แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
(เริ่ม) บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
พระธรรมคุณบทต่อจาก สวากขาโต ภควตา ธัมโม ธรรมะอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว สันทิฏฐิโก อันผู้ปฏิบัติผู้ได้บรรลุพึงเห็นเอง อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา ในการแสดงอธิบายพระธรรมคุณบทว่า อกาลิโก นี้ พึงทำความเข้าใจในเบื้องต้นไว้ก่อนว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนข้อปฏิบัติเกี่ยวกับกาลเวลาไว้เป็นอันมาก เช่น ตรัสสอน (นาทีที่ 3.03) ให้ฟังธรรมโดยกาล ให้สนทนาธรรมโดยกาล อันหมายความว่า ให้ฟังธรรมในกาลเวลาที่ควรฟัง ให้สนทนาในกาลเวลาที่ควรสนทนาธรรม ว่าเป็นมงคลอันอุดม และตรัสสอนให้มี กาลัญญู รู้กาลเวลาไว้ในสัปปุริสธรรม ๗ ข้อ และได้ตรัสสอนให้ไม่หน่วงคิดถึงอดีต ไม่หวังอนาคต แต่ให้กำหนดรู้ปัจจุบันธรรม ธรรมที่เป็นปัจจุบัน
ในพระวินัยเองก็มีบัญญัติเกี่ยวกับกาลเวลาไว้เป็นอันมาก เช่นให้ทำอุโบสถสังฆกรรมในวันจันทร์เพ็ญ วันจันทร์ดับ และกำหนดวันดังกล่าวให้เป็นวันธรรมสวนะ คือวันเป็นที่ฟังธรรมด้วย กำหนดวันกึ่งปักษ์ให้เป็นวันธรรมสวนะ คือเป็นวันเป็นที่ฟังธรรมด้วย ทั้งให้เป็นวันรักษาอุโบสถศีลสำหรับคฤหัสถ์ด้วย และกุลบุตรที่จะอุปสมบทเป็นภิกษุได้ต้องมีอายุครบ ๒๐ ปี การนับวันเดือนปีของโลกก็เกี่ยวแก่กาลเวลา อายุของคนที่เกิดขึ้นและล่วงไปๆ ก็เกี่ยวแก่กาลเวลา จนถึงเวลาที่จะตายก็เรียกว่าทำกาลกิริยา กระทำกาละ ก็คือกาลเวลา
ธรรมะที่ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา
เพราะฉะนั้น ธรรมะที่เป็นอกาลิโกไม่ประกอบด้วยกาลเวลา จะพึงมีความเข้าใจอย่างไร เมื่อพิจารณาดูแล้วในทางแห่งธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ เป็นสัจจะธรรม ธรรมะที่เป็นความจริง เป็นของจริง ดั่งที่ตรัสไว้ในปฐมเทศนาของพระองค์ ว่าพระองค์ได้พบทางที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางกลาง ได้ทรงปฏิบัติในมัชฌิมาปฏิปทานี้ จึงได้ตรัสรู้ คือได้มีจักษุดวงตา ญาณความหยั่งรู้ ปัญญาความรู้ทั่ว วิชชาความรู้ที่ถูกต้อง อาโลกะความสว่างผุดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่พระองค์มิได้เคยสดับมาก่อน
ว่านี้ทุกข์ ทุกข์ควรกำหนดรู้ ทุกข์ได้ทรงกำหนดรู้แล้ว นี้สมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ สมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์นี้ควรละ ทุกขสมุทัยคือเหตุให้เกิดทุกข์นี้ทรงละได้แล้ว นี้ทุกขนิโรธความดับทุกข์ ทุกขนิโรธนี้ควรกระทำให้แจ้ง ทุกขนิโรธนี้ทรงกระทำให้แจ้งแล้ว นี้มรรคทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์นี้ควรอบรมปฏิบัติให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น มรรคคือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ได้ทรงอบรมปฏิบัติทำให้มีขึ้นให้เป็นขึ้นแล้ว ดั่งนี้ ก็คือได้ตรัสรู้อริยสัจจ์ทั้ง ๔ ด้วยญาณ อันมีวนรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ เป็นไปในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ คือเป็นไปในทุกข์ ในเหตุเกิดทุกข์ ในความดับทุกข์ ในทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
โดยเป็นสัจญาณ ความหยั่งรู้ว่าเป็นความจริง รอบหนึ่ง เป็นไปในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ นี้ โดยเป็นกิจญาณ คือความหยั่งรู้ในกิจที่พึงทำ รอบหนึ่ง เป็นไปในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ นี้ โดยความเป็นกตญาณ คือความหยั่งรู้ในกิจที่พึงทำว่าได้ทำเสร็จแล้ว คือได้ทำความกำหนดรู้ทุกข์แล้ว ได้ทำการละสมุทัยได้แล้ว ได้กระทำให้แจ้งนิโรธแล้ว ได้อบรมปฏิบัติมรรคให้สมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว ดั่งนี้ จึ่งได้ทรงปฏิญญารู้รับรองพระองค์ว่าเป็นอภิพุทธะคือผู้ตรัสรู้ยิ่ง ซึ่งความตรัสรู้เองโดยชอบแล้ว ดั่งนี้
ทางแห่งความตรัสรู้
เพราะฉะนั้น ธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ ด้วยการที่ทรงพบทางแห่งความตรัสรู้ ได้ทรงปฏิบัติมาจนสมบูรณ์จึงได้ตรัสรู้ ก็คือตรัสรู้อริยสัจจ์ทั้ง ๔ ดังกล่าว ก็เป็นอันว่าธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้นี้เป็นสัจจะธรรม ธรรมะที่เป็นของจริงของแท้ หากจะมีปัญหาว่าทางที่พระองค์ทรงพบคือมัชฌิมาปฏิปทา อริยสัจจ์ที่ได้ตรัสรู้ เป็นทางใหม่หรือทางเก่า เป็นอริยสัจจ์ใหม่ หรือเป็นอริยสัจจ์เก่า
ในข้อนี้พระอาจารย์ผู้พิจารณาทั้งหลาย ตลอดจนถึงได้มีพระพุทธภาษิตเองแสดงไว้ในที่อื่น ซึ่งมีใจความว่า ทางที่ทรงพบคือมัชฌิมาปฏิปทาก็เป็นทางเก่าทางดั้งเดิม อริยสัจจ์ ๔ที่ตรัสรู้ ก็เป็นอริยสัจจ์เก่าดั่งเดิม คือเป็นสัจจะธรรม ธรรมะที่เป็นของจริงของแท้ อันหมายถึงทั้งทางอันเรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทาที่ทรงพบ
อริยสัจจ์ที่ตรัสรู้ เป็นสัจจะธรรมที่ตั้งอยู่แล้วที่มีอยู่แล้ว หรือเป็นธรรมชาติเป็นธรรมดาที่มีอยู่แล้วที่ตั้งอยู่แล้ว ไม่มีเบื้องต้นไม่มีที่สุด เป็นของที่ตั้งอยู่ เป็นของที่ดำรงอยู่ เป็นอกาลิโกไม่ประกอบด้วยกาลเวลา ก็เช่นเดียวกับธรรมชาติธรรมดาของโลกธาตุ ซึ่งเป็นสัจจะคือความจริงตามเหตุและผล ที่ตั้งอยู่แล้วที่ดำรงอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้น เมื่อใดมีผู้มีปัญญาเกิดขึ้นได้ค้นพบสัจจะธรรม ธรรมะที่เป็นความจริง คือธรรมชาติธรรมดา หรือหลักธรรมชาติหลักธรรมดา หรือว่ากฏธรรมชาติกฏธรรมดา ที่มีอยู่ที่ดำรงอยู่แล้ว จับเหตุจับผลตามกฏเกณฑ์แห่งหลักธรรมชาติธรรมดาได้ถูกต้อง ก็สามารถที่จะรู้ได้ สามารถที่จะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ตามที่ต้องการได้ ดังเช่นที่ผู้ค้นพบหลักกฏเกณฑ์ของธรรมชาติธรรมดาต่างๆ ของโลกธาตุ ได้นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในปัจุบัน เป็นไฟฟ้า เป็นวิทยุ และเป็นสิ่งอื่นๆ ทุกอย่างดังที่ปรากฏ อันกฏเกณฑ์ของธรรมชาติธรรมดาทั้งปวงนี้ไม่ใช่เป็นของใหม่ เป็นของมีอยู่เก่ามีมาแต่ดั้งเดิมทั้งนั้น เป็นอกาลิโกไม่ประกอบด้วยกาลเวลาเช่นเดียวกัน
กฎเกณฑ์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติธรรมดา
โมกขธรรมที่พระพุทธเจ้าเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์ต้องการ พระองค์ทรงค้นหาทางแห่งโมกขธรรม จนทรงพบมัชฌิมาปฏิปทา ทางที่เป็นทางกลาง ก็เป็นทางที่มีอยู่แล้วเช่นเดียวกัน เป็นหลักเป็นกฎเป็นเกณฑ์ตามเหตุและผล แห่งการที่จะได้ปัญญา ได้ญาณ ตรัสรู้อริยสัจจ์ทั้ง ๔ และอริยสัจจ์ทั้ง ๔ ซึ่งประกอบด้วยเหตุด้วยผล ในด้านทุกข์ ในด้านดับทุกข์ ก็เป็นกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติธรรมดา จึงเป็นของเก่าที่มีอยู่แล้วเช่นเดียวกัน เมื่อยังไม่มีผู้มีปัญญาเกิดขึ้น ก็ไม่พบทาง ไม่พบอริยสัจจ์ทั้ง ๔ ต่อเมื่อมีผู้มีปัญญาเกิดขึ้น คือเมื่อมีพระโพธิสัตว์ซึ่งได้ทรงสั่งสมพระบารมีมา เพื่อปัญญาที่จะรู้ทางที่จะพบอริยสัจจ์ เพื่อที่จะพ้นกิเลสและกองทุกข์ทั้งสิ้นบังเกิดขึ้น พระโพธิสัตว์จึงได้ทรงพบทาง ก็เป็นทางเก่านั้นแหละ ทางที่มีอยู่แล้วนั่นแหละ
ธรรมฐิติ ธรรมนิยาม
ทรงเดินทางนี้จึงได้ตรัสรู้อริยสัจจ์ ก็เป็นของเก่านั่นแหละ ที่เรียกว่าของเก่านี้ ก็เพียงแต่ยืมมาเรียก คือยืมคำมาเรียกเท่านั้น อันที่จริงไม่มีเก่า ไม่มีใหม่ เพราะเป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ หากว่าจะเรียกเทียบกับชีวิตร่างกาย ก็เรียกได้ว่า ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย ไม่มีเสื่อม ไม่มีดับ จึงไม่มีเก่าไม่มีใหม่ เมื่อพูดว่าใหม่ก็จะต้องมีเก่า เมื่อพูดว่าเก่าก็จะต้องมีใหม่ เป็นคำคู่กัน เพราะฉะนั้น เมื่อไม่มีใหม่ก็ต้องไม่มีเก่า ไม่มีเก่าก็ไม่มีใหม่ เป็นของที่ตั้งอยู่ดำรงอยู่ ดังที่ตรัสไว้ในธรรมนิยามสูตรว่าธาตุนั้นตั้งอยู่ เป็นธรรมฐิติความตั้งอยู่แห่งธรรม เป็นธรรมนิยามความกำหนดแห่งธรรมดั่งนี้
นี้แหละคืออกาลิโกไม่ประกอบด้วยกาลเวลา และสภาพที่เป็นอกาลิโกนี้ก็มีอยู่ทั้งในส่วนที่เป็นโลกธาตุ ทั้งในส่วนที่เป็นธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ เพื่อความดับกิเลสและกองทุกข์ เพื่อความไม่เกิดอีก อันจะพึงกล่าวได้ว่ากฎเกณฑ์ที่เป็นอกาลิโกทางโลกธาตุนั้นเป็นส่วนโลกธาตุ ส่วนกฎเกณฑ์ทางความสิ้นทุกข์ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงพบได้ทรงตรัสรู้ เป็นกฎเกณฑ์ที่เป็นโลกุตรอยู่เหนือโลก กฎเกณฑ์ทางโลกธาตุนั้นเป็นโลกิยะเกี่ยวกับโลก เป็นไปทางโลก แต่กฎเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้เป็นโลกุตรอยู่เหนือโลกพ้นโลก อันเป็นสภาพที่สูงกว่าที่เหนือกว่า กฎเกณฑ์ที่เป็นไปทางโลกธาตุทั้งปวงนั้น ก็เป็นกฎเกณฑ์ที่เป็นสัจจะธรรมที่เป็นความจริงซึ่งต้องมีเกิดมีดับ แต่ว่ากฎเกณฑ์ที่เป็นโลกุตรของพระพุทธเจ้านี้เป็นกฏเกณฑ์ที่อยู่เหนือขึ้นไปอีก จนถึงไม่ต้องเกิดไม่ต้องดับอีกขั้นหนึ่ง นี้เป็นอกาลิโกไม่ประกอบด้วยกาลเวลา เป็นส่วนที่เป็นหลักใหญ่
กาลัญญุตา ความเป็นผู้รู้กาลเวลา
มาถึงธรรมะที่ทรงสั่งสอน อันเป็นศาสนธรรม ธรรมะคือคำสั่งสอน เมื่อทรงสั่งสอนโลกหรือชาวโลก ก็ต้องทรงสั่งสอนเกี่ยวกับกาลเวลา ดังที่ได้แสดงมาแล้วในเบื้องต้น (เริ่ม) แต่ว่าคำสั่งสอนของพระองค์แม้จะเกี่ยวกับกาลเวลา ก็เป็นสัจจะวาจา คือเป็นวาจาจริงที่ไม่ตาย คือเป็นวาจาที่จริงอยู่ทุกกาลสมัย เป็นอกาลิโกไม่ประกอบด้วยกาลเวลาเช่นเดียวกัน ดังเช่นที่ตรัสสอนไว้ในสัปปุริสธรรม ข้อว่าให้มี กาลัญญู รู้จักกาลเวลา ในอันที่จะทำจะพูดจะคิดอะไรต่างๆ ก็เป็นคำสั่งสอนที่ใช้ได้ทุกกาลสมัย
ก่อนแต่พุทธกาล ใครจะทำอะไรก็ต้องให้เหมาะแก่กาลเวลา ในสมัยพุทธกาล ใครจะทำอะไรก็ต้องให้เหมาะแก่กาลเวลา ต่อมาจนถึงปัจจุบัน ใครจะทำอะไรก็ต้องให้เหมาะแก่กาลเวลา ต่อไปก็เหมือนกัน ใครจะทำอะไรก็ต้องให้เหมาะแก่กาลเวลา จึงจะเป็นคนดีคนฉลาด จึงจะสำเร็จประโยชน์ เพราะฉะนั้น กาลัญญุตา ความเป็นผู้รู้กาลเวลา จึงเป็นธรรมะหรือเป็นคุณธรรมที่ต้องใช้อยู่ ต้องปฏิบัติอยู่ทุกกาลสมัย ไม่ว่าเมื่อไรก็ต้องปฏิบัติ ต้องมีทั้งนั้น ใช้ได้ทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น แม้คำสั่งสอนของพระองค์ทั้งหมดที่เกี่ยวกับกาลเวลา ก็เป็นอมตาวาจา เป็นวาจาที่ไม่ตาย เพราะเป็นสัจจะคือความจริง ให้สำเร็จประโยชน์จริง เป็นสัปปุริสธรรมคือเป็นธรรมของคนดีมีปัญญาจริง เพราะฉะนั้น แม้คำสั่งสอนดังที่กล่าวมาข้างต้นอันเกี่ยวกับกาลเวลานั้น ก็เป็นอกาลิโกไม่ประกอบด้วยกาลเวลาโดยปริยายที่กล่าวมานี้เช่นเดียวกัน
ผลอันบังเกิดขึ้นทันที
และนอกจากนี้เมื่อมาปฏิบัติตามที่ทรงสั่งสอน ก็ได้รับผลในขณะที่ปฏิบัติทันที แต่ว่าผลที่ได้รับในขณะที่ปฏิบัตินี้เป็นผลที่ละเอียดก็มี เป็นผลที่หยาบก็มี เพราะฉะนั้น เมื่อบุคคลไม่พิจารณาจึงไม่รู้จักผลที่ตนได้รับจากการปฏิบัติทันที ทั้งที่ผลที่ปฏิบัตินั้นบังเกิดขึ้นทันที เช่นว่า เมื่อทำดีก็ได้ผลดีทันที เมื่อทำชั่วก็ได้ผลชั่วทันที อันผลดีผลชั่วที่ได้ทันทีนี้ ก็คือความเป็นคนดีความเป็นคนชั่ว เมื่อทำดีก็เป็นคนดีขึ้นทันที เมื่อทำชั่วก็เป็นคนชั่วขึ้นทันที ตนเองจะรู้ หรือไม่รู้ ผู้อื่นจะรู้หรือไม่รู้ ก็ไม่เป็นเหตุเปลี่ยนแปลงสัจจะคือความจริงดังกล่าวนี้ได้
ข้อที่ต้องปฏิบัติกระทำให้แจ้ง
แต่ว่าผลคือความเป็นคนดีความเป็นคนชั่ว ดังกล่าวนี้เป็นของละเอียด ถ้าไม่ใช้ปัญญาพิจารณา แม้ตนเองก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นในส่วนที่เป็นผลนี้พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนไว้ว่า ให้ปฏิบัติกระทำให้แจ้ง อันเป็นกิจของอริยสัจจ์ข้อที่ ๓ ทุกขนิโรธความดับทุกข์ ที่ตรัสสอนไว้ให้กระทำให้แจ้ง ถ้าไม่ปฏิบัติกระทำให้แจ้ง ก็ไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็ทำให้เข้าใจผิด
เพราะฉะนั้น ในข้อนี้จึงต้องศึกษา ด้วยการที่มาปฏิบัติทำจิตให้สงบ จากกิเลสอย่างหยาบด้วยศีลเสียก่อน ถ้าจิตยังหยาบอยู่ ยังต้องการที่จะไปฆ่าเขาบ้าง จะไปลักของเขาบ้าง ประพฤติผิดในกามบ้าง พูดเท็จหลอกลวงเขาบ้าง ดื่มสุราเมรัยอันเป็นทางของความประมาทบ้าง ก็ยากที่จะมีปัญญารู้จักได้
เพราะฉะนั้น ต้องปฏิบัติในศีลให้จิตสงบเสียก่อน จิตเป็นปรกติเสียก่อนจากกิเลสอย่างหยาบ และปฏิบัติในสมาธิกับทางปัญญาต่อไป โดยนำจิตเข้ามากำหนดในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ให้รู้จักกาย รู้จักเวทนา รู้จักจิต รู้จักธรรม ที่ตนเอง และเมื่อรู้จักทั้ง ๔ ก็มาหัดกำหนดให้เป็นสมาธิ คือให้จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว เพื่อให้จิตมีสมาธิดียิ่งขึ้น เช่นกำหนดที่ข้อกายอันเป็นข้อหยาบกำหนดได้ง่าย กำหนดลมหายใจเข้าลมหายในออก ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอน มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก หายใจเข้าหายใจออกยาวก็ให้รู้ หายใจเข้าหายใจออกสั้นก็ให้รู้ ศึกษาสำเหนียกกำหนดว่าเราจักรู้กายทั้งหมดหายใจเข้า หายใจออก เราจักรู้จักระงับกายสังขารเครื่องปรุงกายหายใจเข้าหายใจออก ดั่งนี้ อันเป็นหลักที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้เอง ให้จิตรวมเข้ามา มีอารมณ์เป็นอันเดียวอยู่ที่ลมหายใจ
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป