แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ธรรมะอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว เป็นธรรมอันบุคคลผู้ปฏิบัติผู้ได้บรรลุพึงเห็นเอง เป็นธรรมไม่ประกอบด้วยกาล เป็นธรรมที่ควรเรียกให้มาดู และบุคคลแรกที่ควรเรียกให้มาดูก็คือตนเอง การปฏิบัติในสติปัฏฐานพระพุทธเจ้าตรัสสอน ว่าสติปัฏฐานที่ตั้งแห่งสติ หรือความที่มีสติตั้งในกายเวทนาจิตธรรม เป็น เอกายโน มคฺโค ทางไปอันเดียว สตฺตานํ วิสุทฺธิยา เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย เพื่อก้าวล่วงโสกะความโศกความแห้งใจ ความรัญจวนคร่ำครวญใจ
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย เพื่อดับทุกข์โทมนัสความไม่สะบายกายไม่สบายใจ ญายสฺส อธิคมาย เพื่อบรรลุญายธรรมคือธรรมะที่พึงบรรลุ ธรรมะที่ถูกที่ชอบ นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน (เริ่ม) ก็คือการปฏิบัติด้วยมีอาตาปี ความเพียร ที่ตามศัพท์แปลว่าความเพียรเผา คือเผากิเลส สมฺปชาโน มีสัมปชานะ หรือสัมปชัญญะความรู้ รู้ตัว สติมา มีสติกำหนด พิจารณากำหนดรู้ วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ กำจัดความยินดีความยินร้ายในโลก ดั่งนี้
กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก
และได้ตรัสสอนเริ่มตั้งแต่ข้อสติที่กำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออก โดยที่ตรัสสอนให้เข้าป่า หรืออยู่โคนไม้ หรือเรือนว่าง อันหมายถึงที่ซึ่งเป็น กายวิเวก สงัดกาย แม้อยู่ในวัดอยู่ในบ้าน อยู่ในที่ประชุมปฏิบัติเช่นในที่นี้ ก็ชื่อว่ามีที่อยู่เป็นกายวิเวกสงัดกายได้ เพราะมิได้คลุกคลีพัวพันในกันและกัน ต่างรักษาความสงบกายวาจาใจของตน จึงเหมือนอย่างอยู่ผู้เดียว เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องในกันและกัน ก็นับว่าเป็นที่ๆ เป็นกายวิเวก คือสงัดกายได้ และเมื่อสงัดกายได้ ก็ทำให้เกิด จิตวิเวก สงัดจิตใจได้ เมื่อสงัดจิตใจได้ก็ทำให้เกิด อุปธิวิเวก สงัดกิเลสได้
ได้ตรัสสอนว่าเมื่อได้ที่อันสงบสงัด ก็นั่งกายตรง ดำรงสติรอบคอบ เหมือนอย่างมีหน้าอยู่รอบด้าน ก็คือรอบคอบ มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก หายใจเข้าหายใจออกยาวก็ให้รู้ หายใจเข้าหายใจออกสั้นก็ให้รู้ ศึกษาคือตั้งใจสำเหนียกกำหนดว่าเราจักรู้กายทั้งหมดหายใจเข้าหายใจออก ศึกษาคือสำเหนียกกำหนดว่าเราจักสงบรำงับกายสังขารเครื่องปรุงกาย หายใจเข้าหายใจออก เหมือนอย่างช่างกลึงหรือลูกมือของช่างกลึง เมื่อกลึงยาวก็รู้ กลึงสั้นก็รู้ ดั่งนี้
สูตรปฏิบัติในอานาปานสติ
พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ดั่งนี้ เป็นสูตรปฏิบัติที่ได้ตรัสสอนไว้เองโดยตรง เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติก็ต้องเรียกตนเข้ามาดูให้เป็นเอหิปัสสิโก ในลมหายใจเข้าลมหายใจออกของตนเองดั่งที่ตรัสสอนไว้ และเมื่อได้เรียกตนเองให้มาดูด้วยสติที่กำหนด พร้อมทั้งสัมปชัญญะคือรู้ พร้อมทั้งญาณปัญญา คือความที่หยั่งรู้ ก็ย่อมจะได้เห็นได้รู้ ด้วยสติด้วยญาณ ในลมหายใจเข้าออกของตนตามที่ตรัสสอนไว้ ยาวก็รู้ สั้นก็รู้ และเมื่อจิตรวมอยู่ก็จะรู้กายทั้งหมด ทั้งรูปกายที่หายใจเข้าหายใจออกอยู่ ทั้งนามกายคืออาการของใจที่กำหนดรวมกันอยู่
และเมื่อมีความเพียรอยู่ดั่งนี้ มีความรู้ตัวอยู่ดั่งนี้ มีสติอยู่ดั่งนี้ ไม่ยึดมั่นยินดียินร้ายอะไรๆ ในโลก กำหนดให้รู้สงบอยู่ในภายใน ก็ชื่อว่าเป็นการสงบกายสังขารเครื่องปรุงกาย ทั้งรูปกายทั้งนามกาย รูปกายก็สงบ ลมหายใจก็สงบ นามกายคืออาการทางจิตใจก็สงบ สงบอยู่ในภายในไม่ไปข้างไหน และก็รู้อยู่ตลอดเวลาที่สงบอยู่นี้ว่าลมหายใจมีอยู่ มีอยู่อย่างหยาบ มีอยู่อย่างละเอียด จนมีอยู่อย่างละเอียดอย่างยิ่งเหมือนอย่างไม่หายใจ ดั่งนี้ก็เป็นอานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก จะได้ข้อนี้ก็ต้องเป็นเอหิปัสสิโก เรียกตนให้มาดู ตามที่ตรัสสอน ดูด้วยสติดูด้วยญาณปัญญา ก็จะเห็นจะรู้ลมหายใจเป็นอานาปานสติ
สติสัมปชัญญะในอิริยาบถ
อนึ่งก็ได้ตรัสสอนให้มีสติรู้ในอิริยาบถ พร้อมทั้งสัมปชัญญะความรู้ตัวในอิริยาบถ เมื่อเดินก็รู้ว่าเดิน ยืนก็รู้ว่ายืน นั่งก็รู้ว่านั่ง นอนก็รู้ว่านอน และให้มีสัมปชัญญะความรู้ตัวพร้อมทั้งสติในอิริยาบถประกอบทั้งหลาย ก้าวไปข้างหน้าก็รู้ ถอยไปข้างหลังก็รู้ แลดูก็ เหลียวดูก็รู้ เหยียดกายออกไปคู้กายเข้ามาก็รู้ นุ่งห่มครองผ้า บาตรสำหรับภิกษุก็รู้ กินดื่มเคี้ยวลิ้มก็รู้ ถ่ายก็รู้ เดินยืนนั่งนอนตื่นพูดนิ่งก็รู้ ก็เป็นอันได้ปฏิบัติทำสติสัมปชัญญะในอิริยาบถทั้งปวง ก็ต้องปฏิบัติให้เป็น เอหิปัสสิโก เรียกตนเองให้มาดู ด้วยสติด้วยญาณปัญญา จึงจะรู้จะเห็นในอิริยาบถดังกล่าว
กายคตาสติ
อนึ่งได้ตรัสสอนให้พิจารณากายนี้ เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ว่าเต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ คือ เกสา ผม โลมา ขน นขา เล็บ ทันตา ฟัน ตะโจ หนัง มังสัง เนื้อ นหารู เอ็น อัฏฐิ กระดูก อัฏฐิมิญชัง เยื่อในกระดูก วักกัง ไต หทยัง หัวใจ ยกนัง ตับ กิโลมกัง พังผืด ปิหังกัง ม้าม ปับผาสัง ปอด อันตัง ไส้ใหญ่ อันตะคุณัง สายรัดไส้ หรือใส้เล็ก อุทริยัง อาหารใหม่ กรีสัง อาหารเก่า ปิตตัง น้ำดี เสมหัง น้ำเสลด ปุพโพ น้ำหนองน้ำเหลือง โลหิตัง น้ำเลือด เสโท น้ำเหงื่อ เมโท มันข้น อัสสุ น้ำตา วสา มันเหลว เขโฬ น้ำลาย สิงฆาณิกา น้ำมูก ลสิกา ไขข้อ มุตตัง มูตร รวมเป็น ๓๑ ในบางพระสูตรท่านเติมอีกอาการหนึ่ง คือ มัตถเกมัตถลุงคัง ขมองในขมองศีรษะ ก็เป็นอาการ ๓๒ ที่ซึ่งเราทั้งหลายมักจะพูดกันว่าอาการ ๓๒ ก็โดยมีขมองในขมองศีรษะเพิ่มเข้าอีกหนึ่ง ตรัสสอนให้พิจารณาอาการเหล่านี้ ซึ่งล้วนเป็นของไม่สะอาด เป็นของปฏิกูล
ตรัสสอนให้พิจารณาเป็นอย่างๆ เหมือนอย่างถุงที่บรรจุธัญชาติต่างๆ มีข้าวสาลีข้าวเปลือกเป็นต้น บุรุษผู้มีจักษุก็เปิดถุงที่บรรจุธัญชาติต่างๆ เหล่านี้ และก็พิจารณาดูว่าเหล่านี้เป็นข้าวสาลี เหล่านี้เป็นข้าวเปลือก เหล่านี้เป็นถั่ว เหล่านี้เป็นงาเป็นต้น การพิจารณาอาการ ๓๑ หรือ ๓๒ ก็ตรัสสอนให้จับพิจารณาเหมือนอย่างนั้น เมื่อได้ปฏิกูลสัญญา ความสำคัญหมายว่าไม่สะอาด ว่าปฏิกูลน่าเกลียด ก็เป็นอันได้ปฏิบัติใน กายคตาสติ สติที่ไปในกายนี้ ก็ต้องเป็น เอหิปัสสิโก เรียกตนให้มาดูตามที่ตรัสสอนไว้นี้ ที่กายนี้ของตนเอง ด้วยสติด้วยญาณปัญญา ซึ่งจะได้กายคตาสติกรรมฐานข้อนี้
ธาตุกรรมฐาน
อนึ่งก็ได้ตรัสสอนให้พิจารณาว่ากายนี้ ตามที่ตั้งอยู่ที่ดำรงอยู่นี้ ประกอบด้วยธาตุทั้งหลาย ๔ คือปฐวีธาตุได้แก่ส่วนที่แข้นแข็ง อาโปธาตุได้แก่ส่วนที่เหลวไหลเอิบอาบ เตโชธาตุได้แก่ส่วนที่อบอุ่นร้อน วาโยธาตุได้แก่ส่วนที่พัดไหว ที่เรียกกันง่ายๆ ว่าธาตุดินน้ำไฟลม พิจารณาว่ากายนี้ก็สักแต่ว่าเป็นธาตุทั้ง ๔ นี้ประกอบกัน ก็ต้องเป็น เอหิปัสสิโก เรียกตนเองให้มาดูกายนี้ ว่าประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ ตามที่ตรัสสอนไว้ ด้วยสติด้วยญาณปัญญา จึงจะรู้ จึงจะเห็นว่าสักแต่ว่าเป็นธาตุ ก็จะทำให้อัตตสัญญาความสำคัญหมายว่าเป็นตัวเราของเราสงบลง จะเห็นสักแต่ว่าเป็นธาตุ
ป่าช้า ๙
อนึ่งก็ได้ตรัสสอนให้พิจารณาซากศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า ในครั้งพุทธกาลหรือในครั้งโบราณนั้น เมื่อมีผู้ใดผู้หนึ่งตายก็นำศพไปทิ้งไว้ในป่าช้า ให้เป็นหน้าที่ของสัปเหร่อจะเป็นผู้เผาผู้ฝัง ในบัดนี้แม้ไม่มีแล้ว ก็ให้พิจารณาได้โดยสมมติเอาว่า ได้มีศพที่เขาไปทิ้งไว้ในป่าช้าดังกล่าว และเมื่อไปดูศพที่เข้าทิ้งไว้ในป่าช้าดังกล่าว ก็จะเห็นตั้งแต่ศพที่เขาทิ้งไว้นั้น ซึ่งตายไปแล้วหนึ่งวันบ้าง สองวันบ้าง สามวันบ้าง ขึ้นพองมีสีเขียวน่าเกลียด จะได้เห็นว่ามีสัตว์ทั้งหลายมากัดมาจิกกิน เช่นมีกา แร้ง นก สุนัขต่างๆ ตลอดจนถึงพวกสัตว์เล็กๆ ต่างๆ พวกหนอนต่างๆ มากัดกินมาจิกกินมาดูดกินศพเหล่านี้
และก็จะได้เห็นศพเหล่านี้ ซึ่งเป็นโครงร่างกระดูกรวมกันอยู่ มีเนื้อโลหิตเอ็นรึงรัด ก็จะได้เห็นศพเหล่านี้ เป็นศพที่เป็นโครงกระดูก ซึ่งเนื้อหมดไปแล้ว แต่ยังเปื้อนเลือดยังมีเส้นเอ็นรึงรัด ก็จะเห็นศพเหล่านี้ยังเป็นโครงร่างกระดูก ไม่มีเนื้อไม่มีเลือดแล้ว แต่ยังมีเส้นเอ็นรึงรัดเป็นโครงกระดูกอยู่ ก็จะเห็นศพเหล่านี้ไม่มีเส้นเอ็นรึงรัดเสียแล้ว กระดูกที่เรียงกันอยู่เป็นโครงร่าง ก็หลุดกระจัดกระจาย กระดูกมือก็ไปทางหนึ่ง กระดูกเท้าก็ไปทางหนึ่ง กระดูกแข้งก็ไปทางหนึ่ง เข่าก็ไปทางหนึ่ง ขาก็ไปทางหนึ่ง สะเอวก็ไปทางหนึ่ง กระดูกหลังก็ไปทางหนึ่ง กระดูกซี่โครงก็ไปทางหนึ่ง กระดูกอกก็ไปทางหนึ่ง กระดูกแขนก็ไปทางหนึ่ง กระดูกหัวไหล่ก็ไปทางหนึ่ง กระดูกคอก็ไปทางหนึ่ง คางก็ไปทางหนึ่ง ฟันก็ไปทางหนึ่ง ศีรษะก็ไปทางหนึ่ง แตกแยกกระจัดกระจายไปในทิศทางต่างๆ และก็จะเห็นกระดูกเหล่านี้มีสีขาวเพียงดังสังข์ ก็จะเห็นกระดูกเหล่านี้ยังกองกันอยู่บ้าง ล่วงผ่านปีไป และก็จะเห็นกระดูกเหล่านี้ผุป่นละเอียด ปนไปกับดินทรายในที่สุด (เริ่ม) ก็ต้องเป็น เอหิปัสสิโก เรียกตนเองให้มาดู ด้วยสติด้วยญาณปัญญา จึงจะเห็นจึงจะรู้ว่ากายนี้ ซึ่งก่อนแต่เกิดมา เริ่มต้นแต่เป็นกลละในครรภ์ของมารดา ก็ไม่มีอะไร และเมื่อเริ่มเกิดขึ้นมาแล้ว ตั้งแต่กลละในครรภ์ของมารดา ค่อยๆ เติบใหญ่ขึ้นเป็นปัญจสาขา มีตามีหูเป็นต้น ครบกำหนดคลอดออกมา อาศัยอาหารบำรุงเลี้ยงเติบใหญ่ขึ้นมา จนถึงบัดนี้
ทุกๆ คนที่นั่งอยู่ในบัดนี้ทั้งหมดก็เริ่มต้นมาอย่างนี้ เป็นร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่ในบัดนี้ หายใจเข้าหายใจออกกันอยู่ทุกขณะในบัดนี้ และก็อยู่ในอิริยาบถ ในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่ง ดังในบัดนี้ก็อยู่ในอิริยาบถนั่ง และก็มีอิริยาบถประกอบ เช่นในบัดนี้กำลังนั่งคู้ขาเข้ามาเป็นแบบนั่งพับเพียบ วางมือเข้ามา และผู้ที่แสดงนี้ก็กำลังพูด ท่านทั้งหลายผู้ฟังก็อยู่ในอาการนิ่ง และก็ประกอบด้วยอาการ ๓๒ มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น ต่างก็ปฏิบัติหน้าที่ไปตามหน้าที่ของตน มีอาการคือการกระทำงานของตน ผมก็มีอาการที่ทำงานเป็นหน้าที่ของผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้นก็เช่นเดียวกัน มีอาการคือการทำงานตามหน้าที่ของตนไป
กายานุปัสนาสติปัฏฐาน
และเมื่อสรุปเข้ามาแล้ว อาการเหล่านี้ก็เป็นธาตุทั้ง ๔ ธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลม อาการสามสิบเอ็ดสามสิบสองดังที่กล่าวมาข้างต้นนั่นแหละ ตั้งแต่ เกสา ผม จนถึง กรีสัง อาหารเก่า เติม มัตถเกมัตถลุงคัง ขมองในขมองศีรษะ รวมเป็น ๒๐ ถ้าไม่เติมก็ ๑๙ รวมเข้าก็เป็นปฐวีธาตุ ธาตุดิน ตั้งแต่ ปิตตัง น้ำดี จนถึงมุตตัง มูตร รวมเข้า ๑๒ ก็เป็นอาโปธาตุ ธาตุน้ำ เตโชธาตุ ธาตุไฟ นั้นมีตรัสแสดงไว้ในที่อื่น ก็ได้แก่ไฟที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น หรือว่าร้อน ไฟที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรม ไฟที่ทำให้ร่างกายเร่าร้อนมาก และไฟที่ช่วยในการย่อยอาหาร ที่กิน ที่ดื่ม ที่ขบเคี้ยว ที่ลิ้ม รวมเข้าก็เป็นเตโชธาตุ ธาตุไฟ วาโยธาตุ ธาตุลม นั้นก็ได้แก่ลมที่พัดขึ้นเบื้องบน ลมที่พัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในลำไส้ ลมที่พัดไปในอวัยวะน้อยใหญ่ทั้งปวง ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก รวมเข้าก็เป็นวาโยธาตุ ธาตุลม รวมเข้าก็เป็นธาตุ ๔ ดังกล่าวนี้ เมื่อธาตุ ๔ เหล่านี้ยังดำรงอยู่ ยังรวมกันอยู่ ปฏิบัติหน้าที่ของธาตุทั้ง ๔ นี้อยู่ ชีวิตก็ยังดำรงอยู่
อาการสามสิบเอ็ดสามสิบสองก็ทำหน้าที่ของตนอยู่ ยังผลัดเปลี่ยนอิริยาบถได้อยู่ หายใจเข้าหายใจออกอยู่ แต่เมื่อธาตุทั้ง ๔ นี้แตกสลาย ดับลมหายใจ ธาตุลมดับไปก่อน ธาตุอื่นๆ ก็แตกสลายตาม ร่างกายนี้ก็กลายเป็นศพ ไม่มีการหายใจเข้า ไม่มีการหายใจออก ไม่มีการผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ อาการสามสิบเอ็ดสามสิบสองก็หยุดปฏิบัติหน้าที่ หยุดทำงาน และศพนี้ก็ตั้งต้นเป็นศพที่ตายแล้ววันหนึ่ง สองวัน สามวันเป็นต้นไป จนถึงในที่สุดก็เป็นกระดูกผุป่นตามที่ตรัสสอนไว้นั้น
ฉะนั้น ก่อนจะถือกำเนิดมาทีแรกก็ไม่มี ในที่สุดก็กลับไม่มีเหมือนอย่างเดิม นี้เป็นการที่พิจารณา กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน สติที่กำหนดพิจารณากาย สติที่กำหนดกาย ก็ต้องเป็นเอหิปัสสิโกเรียกตนเองให้มาดู ด้วยสติด้วยญาณปัญญา ให้รู้ให้เห็น จึงจะเป็นสติปัฏฐานตั้งสติ จนถึงสติตั้งเป็นไปในกายตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป