แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ธรรมะอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว อันผู้ปฏิบัติผู้ได้บรรลุพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล และ เอหิปัสสิโก ควรเรียกให้มาดูได้ ควรทำความเข้าใจในบทว่า เอหิปัสสิโกนี้ ให้ต่อเนื่องกับ อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา ตามที่ได้อธิบายมาแล้วก็พึงสรุปบทว่า อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา โดยเป็นสัจจะธรรม ธรรมะที่เป็นของจริงของแท้ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ จึงเป็นของจริงของแท้ ที่ตั้งอยู่ดำรงอยู่ ไม่มีกาลเวลา
ธรรมะคือคำสั่งสอนอันเรียกว่าศาสนธรรม หรือพุทธศาสนา ซึ่งตรัสแสดงสัจจะธรรมที่ได้ตรัสรู้สั่งสอน ก็เป็น อมตาวาจา วาจาที่ไม่ตาย ดังพระพุทธภาษิตที่ตรัสไว้ว่า สัจจะแลเป็นวาจาที่ไม่ตาย คือคำสัจจ์เป็นวาจาที่ไม่ตาย และตรัสไว้ว่าธรรมะของสัตบุรุษทั้งหลายไม่เข้าถึงชรา คือความแก่เก่าชำรุดทรุดโทรม
ส่วนธรรมะที่เป็น ปริยัติ ซึ่งหมายถึงว่า การสดับตรับฟัง การอ่าน การท่องบ่นจำทรง การเพ่งด้วยใจพินิจพิจารณาขบเจาะด้วยทิฏฐิลงความเห็น คือทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ซึ่งทรงอยู่ด้วยสัญญาความจำหมายในใจของตน ย่อมประกอบด้วยกาลเวลา เพราะสัญญาคือความจำนั้นไม่เที่ยง ต้องเกิดต้องดับ จำได้ ลืมได้ หรือว่าจำได้ตลอดชีวิต สิ้นชีวิตแล้วก็ดับไปพร้อมกับนามรูปที่แตกดับ
นิพพานเป็นภูมิที่ดำรงอยู่
ในส่วนที่เป็นปฏิบัติธรรม ก็เป็นสิ่งที่ปฏิบัติเพื่อให้ได้ผลบรรลุถึงภูมิเป็นที่บรรลุ การปฏิบัติที่เป็นเหตุ และผลคือการบรรลุ ก็เป็นสิ่งที่เกิดดับ เพราะเมื่อบรรลุถึงภูมิที่บรรลุ การปฏิบัติเพื่อบรรลุ และผลคือการถึงก็เป็นอันว่าสิ้นสุด ก็ประกอบด้วยกาลเวลา แต่ว่าภูมิที่บรรลุอันเป็นภูมิที่สุดที่เรียกว่านิพพาน เป็นภูมิที่ตั้งอยู่ดำรงอยู่ เป็น อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา นี้ในความหมายของคำว่า อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา และ กาลิโก ประกอบด้วยกาลเวลาที่ประกอบกันอยู่
อีกอย่างหนึ่งอกาลิโกในความหมายที่ปฏิบัติบรรลุผลได้ไม่มีอะไรคั่น ทุกกาลทุกสมัย เมื่อครั้งพุทธกาล ในเวลาต่อมา ในบัดนี้และต่อไปก็เช่นเดียวกัน เมื่อปฏิบัติในเหตุก็บรรลุผลทันที ผลที่บรรลุนั้นบังเกิดขึ้นสืบจากเหตุ ต่อจากเหตุทันทีไม่มีคั่น อันหมายถึงภูมิชั้นของตน ของจิตใจ หรือภาวะของตนของจิตใจ
ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า ทำชั่วเมื่อใด ก็เป็นคนชั่วขึ้นทันที คือภูมิชั้นภาวะของตนของจิตใจ ชั่วขึ้นทันที ทำดีเมื่อใดภูมิชั้นของตนก็ดีขึ้นทันที เป็นคนดีขึ้นทันที และเมื่อก่อทุกขสมุทัยขึ้น คือก่อตัณหาอุปาทานขึ้นในสิ่งใดเมื่อใด ก็เป็นทุกข์ในสิ่งนั้นเมื่อนั้นทันที ดับตัณหาอุปาทานได้เมื่อใดก็ดับทุกข์ได้ทันทีสืบต่อกันไป เหตุผลซึ่งเป็นขั้นปฏิบัติภายในเกี่ยวแก่ภูมิชั้นของตนของจิตใจ ภาวะของตนของจิตใจดังกล่าวมานี้ เป็นอกาลิโกไม่ประกอบด้วยกาลเวลา ดั่งนี้ คือการให้ผลบังเกิดขึ้นสืบต่อจากเหตุที่ทำทันทีไม่มีคั่น
นี้เป็นอกาลิโกในความหมายเกี่ยวแก่การให้ผล ซึ่งต่างจากการให้ผลของต้นไม้ตามที่เปรียบเทียบไว้ ว่าต้องมีระยะกาลเวลาให้ผล แต่ว่าธรรมะที่ปฏิบัตินั้น เมื่อปฏิบัติเหตุก็ให้ผลทันที เป็นเหตุเป็นผลที่ต่อกันทันที ไม่มีคั่นดังกล่าว เว้นแต่ผลที่เป็นภายนอก เป็นส่วนที่ร่างกายจะพึงได้รับ อันเกี่ยวแก่สิ่งแวดล้อมทั้งหลาย เกี่ยวแก่บุคคลภายนอก เกี่ยวแก่โลกธาตุภายนอก ดังที่ได้ยกเอาธรรมสมาทาน ๔ อย่างขึ้นมาแสดงไว้แล้วนั้น อันนับว่าเป็นผลภายนอก แต่ว่าผลที่เป็นภายในนั้นบังเกิดต่อจากเหตุที่ปฏิบัติทันทีดังกล่าว
ข้อว่าควรเรียกให้มาดู
ตรงนี้ จึงจะต่อถึงพระธรรมคุณบทว่า เอหิปัสสิโก ควรเรียกให้มาดู ซึ่งฟังดูก็คล้ายๆ กับว่าเรียกใครๆ ให้มาดูได้ ให้มาพิสูจน์ได้ ว่าเป็นสัจจะธรรม เป็นของจริงเป็นของแท้ แต่ว่าอีกความหมายหนึ่งสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมนั้นพึงเข้าใจว่า พึงเรียกตนเองนี่แหละ ให้มาดูก่อน ให้ตนเองเห็นเสียก่อน ให้ตนเองรู้เสียก่อน ส่วนการจะเรียกผู้อื่นให้มาดูด้วยการสั่งสอนบอกกล่าวนั้นเป็นเรื่องภายหลัง
เพราะฉะนั้น ความสำคัญของคำว่า เอหิปัสสิโก จึงอยู่ที่ตนเองของทุกๆ คน พึงเรียกตนเองให้มาดู หรือจะพูดว่า จะต้องเรียกตนเองให้มาดู จึงจะเห็นว่าธรรมะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว เป็นธรรมะอันผู้ปฏิบัติผู้ได้บรรลุพึงเห็นเอง เป็นธรรมะไม่ประกอบด้วยกาลเวลา ดังที่แสดงมาแล้วโดยลำดับจนถึงบทสรุปของอกาลิโกที่กล่าวมา ก็หมายถึงสัจจะธรรม และก็หมายถึงการให้ผลของธรรมะที่ปฏิบัติ ปฏิบัติเมื่อใดก็ให้ผลเมื่อนั้น ไม่จำเป็นจะต้องถึงขั้นอริยมรรคอริยผล ที่เป็นมรรคผลสามัญคือที่สามัญชนปฏิบัติกันอยู่ก็เช่นเดียวกัน ดั่งที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ทำชั่วเมื่อใดก็เป็นคนชั่วขึ้นเมื่อนั้น ทำดีเมื่อใดก็เป็นคนดีขึ้นเมื่อนั้น อันเป็นผลที่เป็นภูมิชั้นของตนของจิตใจ
แต่ว่าใครจะรู้จะเห็นดั่งนี้ได้ ก็ต้องมาถึงบทว่า เอหิปัสสิโก ต้องเรียกตัวเองให้มาดู คือมาดูที่กายที่วาจาที่ใจที่จิตของตนเอง อาศัยคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องส่อง เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนให้พิจารณาดูตนเอง ดูกายดูวาจาดูใจดูจิตตนเอง เหมือนอย่างใช้แว่นส่อง ส่องดูหน้าตนเอง ซึ่งคำสั่งสอนของพระองค์ในข้อนี้ก็ต้องมุ่งถึงว่า ใช้ปัญญาของตนนี่แหละพิจารณา เหมือนอย่างใช้แว่นส่องพิจารณาหน้าของตนเอง และในการนี้ก็อาศัยคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสสั่งสอนให้ปฏิบัติดั่งนี้
เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้เอง ที่เป็นสวากขาตธรรม ธรรมะที่พระองค์ตรัสดีแล้ว เป็นเหมือนอย่างแว่นส่องพิจารณาตน ของทุกๆ คน เพราะฉะนั้น เมื่อฟังคำสั่งสอนของพระองค์ ได้ปัญญาความรู้ในคำสั่งสอนของพระองค์ หรือว่าได้ศรัทธาความเชื่อในคำสั่งสอนของพระองค์ ก็นำเอาคำสั่งสอนของพระองค์นี้ มาเป็นแว่นส่องพิจารณาดูที่ตนเอง ตามที่ทรงสั่งสอน นี้แหละคือการที่เรียกตนให้มาดู โดยใช้แว่นส่องของพระพุทธเจ้า คำสั่งสอนมาเป็นแว่นสำหรับส่องดูตนเอง เหมือนอย่างใช้แว่นส่อง ส่องดูเงาหน้า หรือกระจกเงาส่องดูหน้าของตนเอง และเมื่อนำมาส่องดั่งนี้ ก็จะได้มองเห็นตนเองว่าเป็นอย่างไร (เริ่ม) ในข้อนี้พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนพระราหุล ซึ่งเป็นพระโอรสพระองค์เดียว ก่อนจะเสด็จออกทรงผนวช ความย่อที่ทรงสั่งสอนก็มีแสดงไว้ว่า
พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปสู่ที่พักของพระราหุล เมื่อพระราหุลเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาแต่ไกล ก็ตั้งอาสนะสำหรับประทับนั่งไว้ถวาย และเตรียมน้ำล้างพระบาทไว้ถวาย เมื่อเสด็จมาถึงพระพุทธเจ้าก็ประทับนั่งบนอาสนะ และทรงยกขันน้ำล้างพระบาท แต่ว่าทรงเหลือน้ำในขันไว้หน่อยหนึ่ง ตรัสถามพระราหุลว่าน้ำในขันที่เหลืออยู่นั้นมากหรือน้อย พระราหุลก็กราบทูลว่าเหลือน้อย
ข้อที่ตรัสสอนพระราหุล
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าความละอายในการพูดเท็จทั้งรู้ของผู้ใดไม่มี ความเป็นสมณะของผู้นั้นก็เหลือน้อย เหมือนอย่างน้ำที่เหลือน้อยในขันล้างพระบาทนั้น ครั้นตรัสแล้วก็ทรงเทน้ำในขันที่เหลือนั้นหมด ก็ตรัสถาม และก็ตรัสสอนพระราหุลต่อไปว่า ความละอายในการพูดเท็จทั้งรู้ไม่มีแก่ผู้ใดผู้นั้น ความเป็นสมณะของผู้นั้นก็ไม่มีเหลือ เหมือนอย่างน้ำที่ไม่มีเหลืออยู่ในขันน้ำนั้น ครั้นแล้วก็ทรงคว่ำขันน้ำลง ตรัสถาม แล้วก็ตรัสสอนพระราหุลต่อไปอีกว่า ความละอายในการพูดเท็จทั้งรู้ไม่มีแก่ผู้ใด ความเป็นสมณะของผู้นั้นก็เหมือนอย่างขันที่คว่ำนั้น แล้วก็ทรงหงายขันนั้นขึ้นอีก เป็นขันที่เปล่า ว่างเปล่าไม่มีน้ำ ก็ตรัสถามพระราหุล แล้วก็ตรัสสอนต่อไปอีกว่า ความละอายในการพูดเท็จทั้งรู้ไม่มีแก่ผู้ใด ผู้นั้นก็เหมือนอย่างขันน้ำเปล่านั้น ดั่งนี้
เพราะฉะนั้นจึงได้ตรัสสอนให้ศึกษาว่า เราจักไม่พูดเท็จทั้งรู้ เพราะว่าผู้ใดพูดเท็จทั้งรู้ พระองค์ตรัสว่า บาปอะไรๆ ที่ผู้นั้นจะไม่ทำนั้นหามีไม่ ในครั้งนั้นพระอาจารย์ได้แสดงว่าพระราหุลท่านยังมีชนม์พรรษาน้อย เรียกว่ายังอยู่ในภาวะเป็นกุมาร หรือเป็นเด็ก จึงได้ตรัสสอนไว้อย่างเข้มงวด ให้สำรวมระวังวาจา อย่าพูดเท็จ แม้เพื่อที่จะหัวเราะกันเล่น และก็ได้ตรัสถามอีกว่า แว่นส่องนั้นมีไว้เพื่อประโยชน์อะไร พระราหุลก็กราบทูลว่ามีไว้เพื่อส่องพิจารณา พระองค์จึงได้ตรัสสอนว่าก็พึงพิจารณา
พึงพิจารณากายกรรมวจีกรรมมโนกรรมของตน ทั้งในเวลาก่อนทำ ก่อนพูดก่อนคิด ทั้งในเวลาที่กำลังทำกำลังพูดกำลังคิด ทั้งในเวลาที่หลังจากที่ได้ทำได้พูดได้คิดไปแล้ว คือเมื่อใคร่ปรารถนาจะทำจะพูดจะคิดอะไร ก็พิจารณา พิจารณาก่อนว่าการที่จะทำคำที่จะพูดเรื่องที่คิดนั้น เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนหรือไม่ เป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นหรือไม่ เป็นไปเพื่อเบียดเบียนทั้งตนทั้งผู้อื่นหรือไม่ เป็นอกุศลให้เกิดทุกข์โทษ ให้เกิดทุกข์เป็นวิบาก หรือว่าเป็นกุศลให้เกิดสุขเป็นกำไร ให้เกิดสุขเป็นวิบาก เหมือนอย่างเอาแว่นมาส่องดูหน้าของตน
และเมื่อพิจารณาๆ รู้ว่าการที่คิดจะทำ คำที่คิดจะพูด เรื่องที่คิดว่าจะคิด เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตน เป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น เป็นไปเพื่อเบียดเบียนทั้งตนทั้งผู้อื่น เป็นอกุศล ให้เกิดโทษทุกข์ มีทุกข์เป็นวิบาก ก็จงเว้นเสียไม่ทำ ไม่พูดไม่คิด แม้ว่าอาจจะพูดจะทำจะคิดได้ ก็ไม่ทำไม่พูดไม่คิด แต่ถ้าไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตน ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น ไม่เป็นเพื่อเบียดเบียนทั้งสอง คือทั้งตนทั้งผู้อื่น เป็นกุศล มีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบาก ก็จงทำจงพูดจงคิด แม้ในขณะที่กำลังทำกำลังพูดกำลังคิดอยู่ ก็ให้พิจารณาๆ ไปเช่นเดียวกัน ถ้าเป็นฝ่ายอกุศล ให้เกิดโทษทุกข์ ก็เลิกเสีย ถ้าเป็นกุศล ให้เกิดสุขเป็นกำไร ก็ทำพูดคิดต่อไป
แม้ในการที่ทำแล้ว ในคำที่พูดแล้ว ในเรื่องที่คิดไปแล้ว ก็ให้พิจารณาๆ ว่าเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ให้เกิดโทษทุกข์ หรือให้เกิดสุขเป็นกำไร ถ้าเป็นอกุศลให้เกิดโทษทุกข์ ก็บอกก็เปิดเผยกระทำให้แจ้งในพระศาสดา หรือในสพรหมจารีซึ่งเป็นวิญญูผู้รู้ทั้งหลาย แต่ถ้าเป็นกุศลให้เกิดสุข เป็นกำไร ก็ให้มีปีติโสมนัสในการที่ทำคำที่พูดเรื่องที่คิดอันเป็นกุศลนั้น และก็ตั้งใจศึกษาปฏิบัติอยู่ในกุศลธรรมทั้งหลาย ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน
พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้พิจารณาๆ ความประพฤติทางกายทางวาจาทางใจของตนดั่งนี้ ในกาลทั้งสาม คือในกาลก่อนที่จะทำ ในขณะที่กำลังทำ และแม้ทำไปแล้ว อันรวมทั้งพูดคิดด้วย เหมือนอย่างใช้กระจกเงา ครั้งก่อนเป็นแว่นส่อง แว่นส่องหน้า มองดูหน้าของตนเอง เพื่อที่จะได้รู้ว่าหน้าของตนเองเป็นอย่างไร จะตกแต่งอย่างไรให้งดงาม การใช้แว่นส่องคือปัญญาพิจารณาดูความประพฤติของตนเอง ก็เพื่อที่จะได้รู้ความประพฤติของตนเองว่าเป็นอย่างไร จะได้ตบแต่งความประพฤติ ของตนเองให้งดงาม ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่เป็นฝ่ายกุศล ให้เกิดสุข มีสุขเป็นวิบาก
แว่นส่องดูตนเอง
พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสต่อไปว่าสมณะพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติชำระกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมของตนให้บริสุทธิ์ ในอดีตที่ล่วงไปแล้วก็ดี หรือที่จักมีในอนาคตยังไม่มาถึงก็ดี ที่มีอยู่ในปัจจุบันก็ดี ก็ต้องใช้วิธีพิจารณาๆ เหมือนอย่างใช้แว่นส่องดูตนเอง ดูความประพฤติของตนเอง ดังที่ตรัสสอนนั้น
เพราะฉะนั้นจึงได้ตรัสสอนสรุปว่า จงศึกษาว่าเราจักพิจารณาๆ ทำพูดคิดทางกายทางวาจาทางใจ ดั่งนี้ การปฏิบัติดังกล่าวนี้แหละ คือ เอหิปัสสิโก จงมาดู คือเป็นการที่เรียกร้องตนเองนี่แหละให้มาดู ดูความประพฤติของตนเอง ดูจิตใจของตนเอง ก่อนจะทำอะไร จะพูดอะไร จะคิดอะไร ก็ใช้แว่นส่องพิจารณาๆ กำลังทำ กำลังพูด กำลังคิด ก็ใช้แว่นส่องพิจารณาๆ ทำแล้ว พูดแล้ว คิดแล้ว ก็ใช้แว่นส่องพิจารณาๆ เพื่อที่จะได้ละส่วนชั่วที่เป็นอกุศล เพื่อที่จะได้ประกอบส่วนดีที่เป็นกุศล เป็นการชำระตน คือชำระกายวาจาใจ ชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส
การปฏิบัติที่เป็นเอหิปัสสิโก
การปฏิบัติในสติปัฏฐานก็เป็นการปฏิบัติที่เป็นเอหิปัสสิโก ท่านจงมาดู เจ้าจงมาดู คือเป็นการเรียกตนเองให้มาดูกายดูเวทนาดูจิตดูธรรม การที่มาดูกำหนดก็เป็นสติ ใจตั้งกำหนดก็เป็นสมาธิ รู้ก็เป็นปัญญา หรือญาณ กำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นสติ และข้อต่อๆ ไปก็เป็นสติ และก็จะเป็นสมาธิ เป็นปัญญา เนื่องกันไป ต้องมีเอหิปัสสิโกดั่งนี้จึงจะเป็นการปฏิบัติสติปัฏฐานได้
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป