แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ธรรมหรือธรรมะนั้น เป็นธรรมะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว ดังพระธรรมคุณบทว่า สวากขาโต ภควตา ธัมโม ธรรมะอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว ตรัสดีแล้วอย่างไรได้แสดงแล้วโดยปริยายคือทางที่พึงแสดงได้ในครั้งเดียว แต่มีข้อสำคัญที่ส่องถึงว่าธรรมะอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว ก็เพราะว่าธรรมะที่พระองค์ตรัสสอนนั้นเป็น สันทิฏฐิโก คือ เป็นธรรมะอันผู้ฟังผู้ปฏิบัติผู้ได้บรรลุพึงเห็นได้เอง
ข้อนี้เป็นหลักสำคัญอย่างยิ่งของธรรมะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสั่งสอน ชื่อว่าได้ตรัสดีได้ทรงสั่งสอนดี ก็เพราะผู้ฟังผู้ปฏิบัติผู้ได้บรรลุพึงเห็นได้เองนี่เอง เพราะฉะนั้น ในเบื้องต้นก็พึงทำความเข้าใจไว้ดั่งนี้ก่อน และไม่ควรจะมีความเข้าใจว่า ข้อที่ว่าเห็นได้เองนี้เพราะเป็นธรรมะที่ลึกซึ้ง ไม่เป็นวิสัยของสามัญชนจะพึงเห็นได้ ซึ่งอาจจะมีผู้เข้าใจดั่งนั้น
ธรรมะที่พึงรู้พึงเห็นได้
แต่อันที่จริงนั้นข้อว่าสันทิฏฐิโกนี้ เป็นลักษณะอันสำคัญของพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เพราะเหตุที่ทำให้ผู้ฟังผู้ปฏิบัติผู้ได้บรรลุเห็นเองได้นี้ จึงทำให้ชื่อว่าเป็นธรรมะที่ตรัสดีแล้วดังกล่าว
อันข้อที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั้นก็ดังที่ได้กล่าวแล้ว ว่ามีอาการ ๓ อย่าง คือ เป็นธรรมะที่พึงรู้พึงเห็น ก็คือพึงรู้พึงเห็นได้ เป็นสันทิฏฐิโกนี่แหละ เป็นธรรมะมีเหตุที่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้ ก็เพราะว่าจะรู้จะเห็นได้เองดังที่ข้อ ๑ ก็ต้องมีข้อ ๒ คือมีเหตุที่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้ คือให้เป็นสันทิฏฐิโกขึ้นมาได้ และที่จะเป็นดั่งข้อสองนี่ได้ก็โดยที่มีข้อ ๓ คือเป็นธรรมะที่มีปาฏิหาริย์ กล่าวคือ กำจัดข้าศึกกิเลสได้ เป็นสัจจะคือความจริง ที่ให้ผลเป็นประโยชน์สุข ตั้งแต่ขั้นต้นขั้นต่ำขึ้นไปได้จริง จนถึงประโยชน์สูงสุดคือมรรคผลนิพพาน กำจัดกิเลสและกองทุกข์ได้หมดสิ้นจริง ตามสมควรแก่ความปฏิบัติ
การที่ปฏิบัติได้ผลสมจริงนี่แหละเป็นตัวปาฏิหาริย์ดังที่ได้กล่าวแล้ว เพราะฉะนั้นธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน จึงต้องมีลักษณะที่เป็นสันทิฏฐิโกดังกล่าว ถ้าไม่มีลักษณะเป็นสันทิฏฐิโกก็ไม่ทรงสั่งสอน แม้จะมีผู้มาถาม ก็ไม่ตรัสตอบ ไม่ตรัสพยากรณ์ ดังเช่นที่แสดงไว้ถึงปัญหาที่พระพุทธเจ้าไม่ตรัสตอบไว้ ๑๐ ข้อ ยกตัวอย่างขึ้นมาเพียงบางข้อ คือปัญหาที่ถามว่าโลกเที่ยง หรือโลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด หรือโลกไม่มีที่สุด ก็เป็นทำนองปัญหาเรื่องการสร้างโลก หรือการสิ้นสุดแห่งโลก ซึ่งหมายถึงโลกคือพื้นพิภพอันนี้ อันเรียกว่าโอกาสโลก โลกคือพื้นพิภพอันนี้ เที่ยงหรือไม่เที่ยง มีที่สุดหรือไม่มีที่สุด อย่างไร ปัญหาเหล่านี้พระพุทธองค์ไม่ตรัสตอบ เพราะว่าไม่ให้สำเร็จประโยชน์อะไร ไม่ทำให้สิ้นกิเลสและกองทุกข์ได้อย่างไร
เพราะว่าไม่มีผู้ฟังที่จะได้ความรู้ความเห็นได้ด้วยตนเอง ถ้าตรัสตอบไปก็เพียงแต่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อเท่านั้น ถ้าไม่เชื่อและเกิดความลบหลู่ขึ้น ก็เป็นการที่ไม่เชื่อในพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ไม่เป็นบุญไม่เป็นกุศลเพิ่มขึ้นอีก เพราะว่าไม่ทำให้ผู้ฟังได้ความรู้ความเห็นขึ้นด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้น เรื่องดังเช่นที่กล่าวมานี้พระพุทธเจ้าไม่ตรัสสอน แม้จะมีผู้มาถามก็ไม่ตรัสตอบ เพราะไม่เป็นสันทิฏฐิโกขึ้นมาได้ ไม่ให้สำเร็จประโยชน์อะไร ส่วนธรรมะที่ตรัสสอนนั้น ต้องเป็นธรรมะที่เป็นสันทิฏฐิโก ที่ผู้ฟังพึงรู้พึงเห็น รู้เห็นได้ ก็คือเห็นได้ด้วยตนเองดังกล่าว
โลกในภายใน
เพราะฉะนั้น พระองค์จึงได้ทรงแสดงโลก คือแทนที่จะแสดงโลกในภายนอกที่เป็นพื้นพิภพโลกธาตุดังที่กล่าวมานั้น มาทรงแสดงโลกในภายในคือในกายอันยาววาหนาคืบนี้ มีสัญญามีใจครองนี้ ดังที่ได้ตรัสไว้แก่โรหิตัสสะเทพบุตร ว่าพระองค์ทรงบัญญัติโลก บัญญัติโลกสมุทัยเหตุเกิดเพราะโลก บัญญัติโลกนิโรธความดับโลก บัญญัติโลกนิโรธคามินีปฏิปทาข้อปฏิบัติให้ถึงความดับโลก ในกายอันยาววาหนึ่งมีสัญญามีใจครองนี้ ดั่งนี้
โลกที่พระองค์ทรงบัญญัตินี้ พระองค์ได้ถึงที่สุดของโลกแล้ว จึงได้ทรงแสดงสั่งสอน ( เริ่ม ) ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธะ ก็เพราะได้ตรัสรู้ถึงที่สุดของโลกในภายใน และก็ตรัสแสดงชี้แจงเปิดเผยกระทำให้แจ้ง โลกที่ทรงบัญญัติไว้ทั้ง ๔ นี้ ก็คืออริยสัจจ์ทั้ง ๔ นั้นเอง ก็คือทุกข์ ทุกขสมุทัยเหตุเกิดทุกข์ ทุกขนิโรธความดับทุกข์ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
โลกคือขันธ์ ๕
เพราะว่าที่ชื่อว่าโลกนั้นก็เพราะเป็นสิ่งที่ชำรุดทรุดโทรม สิ่งใดชำรุดทรุดโทรมสิ่งนั้นชื่อว่าโลก เพราะฉะนั้นโลกจึงเป็นทุกข์ พระองค์ก็ตรัสชี้ทุกขสัจจะความจริงคือทุกข์นี้ โดยตรงก็คือขันธโลก โลกคือขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันย่อเข้าเป็นนามรูปนี้เองเป็นตัวโลกที่เรียกว่าขันธโลก และเป็นตัวทุกข์โดยสรุป เพราะเมื่อกล่าวโดยสรุปแล้วก็ตรัสไว้ว่า ขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการเป็นตัวทุกข์
พระองค์ทรงแสดงชี้แจงให้รู้จักโลก ให้รู้จักทุกข์ โดยปริยายเป็นอันมาก และก็ทรงแสดงชี้แจงให้รู้จักทุกขสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ ให้เกิดโลก ที่ทรงยกเอาตัณหาความดิ้นรนทะยานอยากขึ้นมาแสดง โดยปริยายเป็นอันมาก ทรงแสดงให้รู้จักทุกขนิโรธความดับทุกข์ หรือโลกนิโรธความดับโลก โดยปริยายคือทางเป็นอันมาก ทรงแสดงทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ โลกนิโรธคามินีปฏิปทาข้อปฏิบัติให้ถึงความดับโลก โดยปริยายคือทางเป็นอันมาก ทั้งหมดก็รวมเข้าในกายอันยาววาหนึ่ง มีสัญญามีใจครองของทุกๆ คนนี้เอง
เพราะฉะนั้น ธรรมะที่พระองค์ทรงแสดงทุกคนจึงเห็นได้เอง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นธรรมะอันพึงเห็นได้เอง ฟังก็เห็นรู้ได้เอง ปฏิบัติก็รู้เห็นได้เอง บรรลุถึงผลเป็นความรู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดก็รู้เห็นได้เอง เป็นสันทิฏฐิโก ตั้งแต่ขั้นปริยัติ ขั้นปฏิบัติ และขั้นปฏิเวธคือขั้นผลที่ได้ ตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงขั้นมรรคผลนิพพาน ที่เรียกว่าเป็นความรู้แจ้งแทงตลอดขั้นสูงสุด ล้วนเป็นสันทิฏฐิโกเห็นเองทั้งนั้น
อันสันทิฏฐิโกเห็นเองดังกล่าวนี้เป็นเรื่องธรรมดา ที่แม้ในการเล่าเรียนศึกษาวิชาต่างๆ ที่ทุกคนเล่าเรียนศึกษา เพื่อประกอบอาชีพการงานเป็นต้น ก็ต้องอาศัยเป็นสันทิฏฐิโกเช่นนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น นึกถึงทุกๆ คนที่เข้าโรงเรียนตั้งแต่ขั้นอนุบาลเป็นต้นขึ้นมา ก็ต้องเรียนเอง แล้วก็รู้เอง ตั้งแต่ ก ข ค ง เป็นต้นขึ้นมา จะเรียนแทนกันไม่ได้ มารดาบิดาที่ส่งลูกเข้าโรงเรียน ก็ส่งอุปการะต่างๆ เช่นนำเด็กเข้าสู่โรงเรียน ให้เครื่องแต่งตัวเป็นนักเรียน หาเครื่องเรียนให้ และเครื่องอุปการะต่างๆ ตามที่ต้องการ แต่ว่าเด็กที่เป็นลูกหลานนั้นต้องเรียนเอง พ่อแม่จะไปเรียนแทนให้ลูกไม่ได้ ลูกต้องเรียนเอง แล้วลูกก็รู้เองเห็นเองตั้งแต่ต้นมา ดั่งนี้ก็เป็นสันทิฏฐิโกเหมือนกัน เป็นหลักธรรมดาที่มีอยู่ในการที่ทุกคนจะได้ปัญญาที่เป็นตัวความรู้ หรือได้วิชชา ซึ่งก็ต้องเล่าเรียนเองต้องศึกษาเองด้วยตนเองมาตั้งแต่ในเบื้องต้น
มาถึงธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ก็ทรงสั่งสอนเพื่อให้รู้เองเห็นเอง จำเพาะในธรรมะที่จะรู้เองเห็นเองได้ ถ้าเป็นธรรมะที่รู้เองเห็นเองไม่ได้ ดังปัญหาที่ไม่ทรงพยากรณ์นั้น ก็ไม่ตรัสสอนไม่ตรัสพยากรณ์ เพราะฉะนั้น สันทิฏฐิโกนี้จึงเป็นหลักสำคัญของธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน อันส่องถึงว่าพระองค์ได้ตรัสดีแล้วก็เพราะตรัสให้ผู้ฟังรู้เองเห็นเองได้ปฏิบัติได้ และได้รับผลได้ตามที่ตรัสสอนไว้สมจริงทุกอย่าง และก็ตรัสสอนในกายอันยาววาหนึ่ง มีสัญญามีใจครองนี้นี่แหละ ไม่ใช่ทรงสั่งสอนที่อื่น เพราะเหตุนี้แหละทุกๆ คนจึงสามารถจะฟังให้รู้เห็นเองได้ จะปฏิบัติได้ จะบรรลุถึงผลได้ นี้เป็นลักษณะพิเศษของพระพุทธศาสนาที่เป็นไปดั่งนี้
ธรรมะที่เป็นสันทิฏฐิโกนี้คืออย่างไร
ได้มีพระสูตรที่แสดงถึงพระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบปัญหาแก่พราหมณ์ผู้มาถามพระองค์ ว่าธรรมะที่เป็นสันทิฏฐิโกนี้คืออย่างไร พระองค์ก็ได้ตรัสตอบว่า
บุคคลที่มีราคะ คือติดใจกำหนัดยินดีถูกราคะครอบงำ มีใจที่ถูกราคะจับไว้ได้ยึดไว้ได้ ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เพื่อเบียดเบียนทั้งสองบ้าง ย่อมเสวยทุกข์โทมนัสทางใจบ้าง ย่อมประพฤติทุจริตทางกายบ้าง ประพฤติทุจริตทางวาจาบ้าง ประพฤติทุจริตทางใจบ้าง ย่อมไม่เห็นประโยชน์ตนบ้าง ไม่เห็นประโยชน์ผู้อื่นบ้าง ไม่เห็นประโยชน์แม้ทั้งสองบ้าง
บุคคลที่ละราคะได้แล้วย่อมไม่คิดอย่างนั้น คือไม่คิดเพื่อเบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่น เบียดเบียนทั้งสอง ไม่ต้องเสวยทุกข์โทมนัสทางใจ ไม่ประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจ ย่อมเห็นประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ทั้งสอง
ผู้ที่มีโทสะ ความโกรธแค้นขัดเคือง ถูกโทสะครอบงำ มีใจถูกโทสะจับยึดไว้ได้ ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เพื่อเบียดเบียนทั้งสองบ้าง ย่อมเสวยทุกข์โทมนัสทางใจบ้าง ย่อมประพฤติทุจริตทางกายบ้าง ประพฤติทุจริตทางวาจาบ้าง ประพฤติทุจริตทางใจบ้าง ย่อมไม่เห็นประโยชน์ตน ไม่เห็นประโยชน์ผู้อื่น ไม่เห็นประโยชน์ทั้งสอง
บุคคลผู้ที่ละโทสะได้แล้วย่อมไม่คิดอย่างนั้น คือไม่คิดเพื่อเบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่น เบียดเบียนทั้งสอง ไม่ต้องเสวยทุกข์โทมนัสทางใจ ไม่ประพฤติทุจริตทางกายทางวาจาทางใจ ย่อมเห็นประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ทั้งสอง
ผู้ที่มีโมหะ ความหลง ถูกความหลงครอบงำ มีใจอันความหลงจับยึดไว้ได้ ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง คิดเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง คิดเพื่อเบียดเบียนทั้งสองบ้าง ย่อมเสวยทุกข์โทมนัสทางใจบ้าง ย่อมประพฤติทุจริตทางกายบ้าง ประพฤติทุจริตทางวาจาบ้าง ประพฤติทุจริตทางใจบ้าง ย่อมไม่เห็นประโยชน์ตน ไม่เห็นประโยชน์อื่น ไม่เห็นประโยชน์ทั้งสอง
ผู้ที่ละโมหะคือความหลงได้ ย่อมไม่คิดอย่างนั้น คือไม่คิดเพื่อเบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่น เบียดเบียนทั้งสอง ไม่ต้องเสวยทุกข์โทมนัสทางใจ ไม่ประพฤติทุจริตทางกายทางวาจาทางใจ ย่อมเห็นประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ทั้งสอง ดั่งนี้ นี้คือธรรมะเป็นสันทิฏฐิโก อันบุคคลผู้ปฏิบัติผู้ได้บรรลุถึงพึงเห็นเอง ดั่งนี้
เพราะฉะนั้น ตามพระพุทธภาษิตที่ตรัสนี้ จึงแสดงถึงธรรมะที่เป็นสันทิฏฐิโกดังที่กล่าวมา เมื่อบุคคลเป็นผู้ที่มีจิตใจเป็นอย่างไร และมีความประพฤติอันสืบเนื่องมาจากจิตใจเป็นอย่างไร ทุกคนก็ย่อมรู้เห็นเอง ไม่ใช่แต่ในทางดีเท่านั้น แม้ในทางชั่วก็รู้เห็นได้เอง คือเมื่อได้ฟังคำสั่งสอนของพระองค์ที่ตรัสแสดงชี้แจงดังที่ยกมานี้ และน้อมเข้ามาพิจารณาดูตนเองว่าเป็นอย่างไรก็ย่อมจะเห็นได้
แม้เมื่อตนเองมีจิตใจอันประกอบด้วย โลภ โกรธ หลง หรือ ราคะ โทสะ โมหะ และมีความทุกข์โทมนัส เพราะอำนาจของกิเลส และเมื่อประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจ ตนเองก็ย่อมรู้ ว่าจิตใจของตนกำลังโลภ กำลังโกรธ กำลังหลง กำลังมีราคะ กำลังมีโทสะ กำลังมีโมหะ และกำลังกระสับกระส่ายเดือดร้อน เพราะถูกกิเลสแผดเผาใจของตัวเอง ให้กระสับกระส่ายให้วุ่นวาย และเมื่อประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจ อย่างไร ตนเองก็ย่อมรู้ว่าเรากำลังทำนั่น กำลังทำนี่ กำลังพูดนั่น กำลังพูดนี่ กำลังคิดนั่น กำลังคิดนี่ ซึ่งล้วนเป็นทุจริต คือเป็นสิ่งที่ไม่ดี ก็ย่อมรู้ได้ดั่งนี้ ในเมื่อน้อมใจเข้ามาเพื่อรู้
และเมื่อมีสติกำหนดพิจารณาดู ก็ย่อมจะรู้ได้ว่าในขณะที่กำลังมีจิตใจถูกกิเลสครอบงำ กำลังประพฤติทุจริตต่างๆ นั้น ย่อมไม่มีปัญญาที่จะรู้จักว่า นี่ดี นี่ชั่ว นี่เป็นประโยชน์ตน นี่เป็นประโยชน์ผู้อื่น นี่เป็นประโยชน์ทั้งสอง ย่อมจะไม่รู้จัก ย่อมจะสำคัญผิดว่าสิ่งที่ตนกำลังคิดกำลังทำกำลังพูดนั่นแหละ เป็นสิ่งที่ดี อาจจะเห็นอย่างนั้น จึงชวนใจให้กระทำ ทั้งนี้ก็เพราะว่ากำลังถูกกิเลสครอบงำจิตใจอยู่ และกำลังปฏิบัติกรรมที่เป็นบาปเป็นอกุศลอยู่ จิตใจก็ย่อมมืดมัว ไม่ผ่องใส ทำให้ไม่ได้ปัญญาที่จะมองเห็นสัจจะที่เป็นตัวความจริง
แต่ว่าเมื่อมาปฏิบัติตามพระธรรมที่ทรงสั่งสอน ปฏิบัติละราคะหรือโลภะ ละโทสะ ละโมหะ ละบาปอกุศลทุจริต กาย วาจา ใจ เป็นตัวศีล และเป็นสมาธิขึ้นมา จิตใจย่อมจะผ่องใสสะอาด เมื่อจิตใจผ่องใสสะอาดก็ย่อมจะได้ปัญญา มองเห็นว่าสัจจะคือความจริงเป็นอย่างไร ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ทั้งสองเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นตัวปัญญา ย่อมจะได้ปัญญาขึ้นในเมื่อจิตใจมีความบริสุทธิ์สะอาด อันสืบเนื่องมาจากศีล เหล่านี้ต้องเป็นสันทิฏฐิโกคือที่จะต้องเห็นด้วยตัวเองทั้งนั้น โดยที่ตั้งจิตกำหนดเข้ามาดูให้รู้จักธรรมะในตัวเอง ทั้งที่เป็นฝ่ายอกุศล ทั้งที่เป็นฝ่ายกุศล ก็เป็นสันทิฏฐิโกด้วยกันทั้งนั้น
การปฏิบัติในสติปัฏฐาน
การปฏิบัติในสติปัฏฐานตั้งสติกำหนดพิจารณากายเวทนาจิตธรรม ก็เช่นเดียวกัน เพราะทั้ง ๔ ข้อนี้ย่อมมีอยู่ในกายอันยาววา มีสัญญา มีใจครอง นี้นั่นเอง ไม่ใช่มีที่ไหน เมื่อตั้งสติกำหนดเข้ามาดูกาย ก็ย่อมจะเห็นกายว่ามีอยู่ กำหนดเวทนาก็ย่อมจะเห็นว่าเวทนามีอยู่ กำหนดจิตก็ย่อมจะเห็นว่าจิตมีอยู่ กำหนดธรรมก็ย่อมจะเห็นว่าธรรมมีอยู่
เมื่อมีอกุศลธรรมอยู่ในจิต
ยกตัวอย่างตามพระสูตรที่ได้ยกมาอ้างนั้น ในบางคราวมีราคะหรือโลภะ มีโทสะ มีโมหะ บังเกิดขึ้นในจิต ปรากฏอยู่ในจิต เมื่อน้อมจิตเข้ามากำหนดดู ก็ย่อมจะรู้ได้ว่ากำลังมีราคะหรือกำลังมีโลภะอย่างนี้ๆ กำลังมีโทสะอย่างนี้ๆ กำลังมีโมหะอย่างนี้ๆ ก็เป็นอันว่าได้รู้จักอกุศลธรรมในตนเอง ว่าตนเองกำลังปรากฏมีอกุศลธรรม คือกิเลสดังกล่าว และถ้าหากว่ากิเลสเหล่านี้ก่อให้เกิดเจตนาคือความจงใจที่จะประกอบกรรม เป็นอกุศลทางกายทางวาจาทางใจต่างๆ มีสติกำหนดดูก็ย่อมจะรู้ว่า ย่อมจะเห็นว่าเรากำลังมีเจตนาคือความจงใจๆ คือมีเจตนาคือความจงใจอย่างนี้ๆ นี้เป็นอันว่าได้รู้จักอกุศลธรรมในจิตของตน
คราวนี้เมื่อมากำหนดดูจิต จิตของตนในขณะที่กำลังมีกิเลสดังกล่าวนั้น ก็ย่อมจะรู้จะเห็นจิตของตนว่า กำลังดิ้นรน กวัดแกว่ง กระสับกระส่าย เร่าร้อนอยู่ด้วยอำนาจของกิเลสที่บังเกิดขึ้นในจิต ย่อมจะรู้จักจิตของตนว่าเป็นอย่างนี้ๆ
คราวนี้เมื่อมาดูเวทนาว่าเป็นอย่างไร ก็ย่อมจะรู้เหมือนกันว่า เวทนาของตนในขณะที่มีกิเลสครอบงำจิตอยู่นี้นั้น เป็นทุกขเวทนา เป็นตัวทุกข์ เพราะว่ามีความเร่าร้อน มีความกระสับกระส่ายไม่ผาสุก
คราวนี้มาดูกาย ว่ากายของตนเป็นอย่างไร ก็จะเห็นว่าแม้กายของตนนั้นก็ไม่ปรกติเหมือนกัน ตั้งต้นแต่ลมหายใจ ก็จะรู้สึกว่าลมหายใจนั้นก็ไม่ปรกติ จะมีการหายใจแรง อาจจะฮืดฮาดๆ ด้วยอำนาจของกิเลส
อิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ไม่เรียบร้อย บางคราวก็ต้องเดินงุ่นง่านไปมาอยู่ นั่งก็กระสับกระส่าย ยืนก็ไม่อยู่เป็นที่ แม้จะนอนก็ไม่เป็นสุข กระสับกระส่าย เพราะฉะนั้นอาการทางกายนั้นก็เป็นอาการที่ไม่ปรกติ เพราะฉะนั้น หากกำหนดดูที่กายของตนในขณะดังกล่าวก็จะเห็นได้ว่าเป็นอย่างนี้ กายก็เป็นไปทางอกุศล เวทนาก็เป็นไปทางอกุศล จิตก็เป็นไปทางอกุศล เพราะมีอกุศลธรรมบังเกิดขึ้นในจิต
เมื่อมีกุศลธรรมอยู่ในจิต
คราวนี้ถ้าเป็นไปตรงกันข้าม ในขณะที่มีกุศลธรรมบังเกิดขึ้นในจิต เช่นว่ามีศีลคือตัววิรัติเจตนาบังเกิดขึ้นในจิต มีสมาธิ มีสติ บังเกิดขึ้นในจิต มีปัญญาที่เป็นตัวความรู้ความเห็นปลอดโปร่งบังเกิดขึ้นในจิต นี่เป็นกุศลธรรม เมื่อกุศลธรรมบังเกิดขึ้นในจิตดั่งนี้ กำหนดดูก็ย่อมจะรู้ ว่าบัดนี้เรากำลังมีศีล เรากำลังมีสมาธิ มีสติ มีปัญญา มาดูจิตว่าในขณะที่กุศลธรรมบังเกิดขึ้นในจิตนี้จิตเป็นอย่างไร ก็ย่อมจะเห็นว่าจิตเป็นจิตที่ปรกติ มีความสงบ มีความสุข สงบราคะ หรือ โลภะ โทสะ โมหะ หรือว่าละ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ได้ แม้ในขณะที่กุศลธรรมบังเกิดขึ้นในจิต จิตมีความสงบ มีความเป็นปรกติ
ดูเวทนาก็ย่อมจะรู้จะเห็นว่า มีสุขเวทนา มีความเป็นสุขอันเกิดจากความสงบใจ สงบอารมณ์ ดูกายก็เห็นจะเห็นว่ากายนั้นก็เป็นไปโดยปรกติ จะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนก็เป็นปรกติเรียบร้อย ลมหายใจก็เป็นปรกติเรียบร้อย ธาตุทั้งหลายในกายนี้ก็เป็นไปโดยเรียบร้อย ไม่มีธาตุใดธาตุหนึ่งหย่อนหรือเกิน ดั่งนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น กายก็เป็นไปตามกุศล เวทนาก็เป็นไปตามกุศล จิตก็เป็นไปตามกุศล เพราะฉะนั้น เมื่อมีกุศลธรรมอยู่ในจิต อื่นๆ ก็ดีหมด
สติปัฏฐานในชีวิตประจำวัน
เพราะฉะนั้น การที่มาหัดกำหนดพิจารณาดูดั่งนี้ก็เป็นการปฏิบัติสติปัฏฐาน เป็นการปฏิบัติทั่วไป ซึ่งปฏิบัติได้เป็นการประจำวัน และแม้ว่าสามัญชนจะต้องมีฝ่ายอกุศลบังเกิดขึ้นในจิตบ้าง มีฝ่ายกุศลบังเกิดขึ้นในจิตบ้าง แต่เมื่อหัดทำสติกำหนดดูธรรมะในจิต ดูจิตเอง ดูเวทนา ดูกาย อยู่เนืองๆ แล้ว หากฝ่ายอกุศลบังเกิดขึ้น ฝ่ายอกุศลนั้นเมื่อถูกเพ่งพินิจขึ้นแล้ว ก็จะสงบลง ฝ่ายกุศลนั้นหากบังเกิดขึ้น และมีสติกำหนดดูอยู่ ฝ่ายกุศลก็จะตั้งอยู่และจะเจริญยิ่งขึ้น
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป