แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ธรรมะคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สวากขาโต ภควตาธัมโม อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว สันทิฏฐิโก อันผู้ปฏิบัติผู้ได้บรรลุพึงเห็นเอง อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา เอหิปัสสิโก ควรเรียกให้มาดูได้โอปนยิโก ควรน้อมเข้ามาในตน และ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ อันวิญญูคือผู้รู้พึงรู้เฉพาะตน
ธรรมะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว ทุกข้อทุกบทย่อมประกอบด้วยพระธรรมคุณครบถ้วน ได้แสดงอธิบายมาถึงข้อที่ ๖ ธรรมะอันวิญญูคือผู้รู้พึงรู้จำเพาะตน โดยได้ยกสติปัฏฐานมาแสดงอธิบายโดยลำดับ ตั้งแต่ในพระธรรมคุณบทต้นๆ และอันที่จริงนั้นสติปัฏฐานนั้นก็ย่อมประกอบด้วยพระธรรมคุณทุกบท ฉะนั้น การที่มาจำแนกสติปัฏฐานเข้าในพระธรรมคุณบทต่างๆ กัน จึงเป็นเพียงแสดงเป็นสาธกคือยกขึ้นมาเป็นข้ออ้าง เป็นนิทัศนะเพียงในบทใดบทหนึ่งเท่านั้น เพราะจะแสดงอธิบายไปทุกบทพร้อมกันนั้น ย่อมเป็นการจะแจกแจงให้เห็นจำเพาะ อรรถะ เนื้อความ พยัญชนะ ถ้อยคำ แห่งพระธรรมคุณในบทใดบทหนึ่งให้ชัดเจนเป็นการยาก ฉะนั้นในทางแสดงอธิบายจึงจะต้องยกขึ้นสาธกในบทใดบทหนึ่ง และแม้ในการแสดงสติปัฏฐานขึ้นสาธกในพระธรรมคุณที่แสดงมาโดยลำดับก็เป็นเช่นเดียวกัน ฉะนั้นจึงได้แสดงบ่อยๆ ว่าธรรมะทุกข้อทุกบทที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง จะเป็นสติปัฏฐานก็ตาม บทอื่นก็ตาม ก็ย่อมประกอบด้วยพระธรรมคุณทุกบททั้งนั้น
ธรรมานุปัสสนา
และก็ได้แสดงมาถึงข้อที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสให้ทำสติระลึกกำหนดธรรมะอันเป็นข้อที่ ๔ ได้ทรงแสดงธรรมะฝ่ายอกุศลคือนิวรณ์ ๕ ขึ้นเป็นหมวดแรก แล้วทรงแสดงขันธ์ ๕ แล้วทรงแสดงอายตนะ ๖ และสัญโญชน์ เป็นอันได้ทรงยกเอาหมวดธรรมเหล่านี้ขึ้นแสดง โดยที่จิตใจของสามัญชนทั่วไปนั้นย่อมเป็นกามาพจร หยั่งลงในกาม ท่องเที่ยวอยู่ในกาม จึงมักเป็นจิตที่มีราคะบ้าง มีโทสะบ้าง มีโมหะบ้าง ซึ่งกิเลสเหล่านี้ก็บังเกิดขึ้นในจิต
ฉะนั้นในข้อจิตตานุปัสสนาจึงได้ตรัสสอนให้ตั้งสติกำหนดดูจิต ว่ามีราคะโทสะโมหะ หรือปราศจากราคะโทสะโมหะ และเมื่อมาถึงธรรมานุปัสสนา ซึ่งได้ตรัสสอนให้กำหนดดูธรรมะซึ่งบังเกิดขึ้นในจิต คู่กันไปกับจิตตานุปัสสนา จึงได้ตรัสสอนให้กำหนดดูราคะโทสะโมหะซึ่งบังเกิดขึ้นในจิต โดยที่ตรัสยกขึ้นเป็นนิวรณ์ทั้ง ๕ จำแนกออกไปเป็น ๕ ตามอาการที่ปรากฏอยู่ของจิตสามัญชนทั่วๆ ไป
ครั้นตรัสสอนให้กำหนดดูจิตที่ประกอบด้วยนิวรณ์ดังกล่าว มุ่งกำหนดดูตัวนิวรณ์ดังกล่าว และตรัสสอนให้รำงับนิวรณ์ทั้ง ๕ เหล่านี้ประกอบไปด้วย เพราะว่านิวรณ์ทั้ง ๕ เหล่านี้เอง ตรัสเรียกว่าเป็นนิวรณ์ ก็เพราะเป็นเครื่องกั้นจิตไว้ ไม่ให้ได้สมาธิ และทำปัญญาคือความรู้แจ้งเห็นจริงให้อ่อนกำลัง ทำให้ไม่อาจจะรู้แจ้งเห็นจริงได้
เหตุเกิดนิวรณ์ เหตุดับนิวรณ์
ฉะนั้นจึงได้ทรงยกขึ้นเป็นหมวดแรกในข้อธรรมะ และเมื่อเพ่งดูนิวรณ์ที่บังเกิดขึ้นในจิตนั้นให้รู้จักว่าเป็นนิวรณ์ สติที่เป็นตัวเพ่งดู พร้อมกับญาณปัญญาซึ่งบังเกิดขึ้น คือรู้จักตัวนิวรณ์ รู้จักโทษของนิวรณ์แล้ว นิวรณ์เหล่านี้ก็จะดับไป สงบไป เพราะฉะนั้นวิธีที่จะทำให้นิวรณ์เกิดขึ้น หรือเหตุที่จะทำให้นิวรณ์เกิดขึ้น จึงอยู่ที่ความขาดสติและขาดญาณปัญญา เมื่อทำสติและญาณปัญญาให้บังเกิดขึ้นในนิวรณ์ได้ นิวรณ์จึงสงบไปได้
วิธีที่จะละนิวรณ์ดับนิวรณ์ เมื่อกล่าวโดยรวบรัดแล้วก็คือสติ และญาณปัญญานี้เอง สติก็คือสติปัฏฐาน ปัญญาก็คือปัญญาที่บังเกิดขึ้นติดต่อกันไป และเมื่อนิวรณ์สงบจิตก็ย่อมสงบตั้งมั่น ก็น้อมจิตที่สงบตั้งมั่นนี้มาพิจารณาให้รู้จักขันธ์ ๕ อันย่อเข้าก็เป็นนามรูปหรือกายใจอันนี้ที่เป็นที่บังเกิดขึ้นของนิวรณ์ เพราะนิวรณ์ก็อาศัยกายใจอันนี้เองบังเกิดขึ้น และบังเกิดขึ้นที่จิตอันประกอบด้วยกายใจอันนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อนิวรณ์สงบ กายใจที่ปราศจากนิวรณ์อาศัย กายใจที่บริสุทธิ์ก็ปรากฏขึ้น
นามรูป
การตั้งสติกำหนดดูกายดูใจให้รู้จักว่านี่กายนี่ใจ หรือว่านี่นามนี่รูป กายก็คือรูป ใจก็คือนาม ให้รู้จักว่านี่รูป นี่เวทนา นี่สัญญา นี่สังขาร นี่วิญญาณ ย่อเข้ารูปก็เป็นรูป เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณก็เป็นนาม หรือรูปก็เป็นกายนามก็เป็นใจ โดยย่อ ดั่งนี้ให้รู้จักหน้าตา และให้รู้จักประการที่รูปนามหรือนามรูปบังเกิดขึ้น ให้รู้จักประการที่นามรูปดับไป และเมื่อกล่าวโดยย่อนั้นนามรูปบังเกิดขึ้นก็สืบเนื่องมาจากวิญญาณ วิญญาณเกิดนามรูปก็เกิด วิญญาณดับนามรูปก็ดับ และวิญญาณนั้นก็รวมอยู่ในนามรูป ซึ่งนับในขันธ์ ๕ เป็นข้อ ๕
อายตนะภายใน ภายนอก
เพราะฉะนั้น ความที่จะกำหนดให้รู้จักเกิดดับของขันธ์ ๕ หรือนามรูป เมื่อกำหนดให้รู้จักตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เมื่อว่าตามระยะปฏิจจสมุปบาท ก็มีวิญญาณเป็นปัจจัย เมื่อพิจารณาตามหลักปฏิจจสมุปบาทดั่งนี้แล้ว จึงต้องพิจารณาต่อไปถึงว่าอะไรเป็นประการที่ทำให้วิญญาณเกิดให้วิญญาณดับ จึงสืบมาถึงอายตนะตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า เมื่ออายตนะภายในประจวบกับอายตนะภายนอก ก็ย่อมเกิดวิญญาณ เพราะฉะนั้นจึงได้ตรัสสอนหมวดอายตนะต่อไปให้รู้จักตากับรูป หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายและโผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูกต้อง มโนคือใจกับธรรมะคือเรื่องที่ใจคิด เรื่องที่ใจรู้
สังโยชน์
แต่ในสติปัฏฐานนี้ ในตอนนี้ยังมิได้ตรัสถึงวิญญาณ ตรัสถึงสัญโญชน์ทีเดียว แต่ว่าจะอธิบายเพิ่มเติมว่าอายตนะภายในกับภายนอกเมื่อประจวบกันดังกล่าว เมื่อแสดงตามสายของเบญจขันธ์ ซึ่งเป็นวิบากขันธ์ก็เกิดวิญญาณ วิญญาณในที่นี้ไม่ใช่หมายถึงวิญญาณหรือจิตดังที่พูดกันว่าวิญญาณไปเกิดเป็นต้น แต่หมายถึงเพียงความรู้ที่เรียกว่าเห็น ความรู้ที่เรียกว่าได้ยิน เป็นต้นเท่านั้น ซึ่งหากว่าอายตนะภายในกับภายนอกไม่มาประจวบกัน วิญญาณดังกล่าวก็ไม่เกิด เช่น เมื่อตากับรูป เมื่อยังไม่มาประจวบกัน จักขุวิญญาณความรู้คือการเห็นทางตาก็ไม่เกิด ต่อเมื่อตากับรูปมาประจวบกัน จักขุวิญญาณดังกล่าวจึงเกิด และเมื่อเกิดจักษุวิญญาณ ก็เกิดเวทนาสัญญาสังขาร แล้วก็เวียนมาวิญญาณอีกดังที่ตรัสแสดงไว้ในขันธ์ ๕
เพราะฉะนั้น ในตอนที่ทรงแสดงข้อว่าหรือหมวดว่าอายตนะทั้ง ๖ นี้ ทรงละเอาไว้ถึงกระบวนของขันธ์ ๕ หรือนามรูปที่บังเกิดติดต่อกัน แต่ได้ทรงแสดงโดยตรงไปถึงสังโยชน์คือความที่มีความผูกใจหรือใจผูก อันเป็นกิเลสคือเครื่องเศร้าหมองของจิตที่บังเกิดขึ้นทีเดียว ดังที่ตรัสว่าอาศัยตาอาศัยรูปเกิดสัญโญชน์ดั่งนี้ เป็นการที่ได้ตรัสชี้ให้เห็นถึงกิเลสที่บังเกิดขึ้น โดยที่ขาดสติระลึกกำหนดให้รู้จัก ว่าย่อมเกิดสัญโญชน์ขึ้น คือความผูกใจหรือใจผูก อยู่กับเรื่องรูปที่ตาเห็นนั้น
นิวรณ์
เพราะฉะนั้นจึงได้แสดงว่าสัญโญชน์ที่ดังกล่าวนี้เอง บังเกิดขึ้นนำหน้านิวรณ์ และก็เป็นตัวนิวรณ์เองโดยสรุปเข้ามา เพราะฉะนั้นจึงได้มีอธิบายสัญโญชน์ว่าได้แก่ฉันทะราคะ ความติดใจด้วยอำนาจของความพอใจ หรือว่าความพอใจติดใจอยู่ในอารมณ์ คือเรื่องรูปเป็นต้น ที่ได้ประจวบทางตาเป็นต้น ก็คือทางอายตนะ ๖ นั่นแหละ และฉันทราคะซึ่งเป็นอธิบายของสังโยชน์เป็นประการแรกนี้ ก็มาเป็นนิวรณ์ข้อต้นคือกามฉันท์นั่นแหละ และก็มาเป็นนิวรณ์ข้อพยาบาท ข้อถีนมิทธะความง่วงงุนเคลิบเคลิ้ม และข้ออุทธัจจะกุกกุจจะความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ข้อวิจิกิจฉาความเคลือบแคลงสงสัย เพราะฉะนั้นสังโยชน์จึงเท่ากับเป็นต้นเดิม หรือจะกล่าวว่าเป็นสรุปของนิวรณ์ทั้ง ๕ ก็ได้ และก็ตรัสสอนให้กำหนดให้รู้จักความเกิดความดับของสัญโญชน์ ตลอดจนถึงว่าสัญโญชน์ที่ละได้ ดับได้ จะไม่บังเกิดขึ้นอีกด้วยประการใดก็ให้รู้ประการนั้น
เมื่อมาถึงตอนนี้ก็อาจกล่าวสรุปได้โดยสังเขปอีกว่า สัญโญชน์บังเกิดขึ้นก็เพราะขาดสติที่กำหนดให้รู้จัก กับขาดญาณปัญญานั่นแหละ และสัญโญชน์จะดับได้ก็ด้วยความที่มีสติกำหนดให้รู้จัก พร้อมทั้งญาณปัญญานั่นแหละ แต่ว่าเมื่อมาถึงขั้นสัญโญชน์นี้ อันนับว่าได้ตรัสแสดงถึงกิเลสที่ละเอียดเข้า จะเรียกว่าละเอียดกว่านิวรณ์ก็ได้ แต่ว่าจะว่าก็รวมอยู่ในนิวรณ์ก็ได้ (เริ่ม) แต่นิวรณ์นั้นเป็นกิเลสที่ปรากฏชัดแจ้ง อันทำจิตให้กลัดกลุ้ม รุ่มร้อน วุ่นวาย ทำจิตให้กระสับกระส่ายไม่สงบที่ปรากฏ ดังเช่นที่ทุกคนก็รู้จัก เมื่อกามฉันท์บังเกิดขึ้น ก็ทำให้รุ่มร้อนวุ่นวาย ด้วยอำนาจของกาม เมื่อพยาบาทบังเกิดขึ้นก็ทำให้จิตรุ่มร้อนวุ่นวายด้วยอำนาจของโทสะ และเมื่อถีนมิทธะบังเกิดขึ้นก็ทำจิตให้ตกต่ำ ง่วงงุน เคลิบเคลิ้ม ไม่มีกำลังที่จะประกอบการงาน เมื่ออุทธัจจะกุกกุจจะบังเกิดขึ้นก็ทำใจให้ฟุ้งซ่าน เดือดร้อนรำคาญ เมื่อวิจิกิจฉาบังเกิดขึ้นก็ทำใจให้สงสัยเคลือบแคลง ขาดความแน่นอนใจ ทั้งทางศรัทธา ทั้งทางปัญญา เป็นอาการที่ปรากฏอยู่แก่จิตใจ
และทั้งหมดนี้ก็มีสังโยชน์นี่แหละเป็นต้นเดิมอยู่ เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่าสังโยชน์นี่ละเอียดกว่า ซึ่งจับได้ยากกว่า นิวรณ์นั้นกำหนดได้ง่าย หรือจับได้ง่าย รู้ได้ง่าย แต่มาถึงสัญโญชน์คือความผูกใจหรือใจผูกนี้ กำหนดให้รู้จักได้ยากกว่า ละเอียดกว่า
องค์ของความรู้ ๗ ประการ
เพราะฉะนั้นจึงได้ตรัสสอนต่อไปในข้อโพชฌงค์ทั้ง ๗ คือองค์ของความรู้ทั้ง ๗ ประการ ซึ่งหนักไปในทางญาณปัญญา ญาณคือความหยั่งรู้ ปัญญาคือความรู้ทั่วถึง ซึ่งหมายถึงเป็นปัญญาด้วยกัน เพราะว่าจะต้องใช้ปัญญาในทางที่จะกำหนดพิจารณาให้รู้จัก แต่ว่าก็ต้องตั้งต้นด้วยสติเช่นเดียวกัน ขาดสติไม่ได้ เพราะสตินั้นคือความระลึกกำหนด เท่ากับเป็นผู้เสนอเรื่องเหล่านี้แก่จิต เพื่อกำหนดพิจารณาให้รู้จัก ซึ่งเป็นตัวปัญญา ถ้าหากว่าสติไม่เสนอ หรือว่าเสนอบกพร่อง ปัญญาก็ไม่เกิด หรือเกิดขึ้นก็เกิดอย่างบกพร่อง เพราะปัญญานั้นจะเกิดขึ้นได้ก็โดยที่สตินี้เองเป็นผู้เสนอ เหมือนอย่างบุคคลซึ่งเป็นผู้ทำงาน หรือเป็นหัวหน้างาน ซึ่งมีเลขานุการเป็นผู้เสนอเรื่อง ถ้าหากว่าเลขานุการไม่เสนอเรื่อง ผู้ที่บัญชางานก็ไม่มีเรื่องจะบัญชา หรือว่าถ้าผู้เสนอเรื่องเสนอผิด คือเสนอเรื่องราวข้อมูลต่างๆ ผิด ผู้บังคับบัญชาก็จะต้องสั่งไปผิดๆ ต่อเมื่อสติเสนอถูกจึงจะบังคับบัญชาไปถูกต้องได้
เพราะฉะนั้นสติจึงมีหน้าที่สำคัญ คือเป็นผู้เสนอเรื่องแก่จิตเพื่อพิจารณา และสตินี้เองย่อมเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดรู้ผิด หรือรู้ถูก ถ้าเสนอผิดก็ทำให้รู้ผิด เสนอถูกก็รู้ถูก สติที่เสนอผิดนั้นเป็นมิจฉาสติ สติที่ผิด สติที่เสนอถูกนั้นเป็นสัมมาสติ สติที่ชอบ และปัญญาที่รู้ผิดนั้นเป็นมิจฉาปัญญา เป็นมิจฉาทิฏฐิ ปัญญาที่รู้ถูกนั้นเป็นสัมมาปัญญา สัมมาทิฏฐิ ฉะนั้นสติกับปัญญาจึงเนื่องกัน
โพชฌงค์ ๗
เพราะฉะนั้น เมื่อมาถึงหมวดโพชฌงค์ ๗ จึงได้ตรัสแสดงสติเป็นข้อแรกคือสติสัมโพชฌงค์ องค์แห่งความรู้พร้อมคือสติ ข้อ ๒ ธัมวิจยสัมโพชฌงค์ องค์แห่งความรู้พร้อม คือธรรมวิจัยความเลือกเฟ้นธรรม ข้อ ๓ วิริยสัมโพชฌงค์ องค์แห่งความรู้พร้อม คือความเพียร ข้อ ๔ ปีติสัมโพชฌงค์ องค์แห่งความรู้พร้อม คือปีติ
ข้อ ๕ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ องค์แห่งความรู้พร้อม คือปัสสัทธิความสงบกายสงบใจ ข้อ ๖ สมาธิสัมโพชฌงค์ องค์แห่งความรู้พร้อม คือสมาธิ และข้อ ๗ อุเบกขาสัมโพชงค์ องค์แห่งความรู้พร้อม คืออุเบกขา ความเข้าไปเพ่งสงบอยู่ในภายใน เพราะฉะนั้น หมวดสัมโพชฌงค์นี้ จึงเป็นหมวดธรรมะอันสำคัญซึ่งจะได้แสดงต่อไป
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป