แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ธรรมะเป็น สวากขาโต ภควตาธัมโม ธรรมะอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว สันทิฏฐิโก อันผู้ปฏิบัติผู้ได้บรรลุพึงเห็นเอง อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา เอหิปัสสิโก ควรเรียกให้มาดู โอปนยิโก ควรน้อมเข้ามา ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ อันวิญญู คือผู้รู้พึงรู้จำเพาะตน
ในข้อที่ ๖ นี้ได้แสดงอธิบายโดยทั่วไปมาแล้ว จะได้แสดงโดยความต่อเชื่อมกับข้อข้างต้น โดยเฉพาะคือ โอปนยิโก ควรน้อมเข้ามา โดยที่น้อมเข้ามาดูจิตมีราคะ หรือปราศจากราคะ มีโทสะ หรือปราศจากโทสะ มีโมหะ หรือปราศจากโมหะ โดยจำแนกจิตดังกล่าวออกทีละข้อ ก็ดูจิตที่บังเกิดขึ้น ในความรู้ ความคิด ของตนเองนี่แหละ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อจิตมีราคะความติดใจยินดี ก็ตั้งสติกำหนดดูจิตดังกล่าว โดยจำแนกออกเป็น ๑ จิต ๒ อารมณ์ และ ๓ ตัวราคะความติดใจยินดีที่บังเกิดขึ้น ว่าทั้ง ๓ นี้ มาปรุงกันแต่งกันเป็นจิตมีราคะขึ้น และเมื่อแยกออกจากกันเสียได้ ก็จะเป็นจิตที่ปราศจากราคะ กำหนดดูจิตดั่งนี้
เวทนา เครื่องปรุงเวทนา
และเมื่อต้องการกำหนดดูสืบสาวออกไป ก็จะพบจิตที่มีราคะดังกล่าวนี้ ว่าเนื่องจากเวทนา คือความรู้เป็นสุขเป็นทุกข์หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขในอารมณ์ทั้งหลาย และโดยเฉพาะจิตที่มีราคะนั้นเมื่อเกิดเวทนาที่มีสุข และจิตก็รับเวทนาที่มีสุขนี้เป็นอารมณ์ จึงเกิดราคะขึ้น เพราะอารมณ์อันได้มาจากสุขเวทนาเป็นที่ตั้งของราคะ และหากจะสืบออกไปอีกก็จะพบกายนี้เองเป็นเครื่องปรุงเวทนา และจะพบอารมณ์ทางจิตเองด้วยเป็นเครื่องปรุงเวทนา เพราะว่าเวทนานั้นเป็นไปทางกายก็มี เป็นไปทางใจก็มี
เพราะฉะนั้นเมื่อได้ตั้งสติกำหนดดูจิต จิตที่เป็นไปในปัจจุบันนี้แหละ ก็ย่อมจะพบว่าจิตนี้ย่อมรับอารมณ์อยู่เสมอ และอารมณ์ที่จิตรับนี้ เมื่อเป็นที่ตั้งของราคะหรือโลภะ ก็เกิดราคะหรือโลภะขึ้น เป็นที่ตั้งของโทสะก็เกิดโทสะขึ้น เป็นที่ตั้งของโมหะก็เกิดโมหะขึ้น จึงเป็นจิตที่มีราคะโทสะโมหะดังกล่าว ฉะนั้นเมื่อกำหนดดูจิตก็ย่อมจะพบอารมณ์ พบกิเลสที่บังเกิดขึ้นในจิต หรือว่าเมื่อจิตไม่ปรุงแต่งดังกล่าวมา คือจิตอารมณ์กิเลสไม่มาปรุงแต่งกัน ก็เป็นจิตที่ปราศจากราคะโทสะโมหะ เป็นจิตที่สงบราคะโทสะโมหะ
เมื่อเป็นดั่งนี้ผู้ที่กำหนดดูจิต ย่อมพบอารมณ์ พบกิเลสที่บังเกิดขึ้นในจิตด้วย หรือว่าพบความสงบที่ปรากฏอยู่ในจิต เช่นเดียวกับเมื่อกำหนดดูน้ำ จะเป็นน้ำในแม่น้ำ ในลำคลอง หรือแม้ในกระถางน้ำ โอ่งน้ำ ก็ย่อมจะพบสิ่งที่อยู่ในน้ำ เช่นพบก้อนกรวด พบต้นไม้ที่เกิดในน้ำเช่นจอกแหน บัว หรือพบปลาที่อยู่ในน้ำ พบตะกอน และหากน้ำนั้นใสไม่มีอะไรดังกล่าวก็ย่อมจะเห็นความใสสะอาดของน้ำ เพราะฉะนั้นสิ่งที่พบในน้ำก็เหมือนกับสิ่งที่พบในจิต เมื่อดูจิต คือย่อมจะพบอารมณ์ พบกิเลส หรือหากกิเลสสงบก็พบความสงบ หรือแม้มีภาวะอะไรอื่นทั้งส่วนดีทั้งส่วนชั่วบังเกิดขึ้นในจิต ก็ย่อมจะรู้ย่อมจะเห็น เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้า เมื่อได้ตรัสสอนให้กำหนดดูจิตให้รู้จิตว่าเป็นอย่างไร ก็ตรัสสอนให้ทำสติกำหนดดูให้รู้สิ่งที่อยู่ในจิต ดังที่กล่าว
ธรรมานุปัสสนา
สิ่งที่อยู่ในจิตทั้งสิ้นนี้ก็รวมเข้าในคำว่าธรรมะ ในสติปัฏฐานข้อที่ ๔ ธรรมานุปัสสนาที่ตรัสสอนให้พิจารณาธรรมะ กำหนดธรรมะ ก็คือภาวะต่างๆ ที่บังเกิดขึ้นมีอยู่ในจิต และผู้ปฏิบัติในข้อธรรมานุปัสสนานี้ เมื่อปฏิบัติสืบเนื่องมาจากข้อจิตตานุปัสสนา ก็ย่อมจะได้เห็นอารมณ์เห็นกิเลส ที่บังเกิดขึ้นในจิต ที่มีอยู่ในจิต ก็เพราะว่าเมื่อดูจิต หากว่าจิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ และก็ย่อมรู้ราคะที่มีอยู่ในจิตด้วย ตัวราคะที่มีอยู่ในจิตนี้แหละเป็นธรรมานุปัสสนาข้อ ๔ จิตมีโทสะ จิตมีโมหะ ก็เช่นเดียวกัน โทสะโมหะก็เป็นข้อธรรมานุปัสสนาที่มีอยู่ในจิต
(เริ่ม) และแม้ว่าจิตปราศจากราคะโทสะโมหะ ความปราศจากราคะโทสะโมหะนั้นก็เป็นธรรมานุปัสสนาที่มีอยู่ในจิต แต่ว่าเป็นฝ่ายกุศล ส่วนฝ่ายราคะโทสะโมหะเป็นฝ่ายอกุศล เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าครั้นตรัสสอนให้ตั้งสติกำหนดดูจิตรู้จิต จิตมีราคะโทสะโมหะก็ให้รู้ หรือไม่มีก็ให้รู้ ดั่งนี้แล้วจึงได้ตรัสสอนให้กำหนดดูธรรมะที่มีอยู่ในจิต คือให้กำหนดดูราคะโทสะโมหะ ที่บังเกิดขึ้นนั้นเอง หยิบยกขึ้นมาพิจารณา
ธรรมะในจิต
แต่ว่าในตอนนี้ก็ควรที่จะต้องกล่าวชี้แจงแทรกไว้ด้วยว่า ราคะ โทสะ โมหะ นั้นเรียกว่าเป็นธรรมะด้วยหรือ ในข้อนี้จึงควรเข้าใจว่า อันที่จริงธรรมะนั้นใชัในความหมายเป็นกลางๆ ก็มี ดังพระบาลีที่ว่า กุสลาธรรมา ธรรมะทั้งหลายเป็นกุศล อกุสลาธรรมาธรรมะทั้งหลายเป็นอกุศล อัพยากตาธรรมา ธรรมะทั้งหลายเป็นอัพยากฤต คือเป็นกลางๆ ไม่ยืนยันพยากรณ์ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล
ธรรมะนั้นใช้เฉพาะเป็นส่วนดีก็มี ส่วนที่ไม่ดีเรียกว่า อธรรม ดังพระบาลีที่ว่า น หิ ธมฺโม อธมฺโม จ อุโภ สมวิปากิโน ธรรมมะคือส่วนดี อธรรมคือส่วนที่ไม่ดี ทั้งสองหามีวิบากคือผลเสมอกันไม่ อธมฺโม นิรยํ เนติ อธรรมนำไปสู่นิรยะที่แปลกันว่านรก คือถิ่นที่ไร้ความเจริญ ธมฺโม ปาเปติ สุคตึ ส่วนธรรมให้ถึงสุคติ คือคติที่ดี ดั่งนี้
คำว่าธรรมะใช้หมายเป็นกลางๆ บ้าง ใช้หมายถึงส่วนที่ดีเท่านั้นบ้าง เพราะฉะนั้นเมื่อพบคำว่าธรรมะจึงต้องพิจารณาดูถึงคำที่ประกอบ จึงจะรู้ความหมายที่ต้องการที่ใช้ในที่นั้นๆ ได้ ดังที่แสดงในที่นี้มุ่งถึงส่วนที่เป็นกลางๆ เมื่อเป็นราคะโทสะโมหะ ก็เป็นอกุศลธรรม เมื่อเป็น อราคะ อโทสะ อโมหะ คุณที่ไม่ใช่ราคะ ไม่ใช่โทสะ ไม่ใช่โมหะ ก็เป็นกุศลธรรม พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนให้กำหนดดูจิต โดยทรงแสดงเป็นนิวรณ์ทั้ง ๕
นิวรณ์ ๕
นิวรณ์นั้นก็คือกิเลสที่บังเกิดขึ้นในจิต กลุ้มรุมจิต คือทำจิตให้กลัดกลุ้ม กั้นจิตไว้ไม่ให้สงบเป็นสมาธิ และไม่ให้ได้ปัญญา ก็ได้แก่
๑. กามฉันท์ ความพอใจรักใคร่ด้วยอำนาจของกิเลสกาม คือกิเลสเป็นเหตุใคร่ หรือในกามคืออารมณ์ที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย กามฉันท์นี้ก็เป็น กิเลสกองราคะ
๒. พยาบาท ความมุ่งร้ายหมายล้างผลาญให้พินาศ อันเป็นโทสะอย่างแรง ซึ่งก็รวมถึงโทสะที่เป็นอย่างปานกลาง อย่างเบา อย่างเบาก็คือจำพวกที่เรียกว่า ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่ง อันทำให้เริ่มหงุดหงิด อย่างกลางก็คือ โกธะ ความโกรธ คือขัดเคือง หรือ โทสะ เองที่แปลว่าประทุษร้าย ซึ่งหมายถึงประทุษร้ายใจตัวเองให้เร่าร้อน ต่อเมื่อมุ่งร้ายออกไปในภายนอก คือมุ่งให้ผู้ที่ตนโกรธวิบัติเสียหาย เป็นการมุ่งร้ายหมายล้างผลาญดังกล่าวจึงเป็น พยาบาท ซึ่งกิเลสกองนี้ก็คือ กองโทส
๓. ถีนมิทธะ ความง่วงงุนเคลิบเคลิ้ม
๔. อุทธัจจะ กุกกุจจะ ความฟุ้งซ่านรำคาญ และ
๕. วิจิกิจฉา ความเคลือบแคลงสงสัย
๓ ข้อนี้จัดเข้าในกิเลสกองโมหะ คือความหลง เว้นไว้แต่ข้อที่เรียกว่าความรำคาญ อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน กุกกุจจะ ความรำคาญ อันเป็นข้อที่ ๔ สำหรับอุทธัจจะ ความรำคาญนั้น พระอาจารย์ท่านใส่เข้าใน กองโทสะก็รวมเข้าเป็นนิวรณ์ ๕ ย่อเข้าก็เป็น ๓ คือ ราคะ โทสะ โมหะ นั้นเอง เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนให้ตั้งสติกำหนดดูนิวรณ์เหล่านี้ที่บังเกิดขึ้น นิวรณ์ข้อไหนบังเกิดขึ้นก็ตั้งสติกำหนดดูให้รู้จัก และให้รู้จักว่านิวรณ์เหล่านี้เกิดขึ้นมาจากอะไร จะดับไปอย่างไร และเมื่อดับไปแล้วจะไม่บังเกิดขึ้นได้อย่างไร
ซึ่งจะกล่าวเพียงย่อๆ ว่า เกิดขึ้นก็เพราะขาดสติกำหนดพิจารณาดูจิตที่รับอารมณ์ เมื่อมีสติกำหนดดูจิตที่รับอารมณ์ และพรากจิตเสียจากอารมณ์ได้ นิวรณ์ก็ดับ และเมื่อทำสติอยู่เนืองๆ ทำสติอยู่มากๆ ก็จะเกิดยากขึ้น จนถึงดับได้ทั้งหมด เมื่อการปฏิบัติในสตินั้นเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาในที่สุด แต่เมื่อยังไม่เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาในที่สุด ก็ต้องมีได้มีเสื่อม จึงต้องปฏิบัติทำสติกันอยู่เรื่อยๆ ไป ให้สติมากขึ้นไม่หลงลืม
เหตุเกิดนิวรณ์ เหตุดับนิวรณ์
เพราะฉะนั้นจึงมาถึงข้อตัวเหตุให้เกิดนิวรณ์ และเหตุที่ดับนิวรณ์ ที่ได้กล่าวว่าเกิดขึ้นก็เพราะจิตรับอารมณ์ ดับก็เพราะจิตพรากออกจากอารมณ์ได้ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนให้ตั้งสติกำหนดอายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ และให้กำหนดดูสังโยชน์คือความผูก
อายตนะ สังโยชน์
กำหนดอายตนะดังกล่าวนี้ก็คือให้ตั้งสติกำหนดทำความรู้จักรูป ให้ตั้งสติกำหนดทำความรู้จักตา ทำความรู้จักรูปที่ตาเห็น ตั้งสติกำหนดทำความรู้จักหูเสียง จมูกกลิ่น ลิ้นรส กายโผฏฐัพพะคือสิ่งที่กายถูกต้อง มโนใจ ธรรมะคือเรื่องราวที่ใจรู้ใจคิด และให้ทำสติกำหนดดูสังโยชน์คือความผูกใจ ในเมื่อตากับรูปประจวบกัน หูกับเสียงประจวบกัน จมูกกับกลิ่นประจวบกัน ลิ้นกับรสประจวบกัน กายและโผฏฐัพะคือสิ่งที่กายถูกต้องประจวบกัน มโนคือใจ ธรรมะและเรื่องราวประจวบกัน อยู่ทุกขณะของทุกๆ คน จิตนี้เองก็จะเห็นรูป และก็ไม่ได้เห็นเปล่าๆ ยังผูกใจไว้ในรูปที่ตาเห็นด้วย
จิตนี้เองก็จะได้ยินเสียง จะได้ทราบกลิ่นได้ทราบรส ได้ทราบโผฏฐัพพะและได้รู้ได้คิดเรื่องราว ทั้งยังมีสังโยชน์คือผูกใจไว้ด้วยใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมะคือเรื่องราวเหล่านั้น ใจไม่ปล่อยใจยังผูกเอาไว้ ตัวความผูกนี่แหละตรัสว่าคือฉันทราคะ ความติดใจพอใจ คือความติดใจด้วยอำนาจของความพอใจ ซึ่งมีอาการเป็นราคะความติดใจยินดี
และแม้เป็นรูปเสียงเป็นต้นที่ไม่ใช่สิ่งที่รักใคร่ปรารถนาพอใจ เป็นสิ่งที่เกลียดไม่ชอบก็ผูกโกรธ ก็เป็นผูกเหมือนกัน เป็นสังโยชน์เหมือนกัน เพราะว่าโกรธของทุกๆ คนนั้นที่บังเกิดขึ้นในใจก็ว่าเพราะใจผูก ถ้าใจไม่ผูกในบุคคลที่โกรธในสิ่งที่โกรธ โกรธก็ไม่มี ก็เป็นสังโยชน์เหมือนกัน และแม้เป็นรูปเสียงเป็นต้นที่เป็นกลางๆ ไม่พอที่จะให้ชอบ ไม่พอที่จะให้ชัง แต่ว่าไม่รู้ในคุณโทษ ไม่รู้ในวิธีที่จะนำใจออก ก็ผูกเหมือนกัน เป็นความผูกหลงเอาไว้เพราะไม่รู้ในสิ่งเหล่านั้น
เพราะฉะนั้นสังโยชน์นี้เองคือผูกใจ หรือใจผูก จึงหมายถึงราคะได้ด้วย โทสะได้ด้วย โมหะได้ด้วย เป็นผูกทั้งนั้น และเมื่อเป็นราคะโทสะโมหะขึ้น ราคะโทสะโมหะก็ผูกใจแน่นเข้าไปอีก ผูกเอาสิ่งเหล่านั้น คือผูกรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ และธรรมะที่ตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจได้ประจวบไว้ ผูกไว้ในใจด้วยกัน ไม่ปล่อย เพราะฉะนั้น นี้เองเป็นชนวนสำคัญที่ให้เกิดนิวรณ์ทั้ง ๕ หรือให้เกิดราคะโทสะโมหะ
เพราะฉะนั้นเมื่อพระพุทธเจ้า ตรัสสอนให้กำหนดดูให้รู้จักราคะโทสะโมหะ หรือนิวรณ์ ๕ ที่โยงอยู่ในข้อจิตแยกออกมา ดูต่างหากให้ชัดเจน ก็ย่อมจะสืบสาวไปพบถึงต้นของนิวรณ์ หรือราคะโทสะโมหะ ก็คือตัวสังโยชน์ความผูกใจดังกล่าวนี้ที่บังเกิดขึ้น อาศัยอายตนะภายนอกและภายในมาประจวบกันอยู่ทุกขณะ เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติทำสติในข้อนี้จึงจำเป็นที่จะต้องมีอยู่เป็นประจำทุกเวลา
เพราะทุกคนนั้นก็จะต้องเห็นอะไร ได้ยินอะไร ได้ทราบกลิ่น รส โผฏฐัพพะ อะไรๆ และได้คิดได้รู้เรื่องอะไรๆ ทางอายตนะอยู่เป็นประจำ ตั้งแต่ตื่นจนหลับอยู่ทุกๆ วัน ทุกๆ เวลา ถ้าหากว่าขาดสติเมื่อไรสังโยชน์ก็เกิดขึ้นได้เมื่อนั้น และบรรดากิเลสนิวรณ์ทั้งหลายก็บังเกิดขึ้นได้เมื่อนั้น
เพราะฉะนั้นจะปฏิบัติดับกิเลสนิวรณ์ได้ก็ต้องทำสตินี่แหละ ก็คอยกำหนดดูต้นทาง ก็คืออายตนะภายในภายนอกที่ประจวบกันอยู่ และเมื่อมีสติกำหนดอยู่ดั่งนี้สังโยชน์ก็จะบังเกิดยากขึ้น และที่บังเกิดขึ้นแล้วก็จะดับไป เพราะฉะนั้นสติในข้อธรรมะนี้จึงเป็นข้อที่ละเอียดยิ่งขึ้นที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเอาไว้
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป