แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ธรรมะคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น สวากขาโต ภควตาธัมโม เป็นธรรมะอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้วสันทิฏฐิโก อันผู้ปฏิบัติผู้ได้บรรลุพึงเห็นเอง อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา เอหิปัสสิโก ควรเรียกให้มาดูโอปนยิโก ควรน้อมเข้ามาปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ อันวิญญูคือผู้รู้พึงรู้เฉพาะตน ธรรมะทุกบทย่อมประกอบด้วยพระธรรมคุณทั้งหมดนี้ แต่การแสดงได้แสดงมาทีละบท และยกเอาธรรมะเข้ามาประกอบ เพื่อเน้นในข้อว่าอันผู้รู้พึงรู้เฉพาะตน ในข้ออื่นก็เช่นเดียวกัน และได้แสดงมาถึงหมวดโพชฌงค์ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ถัดจากหมวดอายตนะ ในหมวดธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ตั้งสติกำหนดตามดูตามรู้ตามเห็นธรรมะ
องค์ของความรู้พร้อม
อันโพชฌงค์เป็นคำเรียกสั้นๆ เรียกเต็มว่าสัมโพชฌงค์ที่แปลว่าองค์ของความรู้พร้อม เป็นธรรมะหมวดสำคัญที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ในฐานะ ๒ อย่าง คืออย่างหนึ่งในฐานะที่ต่อเนื่อง โดยมากก็ตรัสแสดงไว้ต่อเนื่องจากสติปัฏฐาน คือสติปัฏฐาน โพชฌงค์ วิชชาวิมุติ ต่อเนื่องกันไป อีกฐานะหนึ่งตรัสสอนโพชฌงค์ไว้โดยเอกเทศเป็นหลักปฏิบัติทั้งหมด ดังเช่นเป็นหลักปฏิบัติในกรรมฐาน แม้ที่เป็นสมถกรรมฐานทุกข้อ ก็ปฏิบัติตามหลักในโพชฌงค์ทั้ง ๗ นี้
ดั่งเช่น เจริญพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็ตรัสว่าตั้งสติ ก็ตรัสว่าอบรมสติสัมโพชฌงค์ ประกอบด้วยเมตตา อบรมธัมวิจยสัมโพชฌงค์ ประกอบด้วยเมตตา อบรมวิริยสัมโพชฌงค์ ประกอบด้วยเมตตา อบรมปีติสัมโพชฌงค์ ประกอบด้วยเมตตา อบรมปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ประกอบด้วยเมตตา อบรมสมาธิสัมโพชฌงค์ ประกอบด้วยเมตตา อบรมอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ประกอบด้วยเมตตา ข้อกรุณาก็เหมือนกัน มุทิตาก็เหมือนกัน อุเบกขาก็เหมือนกัน
แม้ในกรรมฐานหมวดอื่นเช่น อสุภกรรมฐาน ๑๐ แต่ละข้อก็คืออบรมสติสัมโพชฌงค์เป็นต้น ประกอบด้วยกรรมฐานข้อนั้นๆ แต่ละข้อก็ด้วยวิธีที่อบรมโพชฌงค์ทั้ง ๗ นี้ คืออบรมโพชฌงค์ทั้ง ๗ นี้ ประกอบด้วยกรรมฐานข้อนั้นๆ ไปทุกข้ เพราะฉะนั้นจึงหมายความว่าในการที่จะปฏิบัติทำกรรมฐานทุกข้อ เช่นทำอานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก ก็ปฏิบัติด้วยวิธีของโพชฌงค์ คือปฏิบัติสติสัมโพชฌงค์เป็นต้น อันประกอบด้วยลมหายใจเข้าออก ประกอบด้วยสติกำหนด ลมหายใจเข้าออก
หลักปฏิบัติในกรรมฐานทุกข้อ
ตามฐานะดังที่กล่าวมานี้โพชฌงค์จึงเป็นหลักปฏิบัติในกรรมฐานทุกข้อ การปฏิบัติในกรรมฐานทุกข้อก็พึงปฏิบัติตามหลักของโพชฌงค์ทั้ง ๗ นี้ เช่นจะทำอานาปานสติก็ด้วยวิธีที่ทำสติสัมโพชฌงค์ ให้ประกอบด้วยสติกำหนดลมหายใจเข้าออก ธัมวิจยสัมโพชฌงค์เป็นต้นก็ให้ประกอบด้วยอานาปานสติ จนถึงอุเบกขาสัมโพชฌงค์ก็ให้ประกอบด้วยอานาปานสติ คือปฏิบัติอานาปานสติด้วยโพชฌงค์ทั้ง ๗ นี้ เพราะฉะนั้นโพชฌงค์จึงเป็นธรรมะหมวดสำคัญ ที่จะต้องปฏิบัติทั้งนั้นในการปฏิบัติธรรมะทั้งปวงดังที่กล่าวมา เพราะฉะนั้นก็ควรทำความเข้าใจไปแต่ละบทก่อน
สติสัมโพชฌงค์
สติสัมโพชฌงค์ สัมโพชฌงค์คือสตินั้น ก็ได้แก่สติความระลึก ความกำหนด และสติดังกล่าวนี้คือที่เป็นสัมโพชฌงค์ ก็เป็นสติเพื่อรู้ คือเพื่อปัญญาความรู้ทั่วถึง เพื่อญาณความหยั่งรู้ เพื่อสัมโพธะหรือสัมโพธิ ความรู้พร้อม หรือความตรัสรู้พร้อม และสติดังที่กล่าวมานี้ก็จะต้องมีอาหารของสติ เหมือนอย่างร่างกายต้องมีอาหารสำหรับบำรุงร่างกาย อาหารของสติสัมโพชฌงค์ก็ตรัสว่าได้แก่ธรรมะซึ่งเป็นที่ตั้งของสติ และโยนิโสมนสิการ ความทำไว้ในใจโดยแยบคาย ก็คือพิจารณาจับเหตุจับผล เมื่อมีธรรมะอันเป็นที่ตั้งของสติ และมีโยนิโสมนสิการ ก็ย่อมปฏิบัติทำสติสัมโพชฌงค์ให้บังเกิดขึ้นได้
ธัมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์
ธัมวิจยสัมโพชฌงค์ โพชฌงค์คือความเลือกเฟ้นธรรม หรือวิจัยธรรม ก็เพื่อรู้นั้นเอง และก็ต้องมีอาหารเช่นเดียวกัน อาหารของข้อนี้ก็คือธรรมะที่เป็นกุศล และเป็นอกุศล ธรรมะที่มีโทษ และไม่มีโทษ ธรรมะที่เลวและประณีต ธรรมะที่เทียบกับขาวและดำ กับโยนิโสมนสิการ ความพิจารณาโดยแยบคายคือจับเหตุจับผล
วิริยสัมโพชฌงค์ สัมโพชฌงค์คือวิริยะความเพียร ก็ต้องมีอาหารเช่นเดียวกัน อาหารของข้อนี้ก็คือ อารัมภธาตุ ทำความเพียรให้ทรงตัวขึ้นด้วยอารัมภะคือความริเริ่ม นิกกมธาตุ ทำความเพียรให้ทรงตัว ด้วยความดำเนินไป ปรักกมธาตุ ทำความเพียรให้ทรงตัว ด้วยปฏิบัติให้ก้าวหน้าไปจนบรรลุถึงความสำเร็จ กับโยนิโสมนสิการพิจารณาโดยแยบคายจับเหตุจับผล
ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
ปีติสัมโพชฌงค์ สัมโพชฌงค์คือปีติ ก็ต้องมีอาหารเช่นเดียวกัน อาหารของข้อนี้ก็คือธรรมะอันเป็นที่ตั้งของปีติ กับโยนิโสมนสิการ ความพิจารณาโดยแยบคายจับเหตุจับผลปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สัมโพชฌงค์ คือปัสสัทธิความสงบ ก็ต้องมีอาหารเช่นเดียวกัน อาหารของข้อนี้ก็คือ กายปัสสัทธิ ความสงบกาย จิตปัสสัทธิ ความสงบใจ กับโยนิโสมนสิการ ความพิจารณาโดยแยบคายจับเหตุจับผล สมาธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ สัมโพชฌงค์คือสมาธิ ก็ต้องมีอาหารเช่นเดียวกัน อาหารของข้อนี้คือธรรมะอันเป็นที่ตั้งของสมาธิ ก็ได้แก่สมาธินิมิตที่กำหนดหมายแห่งสมาธิ อัพยัคคนิมิต นิมิตที่มียอดไม่แตกคือมียอดเป็นอันเดียวกัน ที่เรียกว่าเอกัคคตา คือความที่จิตมียอดเป็นอันเดียว อันหมายความว่ามีอารมณ์เป็นอันเดียว กับโยนิโสมนสิการพิจารณาโดยแยบคายจับเหตุจับผล อุเบกขาสัมโพชฌงค์ สัมโพชฌงค์คืออุเบกขา ก็ได้แก่ธรรมะอันเป็นที่ตั้งของอุเบกขา กับโยนิโสมนสิการพิจารณาโดยแยบคายจับเหตุจับผล ดั่งนี้
กรรมฐานเริ่มด้วยการตั้งสติ
ในข้อแรกสัมโพชฌงค์คือสติต้องมีอาหารคือธรรมะที่เป็นที่ตั้งของสติ ก็หมายความว่าจะตั้งสติคือความกำหนดในธรรมะข้อไหน ทั้งนี้ก็สุดแต่ผู้ปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติจะตั้งสติกำหนดอยู่ในธรรมะคือกรรมฐานเช่นข้ออานาปานสติก็ได้ หรือในพรหมวิหารคือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็ได้ ในกรรมฐานข้ออื่นก็ได้ เพราะว่าในการปฏิบัติกรรมฐานข้อนั้นๆ ก็จะต้องเริ่มด้วยการตั้งสติไว้ทั้งนั้น จะขาดสติไม่ได้ ดั่งเช่นจะเจริญเมตตา อันเรียกว่าเมตตาภาวนา ก็จะต้องตั้งสติไว้ในธรรมที่เป็นที่ตั้งของเมตตา คือในการที่เจริญเมตตานั้นก็จะต้องปรารภบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเจาะจง เช่นปรารภมารดาบิดา ปรารภบุตรหลาน ปรารภผู้ทรงพระคุณต่างๆ เช่น พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระโอรส พระธิดา เป็นต้น หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งซึ่งเป็นผู้ทรงคุณ นี้โดยเจาะจง
บทแผ่เมตตาโดยไม่เจาะจง
เมื่อไม่เจาะจงก็ปรารภสัตว์ทั้งหลายทุกถ้วนหน้า ดังที่ (เริ่ม) เราตั้งใจกันโดยไม่เจาะจง แผ่เมตตาไปว่าสพฺเพ สตฺตา สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง สพฺเพ ภูตา ภูตะ คือผู้ที่เป็นขึ้นแล้วทั้งปวง สพฺเพ ปุคฺคลา บุคคลทั้งปวง สพฺเพ อตฺตภาวปริยาปนฺนา สัตว์ทั้งหลายที่เนื่องด้วยอัตภาพทั้งปวง นี้เป็นการที่ปรารภโดยไม่เจาะจง และก็ต้องตั้งใจแผ่ที่เป็นตัวเมตตา เป็นไปในบุคคลและสัตว์ ทั้งที่เจาะจงและไม่เจาะจงนั้นว่าอเวรา โหนฺตุจงเป็นผู้ไม่มีเวรเถิดอนีฆา โหนฺตุจงเป็นผู้ไม่เบียดเบียนกันเถิดสุขิตา โหนฺตุ จงเป็นผู้บรรลุถึงความสุขเถิด สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ จงเป็นผู้มีสุขรักษาตนเถิด ดั่งนี้
เมตตาภาวนา
การทำใจดั่งนี้เรียกว่าเป็นการแผ่เมตตา เพราะฉะนั้นจึงต้องตั้งสติ คือความกำหนดไปในบุคคลโดยเจาะจง หรือในสรรพสัตว์ทุกถ้วนหน้า แล้วก็ตั้งสติ ทำเมตตา ให้เป็นไปในบุคคลและสัตว์เหล่านั้น ว่าจงเป็นผู้ไม่มีเวรเถิด ดั่งนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น บุคคลและสัตว์ทั้งปวง กับภาวะของจิตที่แผ่เมตตาออกไปดังกล่าว จึงชื่อว่าเป็นธรรมะอันเป็นที่ตั้งของสติ จะต้องมีสติกำหนดตั้งไปดังที่กล่าว และก็เป็นการเจริญเมตตาภาวนา เป็นการเจริญเมตตา ซึ่งเมตตาภาวนาจะบังเกิดขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยสติสัมโพชฌงค์ องค์แห่งความรู้คือสติ ดั่งนี้ จึงจะเป็นเมตตาภาวนาขึ้นมา และก็จะต้องมีโยนิโสมนสิการ คือจะต้องมีปัญญาที่เป็นตัวความรู้ประกอบไปด้วย คือต้องจับเหตุจับผล ต้องรู้เหตุรู้ผลว่าในการทำสตินี้จะต้องมีการตั้งสติ คือตั้งใจนี้เองกำหนด กำหนดพิจารณาในอะไรก็ต้องรู้ว่า
เมื่อจะทำเมตตาภาวนาก็ต้องตั้งกำหนดไปในสัตว์ทั้งหลาย ในบุคคลทั้งหลาย กำหนดว่าอย่างไร ก็คือกำหนดว่า จงเป็นผู้ที่ไม่มีเวร มีสุข และก็ต้องรู้ว่าในการที่ตั้งสติกำหนดนี้จิตเป็นอย่างไร จิตกำหนดอยู่ไหม หรือไม่อยู่ และกิเลสอะไรดับไปบ้าง เช่นโทสะพยาบาท ดับไปไหมในเมื่อตั้งสติกำหนดจิตดั่งนี้ในเมตตา ถ้ายังมีโทสะพยาบาทบังเกิดขึ้นอยู่ในจิต ก็แปลว่ายังเป็นเมตตาไม่ได้ ต่อเมื่อโทสะพยาบาทต่างๆ ความกระทบกระทั่งใจต่างๆ ความหงุดหงิดต่างๆ สงบ หายไปนั่นแหละ และก็จิตมีความมุ่งดีปรารถนาดีแต่เพียงอย่างเดียว จึงจะเป็นเมตตาที่บริสุทธิ์
โยนิโสมนสิการ
ซึ่งเมตตาที่บริสุทธิ์นี้ นอกจากจะสงบโทสะพยาบาทแล้ว ยังต้องสงบสิเนหาคือความรักความผูกพันในทางกามด้วย ถ้าเป็นความรักเป็นความผูกพันในทางกาม ก็เรียกว่าเป็นสิเนหา เป็นราคะ เป็นกาม เพราะฉะนั้นทั้งโทสะพยาบาทก็เป็นศัตรู เป็นอันตรายของเมตตา แม้สิเนหาราคะหรือกามก็เป็นศัตรู เป็นอันตรายของเมตตา เพราะฉะนั้นจะต้องมีโยนิโสมนสิการ คือตัวรู้ รู้ความเป็นไปของสติ ของจิต ของผล ที่เป็นตัวกิเลส หรือที่สงบกิเลสไปด้วยกัน
และก็ต้องรู้วิธีที่จะสงบ ถ้าเป็นกิเลสบังเกิดแทรกแซงขึ้นมา ต้องรู้วิธีที่จะเจริญสติให้ตั้งมั่นขึ้น ดั่งนี้เป็นโยนิโสมนสิการทั้งนั้น คือต้องมีตัวรู้กำกับอยู่ด้วยตลอดเวลา และรู้นี้ก็ต้องหมายถึงว่ารู้ความเป็นไปของจิต ของสติ และก็ต้องรู้วิธีที่จะแก้ไข ให้เป็นสติที่บริสุทธิ์ และเมื่อมีสติบริสุทธิ์ก็ทำให้เมตตาที่บังเกิดขึ้นเป็นเมตตาที่บริสุทธิ์ คือเป็นความรักความปรารถนาดี ที่ปราศจากทั้งโทสะพยาบาท ปราศจากทั้งสิเนหาราคะ ทั้งสองอย่าง
การปฏิบัติตามหลักโพชฌงค์ ๗
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติเจริญเมตตาก็ต้องอาศัยสติสัมโพชฌงค์ดั่งนี้ และเมื่อมีสติสัมโพชฌงค์ดั่งนี้เป็นไปได้ ก็เป็นอันว่าเป็นวิสัยของปัญญาที่จะเจริญยิ่งขึ้น คือเลื่อนขึ้นเป็นธัมวิจยสัมโพชฌงค์ สัมโพชฌงค์คือธัมวิจยะความเลือกเฟ้นธรรม ก็เลือกเฟ้นธรรมในใจนี้เอง ในการเจริญเมตตานั่นแหละ รู้ว่าเมตตาเป็นกุศลธรรม เมตตาในใจ ไม่ใช่เมตตาที่ไหน เป็นกุศลธรรม
ส่วนโทสะพยาบาท หรือราคะสิเนหา เป็นอกุศลธรรม ฝ่ายราคะสิเนหามีโทษ แต่ว่าฝ่ายเมตตาไม่มีโทษ ฝ่ายราคะสิเนหาเป็นของเลว ของต่ำ ของทราม แต่ฝ่ายเมตตาเป็นของประณีต ฝ่ายราคะสิเนหาเท่ากับเป็นสีดำ ส่วนฝ่ายเมตตาเท่ากับเป็นสีขาว คือรู้จักธรรมะในจิตใจของตนนี้เองที่ผุดขึ้นทันที เมื่อเมตตาผุดขึ้นก็รู้ว่านี่เป็นกุศล ไม่มีโทษ ประณีต ขาว เมื่อโทสะพยาบาทหรือราคะสิเนหาบังเกิดขึ้นก็ให้รู้ว่านี่เป็นอกุศล มีโทษ เลว และดำ คืออะไรผุดขึ้นในใจในการเจริญเมตตานี้ก็รู้ทันที ดั่งนี้เรียกว่าธรรมวิจัย
เพราะฉะนั้นในการที่ปฏิบัติเจริญเมตตาก็ต้องมีธรรมวิจัยดั่งนี้ประกอบกันไปด้วย และก็จะต้องมีธรรมะอันเป็นที่ตั้งของธรรมวิจัย ก็คือที่ให้รู้ว่าธรรมะที่บังเกิดผุดขึ้นในใจนี้ อะไรเป็นกุศล อะไรไม่เป็นกุศลเป็นต้นดังที่กล่าว และก็จะต้องมีโยนิโสมนสิการ ตัวปัญญาตัวรู้ที่กำกับไปด้วยดังเช่นที่กล่าวแล้วในข้อสติ และเมื่อวิจัยธรรมได้ถูกต้องดั่งนี้แล้วก็เลื่อนขึ้นไปเป็นวิริยสัมโพชฌงค์ สัมโพชฌงค์คือวิริยะความเพียร คือว่าเพียรละฝ่ายอกุศล เพียรอบรมแต่ฝ่ายกุศลให้บังเกิดขึ้น คือว่าเพียรละฝ่ายที่เป็นโทสะพยาบาท หรือที่เป็นราคะสิเนหา แต่เพียรทำฝ่ายที่เป็นเมตตานี้ให้บังเกิดขึ้นและให้ตั้งอยู่ ดั่งนี้เป็นวิริยะคือความเพียร ซึ่งจะต้องมีความทรงตัวขึ้นได้ของความเพียร อันได้แก่ริเริ่ม
เพราะว่าจะตั้งความเพียรขึ้นได้ ก็ตั้งต้นด้วยความริเริ่ม เมื่อริเริ่ม เช่นริเริ่มละฝ่ายที่เป็นอกุศล ริเริ่มทำฝ่ายที่เป็นกุศล ก็เป็นอันว่าได้เริ่มตั้งความเพียรขึ้น เป็นความทรงตัวขึ้นได้ของความเพียร ที่ใช้คำว่าธาตุ หรือ ธาตุ ซึ่งแปลว่าความทรงอยู่ คือความทรงตัวขึ้นได้ของความเพียร และเมื่อริเริ่มขึ้น ทำให้เป็นความทรงตัวขึ้นได้ของความเพียรทีแรกแล้ว ก็ต้องดำเนินเพียรต่อไป เพียรละต่อไป เพียรอบรมต่อไปให้ความเพียรตั้งอยู่ได้ และก็ต้องมีการปฏิบัติให้ก้าวหน้าต่อไปจนกว่าจะสำเร็จ ไม่ล้มเลิกเสียในระหว่างๆ ให้ความเพียรตั้งอยู่ตลอดไป ดังเช่นว่าเมื่อมีโทสะพยาบาท หรือราคะสิเนหาบังเกิดขึ้นในระหว่างที่เจริญเมตตา ก็ต้องเริ่มตั้งความเพียรที่จะละ ดำเนินการละต่อไปจนถึงละได้ คือทำให้สงบโทสะพยาบาท หรือราคะสิเนหาที่บังเกิดขึ้นนั้นได้ และก็ตั้งความเพียรทำเมตตานี้ให้บังเกิดขึ้นในจิต ให้เป็นเมตตาที่บริสุทธิ์ ดำเนินเพียรต่อไปเพื่อให้เมตตาเจริญขึ้น ตั้งอยู่เจริญขึ้น และให้ก้าวหน้าต่อไป จนถึงเมตตานั้น สำเร็จเป็นเมตตาภาวนาอย่างเต็มที่ เป็นเมตตาบริสุทธิ์ที่ผุดขึ้นในใจ ปราศจากโทสะพยาบาทหรือราคะสิเนหาสิ้นเชิง เป็นเมตตาที่บริสุทธิ์ ดั่งนี้ ดั่งนี้ก็เป็นวิริยสัมโพชฌงค์ในเมตตา
และเมื่อเป็นดั่งนี้แล้วก็จะเลื่อนขึ้นเป็นปีติสัมโพชฌงค์ สัมโพชฌงค์คือปีติ คือความอิ่มใจ ความดูดดื่มใจ ก็เพราะว่าจิตนี้เมื่อได้ปฏิบัติขัดเกลาให้บริสุทธิ์สะอาดจากเครื่องเศร้าหมองจิต เมื่อเจริญเมตตา เมตตาก็เป็นเครื่องขัดเกลาจิตให้บริสุทธิ์จากโทสะพยาบาท จากราคะสิเนหา ปรากฏเป็นเมตตาที่บริสุทธิ์แจ่มใส จิตใจดั่งนี้ก็เป็นจิตใจที่แจ่มใสสะอาด จึงบังเกิดปีติความอิ่มใจ ความดูดดื่มใจขึ้นในเมตตาที่บริสุทธิ์นี้ขึ้นเอง เป็นปีติความอิ่มใจ ก็เป็นปีติสัมโพชฌงค์ในเมตตา
และเมื่อเป็นดั่งก็เลื่อนขึ้นอีกเป็นปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สัมโพชฌงค์คือปัสสัทธิความสงบ คือกายที่ประกอบด้วยเมตตาดังกล่าวก็สงบ จิตก็สงบ และเมื่อกายและจิตสงบดั่งนี้ ก็เป็นกายและจิตที่มีสุข จึงเลื่อนขึ้นเป็นสมาธิสัมโพชฌงค์ องค์ของสัมโพชฌงค์คือสมาธิ คือจิตจะสงบตั้งมั่นจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายด้วยเมตตา จิตที่เป็นสมาธิดั่งนี้ย่อมตั้งอยู่บนพื้นฐานคือความสงบกายสงบใจ ซึ่งเป็นตัวความสุข จิตที่มีความสงบความสุขเป็นพื้นฐานดั่งนี้ ก็ตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ สงบจากกาม สงบจากอกุศลธรรมทั้งหลายด้วยอำนาจของเมตตา
เพราะฉะนั้น การทำจิตตภาวนาอบรมกรรมฐานข้อเมตตา เมื่อได้ถึงขั้นนี้ ก็ได้สมาธิที่สืบเนื่องมาจากเมตตา และเมื่อได้สมาธิดั่งนี้ ก็เลื่อนชั้นขึ้นไปเป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ สัมโพชฌงค์คืออุเบกขา อันได้แก่ความที่จิตนี้เข้าเพ่งเฉยอยู่ในจิตที่เป็นสมาธินั้น มีลักษณะเป็นจิตที่วางกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย เป็นจิตที่เฉยคือไม่วุ่นวาย สงบ ดังที่เรียกว่าวางเฉย วางเฉยอยู่ในภายใน แต่วางด้วยความรู้ แต่เป็นความรู้ที่สงบอยู่ในภายใน ไม่ยึดถืออะไร ไม่วุ่นวายอะไร ความที่ไม่ยึดถืออะไร ไม่วุ่นวายอะไร อันเป็นตัวอุเบกขานี้ จะมากหรือน้อยเพียงไร ก็อยู่ที่ขั้นของการปฏิบัติอันสืบมาจากสมาธิ และสมาธินี่ที่เป็นสมาธิชั้นสูง ก็ต้องเป็นสมาธิที่ประกอบด้วยอุเบกขา และเมื่อสูงมากก็ปรากฏเป็นอุเบกขาและเอกัคคตา คือความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว เป็นอันว่าสมาธิกับอุเบกขานั้นรวมกันเป็นสมาธิอย่างสูงได้ ดังที่แสดงถึงจตุตถฌาน ฌานที่ ๔ ของรูปฌาน ก็แสดงว่ามีองค์ ๒ คือเอกัคคตาความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว และอุเบกขา ดั่งนี้ก็เป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ในเมตตา
เพราะฉะนั้นการทำกรรมฐานเจริญเมตตา ก็ต้องอาศัยปฏิบัติตามหลักของโพชฌงค์ทั้ง ๗ นี้นั้นเอง และเมื่อปฏิบัติตามหลักของโพชฌงค์ทั้ง ๗ นี้ ก็จะได้สมาธิ ได้อุเบกขา อันเป็นสมาธิชั้นสูง แต่ก็อาจแยกออกได้เป็น ๒ เป็นสมาธิ เป็นอุเบกขา
เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติทำเมตตาภาวนานั้น ก็ได้ปฏิบัติทำเมตตาภาวนาด้วย ได้ปฏิบัติในโพชฌงค์ทั้ง ๗ ด้วย พระพุทธเจ้าได้ตรัสโพชฌงค์ทั้ง ๗ ไว้ในฐานะที่เป็นหลักปฏิบัติของธรรมะทั้งปวง ของกรรมฐานทั้งปวง ดังเช่นที่ยกมาเป็นตัวอย่างนี้
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป