ พร้อมทั้งวิจัย คือปัญญาที่เลือกเฟ้นนี้ว่า ย่อมรวมเข้ามาอยู่ที่ธรรมะ คือย่อมรวมเข้ามา เป็นกุศลธรรมบ้าง อกุศลธรรมบ้าง อัพยากตธรรม ธรรมะที่เป็นกลางๆ บ้าง ทั้งหมดสำหรับกาย เวทนา จิต ธรรมที่เป็นกลางๆ ย่อมมีอยู่เป็นกลางๆ เพราะตัวกายเอง เวทนาเอง จิตเอง ธรรมะส่วนที่เป็นกลางๆ คือขันธ์ ๕ และอายตนะทั้ง ๖ ย่อมมีอยู่เป็นกลางๆ ไม่ใช่เป็นกุศลหรือ ไม่ใช่เป็นอกุศล รวมอยู่ในอัพยากตธรรม ธรรมะที่เป็นกลางๆ ทั้งหมด ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติธรรมดา ตามเหตุตามปัจจัย
เหมือนอย่างดินฟ้าอากาศ ต้นไม้ภูเขาอะไรทั้งหมด เป็นธรรมชาติธรรมดา ซึ่งเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยต่างๆ แต่เพราะว่าบุคคลมีอุปาทานความยึดถือ หรือมีสัญโญชน์ความผูกพัน จึงได้เป็นกิเลสขึ้นมาที่จิตใจนี้เอง ทำให้บังเกิดความยึดถือที่เป็นอุปาทานบังเกิดความผูกพัน และเมื่อแสดงตามหลักของปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้นก็สืบเนื่องมาที่มีอวิชชา คือความที่ไม่รู้จักสัจจะที่เป็นตัวความจริงนั้นเอง จึงทำให้บังเกิดโมหะคือความหลง
หลงอยากที่เป็นตัณหา หลงยึดที่เป็นอุปาทาน และหลงผูกพันที่เป็นตัวสัญโญชน์ และโดยเฉพาะก็คือ มีความหลงยึดถืออยู่ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม โดยตรงก็คือขันธ์ ๕ และอายตนะซึ่งเป็นกลางๆ นี้แหละ มีความหลงยึดถืออยู่ว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา เมื่อเป็นดั่งนี้จึงได้บังเกิดความทุกข์เดือดร้อนต่างๆ ตั้งต้นแต่ชาติทุกข์ ทุกข์คือชาติ และเมื่อมีความเกิดก็มีชราความแก่ มีมรณะความตาย มีโสกะ มีปริเทวะ เป็นต้น เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนให้ใช้สติกำหนดและวิจัยไปในสิ่งที่ยึดถือเหล่านี้ ตั้งต้นแต่กาย มาเวทนา มาจิต และมาถึงธรรมเอง
ธรรมดาของกาย เวทนา จิต ธรรม
เพราะว่าทั้ง ๔ นี้ก็เป็นสิ่งที่รวมกันอยู่ประกอบกันอยู่ เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ จึงปรากฏเป็นอัตภาพภาวะเป็นตัวเราเป็นของเรา ที่เรียกกันว่าอัตภาพ หรืออัตตาตัวตน หรือตัวเราของเรา โดยที่ใช้สติกำหนดดู ให้รู้จัก กายเอง เวทนาเอง จิตเอง และธรรมะคือขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ เอง ดูให้รู้จักภายในภายนอก ทั้งภายในทั้งภายนอก และเมื่อดูให้รู้จักดูให้เห็น กาย เวทนา จิต ธรรม ดั่งนี้ ธรรมดาของกาย เวทนา จิต ธรรมก็ย่อมจะปรากฏ คือเป็นความเกิดเป็นความดับ
ทั้งนี้จึงสุดแต่สติ สติที่กำหนดทันหรือไม่ เมื่อกำหนดทันเป็นความรู้ทัน เกิดดับของกาย เวทนา จิต ธรรมจึงจะปรากฏ และปัญญาก็จับรู้ ญาณคือความหยั่งรู้ ก็จับรู้ รู้จักเกิดรู้จักดับ เป็นความรู้เท่า และสติที่กำหนดตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้นี้จะกำหนดได้ทันได้ ก็ต้องอาศัยสตินี้เองนำจิตให้ตั้งมั่น ว่ากายมีอยู่ เวทนามีอยู่ จิตมีอยู่ ธรรมคือขันธ์ ๕ อายตนะมีอยู่
และข้อที่ว่ามีอยู่นี้ก็คือว่ากำหนดให้รู้จักได้ว่า นี่กาย นี่เวทนา นี่จิต นี่ธรรม ที่ตัวเอง ที่กายจิตนี้เอง เมื่อจับได้ดั่งนี้จึงจะเป็นสติ ที่กำหนดได้ว่ากายมีอยู่ เวทนาจิตธรรมมีอยู่ ไม่หายไปไหน ถ้าหากว่ากาย เวทนา จิต ธรรมหายไปจากสติ ก็แปลว่าสติกำหนดไม่ได้ เมื่อสติกำหนดไม่ได้จึงไม่อาจที่จะจับเกิดดับของสิ่งเหล่านี้ได้ เหมือนอย่างการดูนาฬิกา ตาจะต้องจับ คือเห็นเข็มนาฬิกา เห็นตัวเลขบอกเวลา เท่ากับว่ารู้ว่านาฬิกามีอยู่ คือนี่นาฬิกา และคำว่านี่นาฬิกานั้นก็คือว่า นี่เป็นเข็มสั้น นี่เป็นเข็มยาว นี่เป็นตัวเลขบอกเวลานั้นเวลานี้ เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วจึงจะรู้เวลาว่าเวลาเท่าไร ถ้าหากว่านาฬิกาไม่มี คือว่าไม่พบนาฬิกา ไม่เห็นนาฬิกาดังที่กล่าวแล้ว การรู้เวลาก็มีขึ้นไม่ได้
สติปัฏฐานก็คือสติกับสมาธิ
เพราะฉะนั้น อันนี้จึงต้องอาศัยสติกับสมาธิรวมกัน คืออาการที่สติกำหนดจับอยู่ ตั้งอยู่ ตัวตั้งนี่แหละคือเป็นสมาธิ กำหนดก็คือตัวสติ อย่างสติปัฏฐานนี่ต้องรวมกัน สติคำหนึ่ง ฐานะหรือฐานคำหนึ่ง สติก็คือสติกำหนด ฐานตั้งก็คือสมาธิ เพราะฉะนั้น สติตั้ง ก็คือสติประกอบด้วยสมาธิ ตั้งสติ ก็คือสมาธิอันประกอบด้วยสติ เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า สติคือ สติ ฐานก็คือ สมาธิ สติปัฏฐานรวมกันเข้าก็คือสติกับสมาธิ จะต้องประกอบกันดั่งนี้
เพราะฉะนั้น การปฏิบัตินั้นเมื่อจับปฏิบัติในข้อใดข้อหนึ่ง เอาเพียงข้อกายเท่านั้น ข้อใดข้อหนึ่ง แต่ให้สติกับสมาธิรวมกันอยู่ดังที่กล่าวเป็นสติปัฏฐานแล้ว ข้ออื่นก็จะตามมาเองเป็น เอกีภาพ คือความที่มีเป็นอันเดียวกัน เป็นทางเดียวกัน กาย เวทนา จิต ธรรมรวมกันอยู่ก้อนเดียวกันทั้งหมด เหมือนกับอัตภาพนี้ กายใจนี้ หรือแม้กายเองก็ดี ใจก็ดี หรือรวมกันเป็นกายใจก็ดี ก็รวมกันอยู่เป็นก้อนเดียวกันทั้งหมด เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องลังเลสงสัย แต่การอธิบายนั้นก็ต้องพูดกันไป จำแนกกันไป แต่การปฏิบัตินั้นจับเอาที่ตั้งอันหนึ่ง แล้วก็รวมข้ออื่นเข้ามาเอง ไม่ต้องไปสงสัยลังเลว่าจะยุ่ง จับขึ้นมาอันหนึ่งแล้ว ขอให้สติกับสมาธิรวมกันเท่านั้นในอันหนึ่งนั่นแหละ อันอื่นจะรวมเข้ามาหมด และเมื่อรู้ว่ากายมีอยู่ เวทนามีอยู่ จิตมีอยู่ ธรรมมีอยู่ ดั่งนี้ ทุกอย่างก็จะปรากฏตลอดจนถึงเกิดดับ และเมื่อเป็นดั่งนี้แล้วก็จะจับได้ว่าธรรมดาเป็นอยู่ดั่งนี้
อุปาทาน สัญโญชน์ นิวรณ
แต่ว่าเพราะเหตุที่มีอุปาทานความยึดถือว่าตัวเราของเรา มีสัญโญชน์คือความผูกพันใจบังเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้จึงเป็นสิ่งที่ยึดถือว่าเป็นตัวเราของเรา และกาย เวทนา จิต ธรรม มาถึงข้อขันธ์ ๕ ก็เป็นอุปาทาน เป็นสิ่งที่ยึดถือขึ้นมาทั้งหมด อายตนะก็เช่นเดียวกันก็เป็นสิ่งที่ยึดถือขึ้นมาทั้งหมด
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสชี้ให้รู้จัก ว่าข้อที่ตรัสสอนมาโดยลำดับในสติปัฏฐานนั้น ข้อกาย ข้อเวทนา ข้อจิต ข้อธรรม ซึ่งเริ่มด้วยนิวรณ์และมาขันธ์ ๕ นั้น ก็เพราะเหตุว่ามีอุปาทานคือความยึดถือนี้เอง จึงได้บังเกิดเป็นนิวรณ์ขึ้นมาเป็นอกุศลธรรมขึ้นในจิต คนเราจึงต้องมีจิตใจที่มีนิวรณ์ประจำอยู่ อันทำให้ทำสมาธิได้ยาก และทำให้เกิดปัญญาที่จะรู้แจ้งเห็นจริงได้ยาก ก็เพราะนิวรณ์นี้เอง (เริ่ม) ทำไมจึงต้องมีนิวรณ์ก็เพราะเหตุว่ามีอุปาทานคือความยึดถือ และอุปาทานความยึดถือนี้เมื่อประมวลทุกๆ อย่างเข้ามาแล้ว
ที่ตรัสมาทั้งหมด ข้อกายก็ดี ข้อเวทนาก็ดี ข้อจิตก็ดี มาจนถึงข้อนิวรณ์นั้นก็ดี ก็ประมวลเข้าในขันธ์ ๕ อันเป็นอุปาทานขันธ์ คือขันธ์เป็นที่ยึดถือ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นที่ยึดถือ
นิวรณ์ อาการที่ปรุงใจ
นี่ประมวลเข้ามาทั้งหมดที่ตรัสมาตั้งแต่เบื้องต้น กายก็ดี เวทนาก็ดี จิตก็ดี ธรรมะข้อนิวรณ์ก็ดี ก็รวมเข้ามาในขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการ คือเป็นรูป เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร วิญญาณ อันเป็นที่ยึดถือ ตัวนิวรณ์นั้นเองก็เป็นตัวสังขารในขันธ์ ๕ นี้เอง อาการที่ปรุงใจหรือใจปรุง และจึงได้ตรัสชี้ให้ชัดต่อไปว่า มาจากอายตนะภายนอก และภายในมาประจวบกัน ของทุกๆ คนนี้แหละ จึงได้เกิดสัญโญชน์คือความผูกพันใจขึ้น เป็นการเริ่มต้นของอุปาทาน ตัณหาอุปาทาน นี่แหละคือตัวสัญโญชน์ ถ้าหากว่าอายตนะทั้งสองนี้ไม่มาประจวบกัน สัญโญชน์ก็ไม่บังเกิด ตัณหาอุปาทานก็ไม่บังเกิด แต่เพราะเหตุที่อายตนะภายในภายนอกนี้มาประจวบกัน ตัณหาอุปาทานจึงบังเกิดขึ้น คือเป็นตัวสัญโญชน์
เพราะฉะนั้นคนเราจึงได้มีการเพิ่มสัญโญชน์ความผูกพันใจ ซึ่งเป็นตัณหาอุปาทานในสิ่งทั้งหลาย หรือเรียกรวมว่าในโลกนี้ หรือในโลกทั้งสิ้นนี้ อยู่เสมอๆ เป็นประจำๆ เป็นการเพิ่มพูนกิเลส คือตัวตัณหาอุปาทานเอง สัญโญชน์เอง ตลอดถึงอวิชชา ให้มากขึ้นไปโดยลำดับ เพราะฉะนั้น จึงทำให้คนเรานั้นมีจริตต่างๆ เป็นตัณหาจริตบ้าง ทิฏฐิจริตบ้าง อย่างหยาบบ้าง อย่างละเอียดบ้าง หรือแม้ที่จำแนกโดยประการอื่น
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนสติปัฏฐานนี้นี่แหละ ให้ใช้สติใช้สมาธิ สติซึ่งเป็นสติ ฐานก็คือสมาธิรวมเป็นสติปัฏฐาน กำหนดให้รู้จัก กาย เวทนา จิต ธรรม รวมลงที่เกิดดับซึ่งเป็นธรรมดา ให้สตินี้รู้ทัน ทันกาย ทันเวทนา ทันจิต ทันธรรมะ ทันอายตนะภายในภายนอกที่มาประจวบกัน ที่ว่าทันนั้นก็คือว่ากำหนดได้ด้วยจิตตั้ง ว่านี่เป็นนี่ เช่นนี่เป็นกาย นี่เป็นเวทนา นี่เป็นจิต นี่เป็นธรรม คือนี่เป็นนิวรณ์ นี่เป็นขันธ์ ๕ นี่เป็นอายตนะ นี่เป็นสัญโญชน์ และเป็นสิ่งที่เกิดดับ
ปัญญาเห็นเกิดดับ
ความเกิดดับนั้นเป็นธรรมดาที่ปรากฏอยู่เองของสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ไปสร้างให้บังเกิดขึ้น บังเกิดอยู่เอง เป็นปัญญาที่เป็นความรู้เท่าดั่งนี้แล้ว เมื่อสติกับปัญญาดังกล่าวบังเกิดขึ้นเมื่อใด สัญโญชน์ก็ไม่บังเกิด อุปาทานในสิ่งนั้นๆ ก็ไม่บังเกิด หรือที่บังเกิดแล้วก็ดับไป เมื่อเป็นดั่งนี้แล้ว จึงเหลืออยู่แต่ที่เป็นส่วนธรรมชาติธรรมดา ที่เป็นไปอยู่ตามเหตุตามปัจจัยของตัวเอง เช่นเมื่อตากับรูปมาประจวบกันก็เกิดการเห็น ก็เป็นวิญญาณ เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร ไปตามเรื่อง เป็นกาย เป็นเวทนา เป็นจิต ไปตามเรื่อง และก็ไม่เป็นนิวรณ์ขึ้นมาเพราะเหตุเหล่านี้ เพราะว่าเกิดความปล่อยวางได้ เกิดความดับได้ ด้วยอำนาจของสติปัญญาดั่งที่กล่าว เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนให้มีสติกำหนดตั้งในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ให้มีธรรมวิจัยใช้พินิจพิจารณาขบเจาะให้มีความเข้าใจ และเมื่อเป็นดั่งนี้แล้วก็จะเกิดปหานะคือการละขึ้น เกิดภาวนาคือการอบรมขึ้นมา คือจะละสัญโญชน์ ละตัณหาอุปาทานได้ ละนิวรณ์ได้ การละและการอบรมนี้ก็จะเจริญยิ่งขึ้น เป็นการขัดเกลาจิตใจนี้เองให้สะอาดบริสุทธิ์
เพราะฉะนั้นเมื่อเริ่มต้นด้วย สติสัมโพชฌงค์ ธัมวิจยสัมโพชฌงค์ และบังเกิดเป็นวิริยสัมโพชฌงค์ขึ้น จึงจะได้ปีติความดูดดื่มใจ ปีติสัมโพชฌงค์ ได้ความสงบกายสงบใจ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ได้สมาธิสัมโพชฌงค์คือได้ความตั้งมั่นของจิตในกุศลธรรมยิ่งขึ้น ทำให้ได้อุเบกขาคือความเข้าเพ่งอยู่ในภายใน ไม่ออกไปดูภายนอก รู้การละฝ่ายอกุศล การอบรมฝ่ายกุศลอยู่ภายในใจ เป็นการสงบอยู่ในภายใน ก็เป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ และเมื่อเป็นดั่งนี้แล้วจิตจึงบริสุทธิ์ เมื่อจิตบริสุทธิ์ จิตเป็นธาตุรู้ ก็จะทำให้ความกำหนดรู้จักทุกข์ รู้จักเหตุแห่งทุกข์ รู้จักความดับทุกข์ รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อันเป็นอริยสัจจ์นี้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป