แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว เป็นธรรมอันผู้ปฏิบัติผู้ได้บรรลุพึงเห็นเอง เป็นธรรมไม่ประกอบด้วยกาลเวลา เป็นธรรมควรเรียกให้มาดู เป็นธรรมที่ควรน้อมเข้ามา ได้ในบทว่าโอปนยิโก ก็คือน้อมจิตนี้เองเข้ามา น้อมเข้ามาทำไม ก็น้อมเข้ามาดู ก็จะรู้จะเห็น และจะได้ความสำนึกว่าธรรมะอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว
เพราะว่าเมื่อได้รู้ได้เห็น ก็ได้รู้ได้เห็นจริงเหมือนดั่งที่ตรัสไว้นั้นทุกประการ โดยที่ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา และเรียกตนเองให้มาดูได้ แนะนำผู้อื่นให้มาดูได้ เพราะเป็นสภาพที่มีอยู่จริง บริสุทธิ์จริง แต่จะต้องน้อมจิตเข้ามา คือน้อมจิตเข้ามาดู
การดูนั้นเรียกว่าอนุปัสสนาดูตาม อันเป็นลักษณะของสติประการหนึ่ง เรียกว่า วิปัสสนา ดูเห็นแจ้ง อันเป็นลักษณะแห่งวิปัสสนาประการหนึ่ง หรือเป็นลักษณะของปัญญา ดูที่เป็นดูตามเป็นลักษณะของสติ ดูที่เห็นแจ้งเป็นลักษณะของวิปัสสนาหรือปัญญา และโดยปริยายคือทางอันหนึ่ง ก็น้อมจิตเข้ามาดูกายเวทนาจิตธรรม อันรวมเข้าเป็นอัตภาพหรือตัวตน อันเป็นสมมติบัญญัติที่ยึดถือกันอยู่ ว่าเป็นตัวเราของเรานี้เอง
ข้อว่าน้อมจิตดูเวทนา
จะแสดงในข้อดูเวทนาคือน้อมเข้ามา น้อมจิตเข้ามาดูเวทนา อันได้แก่ความรู้เป็นสุขเป็นทุกข์หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ทางกายทางใจที่มีอยู่ ที่เป็นไปอยู่เป็นประจำ และเวทนาดังกล่าวนี้ก็สืบเนื่องมาจากกายนั้นเอง เมื่อกายประชุมกันอยู่ทุกสิ่งที่เป็นกายปฏิบัติหน้าที่อยู่เช่น หายใจเข้าหายใจออกอยู่ ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถใหญ่ อิริยาบถน้อยอยู่ อาการ ๓๑ หรือ ๓๒ มีผมขนเล็บฟันหนังเป็นต้น ก็ปฏิบัติหน้าที่อยู่ ธาตุทั้ง ๔ ประชุมกันอยู่ ก็ปรุงให้เกิดเวทนา ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง ในเมื่อกายดังกล่าวประชุมกันอยู่ ปฏิบัติหน้าที่อยู่ด้วยดีไม่บกพร่อง ก็ปรุงให้เกิด สุขเวทนา เวทนาที่เป็นสุข (เริ่ม) หากมีความบกพร่องบังเกิดขึ้น หรือว่ากระทบกับเหตุ เป็นเครื่องเบียดเบียนภายนอกที่เกินไป เช่นหนาวมากร้อนมากก็ให้เกิด ทุกขเวทนา แต่เมื่อประชุมกันอยู่เป็นไปอยู่อย่างปรกติธรรมดา ไม่พอที่จะให้เกิดสุขเวทนา หรือว่าไม่บกพร่องไม่ถูกเบียดเบียนมากไปให้เกิดทุกขเวทนา ก็ให้เกิดเวทนาที่เป็นกลางๆ อันเรียกว่า อทุกขมสุขเวทนา เวทนาที่มิใช่ทุกข์มิใช่สุข เวทนาดังกล่าวนี้ย่อมบังเกิดขึ้น ผลัดเปลี่ยนกันไปอยู่ตลอดเวลา บางคราวก็เป็นสุข บางคราวก็เป็นทุกข์ บางคราวก็เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ทั้งทางกาย ทั้งทางใจ
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนให้ตั้งสติกำหนดดูเวทนาทางกายทางใจที่บังเกิดขึ้น เมื่อเสวยสุขเวทนาก็ให้รู้ว่าเราเสวยสุขเวทนา เมื่อเสวยทุกขเวทนาก็ให้รู้ว่าเราเสวยทุกขเวทนา เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนาก็ให้รู้ว่าเราเสวยอทุกขมสุขเวทนา
สำหรับในข้อเวทนานี้ภาษาธรรมะนิยมใช้คำว่าเสวย ที่หมายความว่ารู้สึก หรือรู้เป็น เช่นรู้เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ หรือเรียกอย่างคำแปลของเสวยตรงๆ ว่ากินหรือบริโภค ซึ่งเป็นถ้อยคำที่มาจากคำว่าอัตตา หรืออาตมาอาตมัน ที่มีคำแปลอย่างหนึ่งว่าสภาพผู้กิน ก็หมายถึงว่ากินสุขกินทุกข์ หรือกินกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข คือกินเวทนานี้เอง ดังชีวิตร่างกายของผู้ที่ยังดำรงชีวิตอยู่ ก็ย่อมมีความรู้รับสุขรับทุกข์รับเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข เพราะฉะนั้นจึงใช้ลักษณะดังกล่าวนี้มาตั้งชื่อว่าอัตตาหรืออาตมัน ที่แปลกันว่าตน จะเรียกว่ากินสุขกินทุกข์หรือกินกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขก็อาจจะไม่ไพเราะ จึงใช้คำว่าเสวย และก็ใช้จำเพาะสำหรับคำนี้ที่เป็นคำใช้ทั่วไป เป็นภาษาสำหรับจิตใจ และร่างกายประกอบกัน เมื่อน้อมจิตเข้าดูกายก็ย่อมพบเวทนาด้วย แต่เมื่อกำหนดกาย มุ่งที่กายเป็นที่ตั้ง ครั้นมากำหนดเวทนา มุ่งเวทนาเป็นที่ตั้ง ก็ย่อมพบกายด้วย พร้อมทั้งจิตใจ เพราะอาการที่เป็นสุขเป็นทุกข์หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขนี้ มีอยู่แก่ทั้งกายและทั้งใจ
พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนให้ตั้งสติกำหนดดูเวทนาดั่งนี้ ก็เป็นการเลื่อนสติปัฏฐานขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งเป็นขั้นกำหนดเวทนา อันเป็นขั้นที่ละเอียดขึ้น แต่ว่าก็เป็นละเอียดปนหยาบ เพราะเวทนานี้เป็นไปทั้งทางกาย เป็นไปทั้งทางจิตใจ เมื่อตรัสสอนให้กำหนดกายอันนับว่าเป็นอารมณ์ที่หยาบ กำหนดได้ง่ายก่อน ครั้นกำหนดกายได้ดีแล้ว เวทนาก็ย่อมปรากฏแจ่มชัดขึ้น จึงได้ตรัสสอนขั้นต่อไปให้กำหนดเวทนา ซึ่งนับว่ายังอยู่ในระหว่างทั้งหยาบทั้งละเอียด ซึ่งกำหนดได้ง่าย ไม่ใช่เป็นเรื่องของจิตใจล้วนๆ เวทนาทางกายก็เป็นเรื่องของกายด้วย เวทนาทางจิตใจก็เป็นเรื่องของจิตใจ แต่ว่าทั้งกายทั้งจิตใจนี้ก็ต้องประกอบกันอยู่ ที่ว่าเป็นเรื่องของกายก็เรียกว่ากายนำหน้า แต่จิตใจก็ต้องรับ ที่เรียกว่าเป็นเรื่องของจิตใจนั้นก็คือจิตใจนำหน้า แต่กายก็ต้องรับด้วย ก็เป็นอันว่าทั้งกายทั้งใจ หรือทั้งใจทั้งกาย ก็ต้องเป็นสุขเป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขร่วมกัน
การกำหนดเวทนา
การกำหนดเวทนานี้ก็คือทำสติกำหนดที่ความเป็นสุข หรือความเป็นทุกข์ หรือความเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ของกายใจที่บังเกิดขึ้น และก็พึงเข้าใจว่าทั้ง ๓ นี้ มิใช่บังเกิดขึ้นพร้อมกัน เมื่อเกิดเป็นสุข ก็ไม่เป็นทุกข์ ไม่เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข เมื่อเกิดเป็นทุกข์ ก็ไม่เป็นสุข ไม่เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข เมื่อเกิดเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ก็ไม่เป็นสุข ไม่เป็นทุกข์ เวทนาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นในคราวหนึ่งแก่กายและใจนี้ และเรียกกันว่ากลับไปกลับมากันอยู่ทั้ง ๓ นี้เป็นประจำ
แต่อันที่จริงนั้นเรียกทางปฏิบัติว่าเกิดดับอยู่เป็นประจำ คือสุขเกิดขึ้น ดับไป จึงเกิดเวทนาอื่นขึ้นมา เช่นเกิดเป็นทุกข์ และเมื่อทุกข์ดับไปจึงเกิดเวทนาอื่นขึ้นมาเช่นเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว เวทนานี้ย่อมเกิดดับอยู่ทุกอารมณ์ที่จิตรับเข้ามา อาจจะเป็นสุขเกิดดับๆ ซ้ำซ้อนกัน หรือเป็นทุกข์เกิดดับๆ ซับซ้อนกัน หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขเกิดดับๆ ซ้อนๆ กันไปก็ได้ ในเมื่ออารมณ์ที่จิตรับเข้ามาเป็นที่ตั้งของเวทนาอันใด เวทนาอันนั้นก็ย่อมเกิดขึ้น
แต่พูดกันอย่างธรรมดาเพื่อให้เห็นว่า เดี๋ยวเป็นสุข เดี๋ยวเป็นทุกข์ เดี๋ยวเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ก็พูดเหมือนอย่างว่าสุขแล้วก็ต้องเป็นทุกข์ ทุกข์แล้วก็ต้องเป็นสุข หรือว่าเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่เกิดซ้ำกันเช่นว่าสุขๆ ๆ ต่อกันไป แต่อันที่จริงนั้นเกิดซ้ำๆ กันได้ แต่หมายความว่าต้องดับจึงเกิดใหม่ คือเกิดดับๆ ๆ อารมณ์อันเป็นที่ตั้งของสุขเมื่อบังเกิดขึ้นแก่จิตใจติดต่อกัน สุขก็เกิดดับๆ ติดต่อกันไป อารมณ์เป็นที่ตั้งของทุกข์เกิดดับๆ ติดต่อกันไป ทุกข์ก็เกิดดับติดต่อกันไป ดั่งนี้เป็นต้น เมื่อน้อมจิตเข้ากำหนดดูเวทนา เมื่อจิตสงบตั้งมั่นดูอยู่ จึงจะเห็นเวทนาที่เกิดดับๆ ดังกล่าวนี้ละเอียดเข้าๆ จะรู้ว่านี่กำลังเป็นสุขเสวยสุข นี่กำลังเป็นทุกข์เสวยทุกข์ นี่กำลังเป็นอทุกขมสุข หรือเสวยอทุกขมสุข
อารมณ์อันเป็นที่ตั้งของเวทนา
พระพุทธเจ้าครั้นได้ตรัสสอนให้ตั้งสติน้อมจิตเข้ามา ตั้งสติกำหนดดูเวทนาที่เกิดขึ้นดับไป สุขบ้างทุกข์บ้าง เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง ดั่งนี้แล้วก็ตรัสสอนให้รู้จักจำแนกประเภทเวทนาดังกล่าวนี้ออกเป็น ๒ ส่วน คือที่เป็นสามิสมีอามิสอันเป็นเครื่องล่อใจชักนำใจ ประกอบด้วยกิเลสให้เกิดเวทนาอย่างหนึ่ง เป็นนิรามิสคือไม่มีอามิสเครื่องล่อใจชักนำใจ อันประกอบด้วยกิเลสให้เกิดเวทนาอีกอย่างหนึ่ง เพราะว่าอารมณ์อันเป็นที่ตั้งของเวทนานั้นประกอบด้วยอามิสคือเครื่องล่อใจชักนำใจ อันประกอบด้วยกิเลสซึ่งเรียกว่าอามิสเฉยๆ หรือเรียกว่าโลกามิสเครื่องล่อของโลก หรือเรียกว่า เคหะสิตะ ที่แปลว่าอาศัยเรือน อันหมายว่ากามคุณารมณ์ทั้งปวง เพราะว่าบ้านเรือนนั้นย่อมต้องประกอบด้วยรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย จึงเรียกว่าเคหะสิตะอาศัยเรือน
เมื่อจิตได้รับอารมณ์ที่เป็นเคหะสิตะอาศัยเรือน หรือเป็นโลกามิสเครื่องล่อของโลก โดยเป็นรูปบ้าง เป็นเสียง เป็นกลิ่นบ้าง เป็นรสบ้าง เป็นโผฏฐัพพะสิ่งถูกต้องบ้าง ตลอดจนถึงเป็นธรรมะคือเรื่องราวทางใจที่คิดนึกบ้าง อันเป็นที่ตั้งของกิเลสทั้งหลาย กองราคะหรือโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง หรือเป็นที่ตั้งของตัณหาความดิ้นรนทะยานอยากต่างๆ ก็ให้เกิดเวทนา ที่เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง ที่เรียกว่าสามิส มีอามิสคือเครื่องล่อเครื่องชักจูงใจของโลก ซึ่งเรียกว่าโลกามิส หรือเรียกว่าเคหะสิตะอาศัยเรือน
เป็นต้นว่านึกคิดตรึกตรองไป ถึงรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมะคือเรื่องราว ที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ ซึ่งเคยได้รับมาแล้วในอดีตก็ตาม กำลังรับอยู่ก็ตาม ก็ให้เกิด สุขเวทนา เวทนาที่เป็นสุข เสวยสุข เมื่อนึกคิดตรึกตรองไปถึงอารมณ์ทั้งหลายดังกล่าวนั้น คือที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจที่ต้องการจะได้แต่ไม่ได้อยู่ในปัจจุบัน หรือนึกถึงในอดีตที่ไม่ได้ ก็เกิด ทุกขเวทนา เสวยเวทนาที่เป็นทุกข์ หรือเมื่อระลึกนึกคิดไปถึงอารมณ์ทั้งหลายดังกล่าวนั้นที่เป็นกลางๆ ไม่พอจะให้เกิดสุข ไม่พอจะให้เกิดทุกข์ ก็เกิดอุเบกขาเวทนา หรือที่เรียกว่า อทุกขมสุขเวทนา เวทนาที่ไม่ทุกข์ไม่สุข คือเวทนาที่เป็นกลางๆ ที่คนทั่วไปมีกันอยู่ ดั่งนี้ก็เรียกว่าเป็นสามิส มีอามิสคือเครื่องล่อของโลก คือเครื่องชักจูงอันประกอบด้วยกิเลส
นิรามิสสุข นิรามิสทุกข์
แต่เมื่อเป็นไปในทางตรงกันข้ามคือ เช่นได้ระลึกตรึกตรอง ถึงรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมะคือเรื่องราว ที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ หรือไม่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจก็ตาม ที่กำลังรับอยู่ หรือเคยได้รับมาแล้ว แต่พิจารณาเห็นว่าเป็นอนิจจะคือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป ปลงใจลงได้ในคติธรรมดาของสังขารทั้งหลายดังกล่าวนี้ ก็ได้สุขเวทนา เวทนาที่เป็นสุข ดั่งนี้ก็เรียกเป็นสุขที่เป็นนิรามิส ไม่มีอามิสเป็นเครื่องล่อ
และในบางคราวก็พิจารณาดังกล่าวนั้น ว่าอารมณ์ทั้งปวงดังกล่าวนั้น เป็นอนิจจะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา ก็มานึกถึงว่าไฉนหนอเราจึงจักครอบงำเวทนาเหล่านี้ได้ ไม่ต้องเป็นสุขเป็นทุกข์ไปตามอารมณ์โลกทั้งหลาย ซึ่งเป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป ทำไมเราจึงไม่สิ้นทุกข์เหมือนอย่างพระอรหันต์ทั้งหลายที่ท่านสิ้นทุกข์แล้ว มานึกถึงตัวเองขึ้นมาว่าทำไม่จึงไม่สิ้นทุกข์กันสักทีนึง ต้องเป็นทุกข์อยู่กับเรื่องของโลกทั้งหลาย ซึ่งต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป ดั่งนี้อยู่เรื่อย ก็เกิดเป็นทุกขเวทนาขึ้นมา ดั่งนี้ก็เป็น นิรามิสทุกข์ ทุกข์ที่ไม่มีอามิสเป็นเครื่องล่อ เป็นเครื่องชักจูงใจอันประกอบด้วยกิเลส เป็นทุกข์อันเกิดจากการที่ไม่ได้บรรลุถึงความสิ้นทุกข์ เหมือนอย่างท่านผู้สิ้นทุกข์ทั้งหลาย
เนกขัมมะสิตะ
หรือในบางคราวเมื่อนึกถึงอารมณ์ทั้งหลาย และก็พิจารณาเป็นอนิจจะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป ก็ได้อุเบกขาคือความวางเฉยในอารมณ์นั้น ไม่เป็นทุกข์ไม่เป็นสุข ดั่งนี้ก็เป็นอทุกขมสุขเวทนา หรืออุเบกขาเวทนาที่เป็นนิรามิส ไม่มีอามิสเป็นเครื่องล่อ นิรามิสนี้เรียกว่า เนกขัมมะสิตะ อาศัยเนกขัมมะก็ได้ คืออาศัยการออก ออกจากกามทางใจ ใจปลงเห็นอนิจจะไม่เที่ยงเป็นทุกข์ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป ใจก็ไม่ใคร่ ใจไม่ติด จึงเรียกว่าเนกขัมมะสิตะ อาศัยเนกขัมมะ ตรงกันข้ามกับ เคหะสิตะ อาศัยเรือน เมื่อเป็นเคหะสิตะอาศัยเรือนก็เป็นสามิส ประกอบด้วยอามิส คือเครื่องล่อเครื่องชักจูงอันประกอบด้วยกิเลส เมื่อเป็น เนกขัมมะสิตะ อาศัยเนกขัมมะก็เป็นนิรามิส ไม่ประกอบด้วยอามิสเครื่องล่อ เครื่องชักจูงอันประกอบด้วยกิเลส
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอน ให้ทำความรู้ด้วยน้อมจิตให้เป็นโอปนยิโก ดูเวทนาให้รู้ว่าเป็นประเภทไหน เมื่อเสวยสุขเวทนาที่มีอามิสก็ให้รู้ ไม่มีอามิสก็ให้รู้ เมื่อเสวยทุกขเวทนาที่มีอามิสก็ให้รู้ ไม่มีอามิสก็ให้รู้ เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนา หรืออุเบกขาเวทนาที่มีอามิสก็ให้รู้ ที่ไม่มีอามิสก็ให้รู้ ตามที่เป็นจริง ดั่งนี้เป็นการปฏิบัติตั้งสติกำหนดเวทนา อันเรียกว่าเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ตั้งสติกำหนดคือตามดูเวทนา ต้องอาศัยธรรมะที่เป็นโอปนยิโกคือน้อมจิตเข้ามาดู จึงจะเห็นเวทนาตามที่ตรัสสอนไว้นี้
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป