แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
จะแสดงอุปการธรรมในการปฏิบัติทำจิตตภาวนา คืออบรมจิตให้เป็นสมาธิ และให้ได้ปัญญา อีกข้อหนึ่ง คือขันติที่แปลกันว่าความอดทน อันขันติคือความอดทนนี้เป็นธรรมะอันสำคัญ ที่ทุกคนจะต้องมี จึงจะสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยดี และขันติคือความอดทนที่มีพระพุทธาธิบายไว้ทั่วไป และที่นำมาอธิบายกันอยู่โดยมากก็คือ อดทนต่อความตรากตรำ เช่น ทนหนาวทนร้อนเป็นต้น อดทนต่อความลำบากอันเกิดจากทุกขเวทนาต่างๆ ในเวลาเจ็บป่วย อดทนต่อความเจ็บใจ คือต่อถ้อยคำที่จาบจ้วงล่วงเกินต่างๆ อันทำให้เกิดความเจ็บใจ
ความอดทนทั้ง ๓ นี้ ก็เป็นข้อที่จะต้องปฏิบัติให้มีกันอยู่โดยปรกติทั่วไป เพราะทุกคนก็จะต้องพบกับหนาวร้อนเป็นต้น อันเป็นเหตุที่ทำให้ไม่ผาสุกต่างๆ ในขณะที่ต้องประกอบการงาน ต้องไปนั่นต้องไปนี่ เกี่ยวแก่กิจที่จะพึงทำต่าง จึงจะต้องฝึกให้มีความอดทนที่จะตรากตรำต่อสิ่งที่ทำไม่ผาสุกเหล่านี้ได้ จึงจะออกไปประกอบการงานต่างๆ ได้ และในบางคราวก็จะต้องมีความเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จะต้องมีความอดทนต่อทุกขเวทนาที่บังเกิดขึ้น ไม่เป็นผู้ที่มีใจเสาะ
ที่กล่าวมานี้ก็ไม่ได้หมายความว่า จะอดทนเกินไป ต่อความตรากตรำนั้นๆ หรือว่าเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่ต้องรักษา การตรากตรำต่างๆ นั้น ต่อหนาวร้อนเป็นต้น ก็ต้องรู้ประมาณว่าควรที่จะพึงอดทนได้เพียงไร ไม่ให้เกินไป และเมื่อเจ็บป่วยก็ต้องรักษา เป็นแต่เพียงว่าไม่ทำจิตใจให้พ่ายแพ้ ต่อทุกขเวทนาต่างๆ โดยง่าย ต้องมีใจที่อดทนด้วย เมื่ออดทนได้ ก็จะทำให้ไม่กลัวต่อหนาวร้อนเป็นต้น และจะทำให้ไม่กลัวต่อทุกขเวทนา หรือต่อความรู้ว่าจะเป็นโรคภัยนั้นๆ ผู้ที่อดทนไม่ได้ ก็จะไม่สามารถตรากตรำทำงานต่างๆ แม้ที่ควรจะตรากตรำได้ และไม่สามารถที่จะรับรู้ความจริงในความเจ็บป่วยของตน เพราะกำลังใจไม่ดี และเจ็บน้อยก็เหมือนอย่างเจ็บมาก หรือว่าเจ็บน้อยพอจะรักษาได้อยู่แล้ว เมื่อใจเสียก็ทำให้โรคกำเริบ ทำให้เจ็บมากขึ้นอีก เพราะฉะนั้น ความอดทนนี้จึงเป็นอุปการะสำคัญ
ขันติในโลกธรรม
อนึ่ง ทุกคนก็จะต้องพบกับอารมณ์คือเรื่องต่างๆ ที่ชอบใจบ้างไม่ชอบใจบ้าง ต้องพบกับวาจาของคนทั้งหลายที่พูด ทำให้ให้พอใจบ้าง ทำให้ไม่พอใจบ้าง เพราะฉะนั้น จึงจะต้องรู้จักมีความอดทนต่อถ้อยคำ แม้ที่จาบจ้วงล่วงเกินต่างๆ ให้ได้ จึงจะรักษาภาวะทางจิตใจของตน ตลอดถึงภาวะทางกายทางวาจาของตน ให้เป็นปรกติเรียบร้อยดีงามได้ แม้ว่าถ้อยคำที่สรรเสริญเยินยอก็ต้องมีความอดทนเหมือนกัน ถ้าอดทนไม่ได้ก็จะฟุ้ง หรือแสดงอาการที่เรียกว่า ขึ้น ไปตามคำสรรเสริญเยินยอต่างๆ แม้ที่ไม่ถูกต้อง ก็ทำให้เสียทำให้ผิดได้ ถ้าถูกติฉินนินทา ก็ทำให้ขึ้งเคียด ทำให้จิตใจตกต่ำ เรียกว่า ลงจิตใจจึงขึ้นบ้างลงบ้างดั่งนี้อยู่เสมอ เป็นไปตามอารมณ์ เป็นไปตามวาจาที่ใครๆ พูด ดั่งนี้เพราะไม่มีขันติคือความอดทน
ถ้ามีขันติคือความอดทนได้ ก็จะรักษาจิตใจ รักษากายวาจาของตนให้เป็นปรกติเรียบร้อยดีงามได้ ใครเขาติฉินนินทาก็ไม่ออกรับไปขึ้งเคียดโกรธแค้นเจ็บใจ ใครเขาสรรเสริญเยินยอก็ไม่ออกรับไป ขึ้น ทะเยอทะยาน หรือเหิมเห่อ แต่พิจารณาดูให้รู้ความจริง ถ้าเขาติถูกก็ควรจะขอบใจผู้ติ และปฏิบัติแก้ให้ถูกต้อง ถ้าเขาติไม่ถูกนินทาไม่ถูกก็ไม่รับ เพราะตนเองไม่ได้ไปทำดั่งที่เขานินทานั้น เขาสรรเสริญ ถ้าเขาสรรเสริญเกินไปก็ให้รู้ว่าเกินไป ก็ไม่รับ
ถ้าเขาสรรเสริญพอดีถูกต้อง แม้ว่าจะรับก็รับมาเป็นการที่ให้กำลังใจในอันที่จะทำดียิ่งขึ้น ไม่ใช่รับเข้ามาว่าเราดีพอแล้ว ไม่ต้องทำดีอะไรอีก หรือเพลินอยู่กับคำสรรเสริญของเขาไม่ทำอะไรต่อไป เสียงสรรเสริญนั้นให้ถือเป็นเครื่องให้กำลังใจ ในอันที่จะทำดียิ่งขึ้น ไม่ใช่ทำให้เกิดมานะดูถูกดูหมิ่นผู้อื่น ว่าเราดี เขาไม่ดี อย่างนี้เป็นต้น เสียงนินทาก็ให้ถือว่าเป็นเครื่องเตือนสำหรับที่จะให้เฉลียวใจมาพิจารณาตนเอง เมื่อเขานินทาถูก ก็ต้องรับว่าเขาติถูก การติของเขานั้นเป็นการให้คุณ ไม่ใช่ให้โทษ ปฏิบัติแก้ไขต่อไป เมื่อเขาติไม่ถูกก็ไม่รับ ที่ควรจะแก้ก็แก้ไป ที่ไม่ควรจะแก้ก็นิ่งเสียตามสมควร ดั่งนี้จึงต้องมีขันติ
อธิวาสนขันติ
และขันติดังที่กล่าวมานี้ ท่านมีคำเรียกว่า อธิวาสนขันติ อธิวาสนะ นั้นแปลว่า ยับยั้ง แปลว่า รับยับยั้งไว้ได้ รับไว้ได้ นี้คืออธิวาสนะ และที่มาประกอบเข้ากับคำว่าขันติ ก็คือขันติที่ยับยั้งไว้ได้ ที่รับไว้ได้ ดังเช่นความทุกข์ต่างๆ เช่นหนาวร้อน หิวระหาย สัมผัสสัตว์เช่นเหลือบยุง ลมแดดเป็นต้น เหล่านี้ก็จะต้องมีในขณะที่จะต้องประกอบการงาน หรือออกไปประกอบการงานต่างๆ เมื่อยับยั้งไว้ได้ รับไว้ได้ คือยับยั้งทุกข์ทั้งปวงดังกล่าวนั้น มิให้มาเป็นเหตุทำให้ต้องขัดข้อง ต่อการที่จะออกไปประกอบการงาน รับไว้ได้ก็คือแม้ว่าจะต้องพบกับทุกข์เหล่านั้น ก็รับได้ ไม่กลัวไม่หวั่นไหว ดั่งนี้เรียกว่าอธิวาสนะ รับไว้ได้ ยับยั้งได้
ลักษณะดังที่กล่าวมานี้ สัตว์บุคคลทั้งหลาย สิ่งทั้งหลายที่เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งอยู่ในโลกนี้ ที่นอกจากสัตว์บุคคลก็เช่น ต้นไม้ ภูเขา เป็นต้น ก็จะต้องมีภาวะที่ยับยั้งไว้ได้รับไว้ได้ของตนอยู่ทั้งนั้น จึงจะดำรงอยู่ได้ ยกตัวอย่างเช่นต้นไม้ที่ตั้งต้นขึ้นมาได้ ดำรงลำต้นอยู่ได้ ก็จะต้องมีกำลังอดทนที่ยับยั้งไว้ได้รับไว้ได้ซึ่งแดดลมเป็นต้น เช่นว่าจะต้องพบกับความร้อนของแสงอาทิตย์ ถ้ารับไม่ได้ยับยั้งไม่ได้ต้นไม้ก็จะต้องตาย ถูกลมพัด ถ้าไม่มีความเหนียวความแข็งของลำต้นพอที่จะรับลมต้านลม ต้นไม้ก็ต้องหัก ดำรงต้นอยู่ไม่ได้ แต่เพราะต้นไม้มีกำลังความอดทนที่จะรับไว้ได้ยั้งไว้ได้ ซึ่งลมแดดเป็นต้นดังกล่าวนั้น จึงไม่ตาย ดำรงต้นอยู่ได้
บุคคลก็เหมือนกัน ก็จะต้องมีกำลังขันติที่เป็นเครื่องยับยั้ง เป็นเครื่องรับ อันเป็นเครื่องต้านทานปัจจัยที่เป็นเครื่องเบียดเบียนต่างๆ ทั้งทางร่างกาย และทั้งทางจิตใจ ร่างกายจึงดำรงอยู่ได้ และจิตใจนี้ก็ดำรงผาสุกอยู่ได้ ก็คือจะต้องมีขันติอันเป็นเครื่องต้านทาน เป็นเครื่องรับ เป็นเครื่องยับยั้ง ทุกข์ต่างๆ หรือเหตุแห่งทุกข์ต่างๆ อันเป็นเครื่องเบียดเบียน เป็นเครื่องทำลาย เช่นหนาวร้อนเป็นต้นดังกล่าว สามารถที่จะตรากตรำหนาวตรากตรำร้อนได้ตามสมควร (เริ่ม) และจะต้องรู้จักอดทนต่อทุกขเวทนาในเมื่อเกิดเจ็บป่วย จะต้องรู้จักอดทนต่อถ้อยคำจ้วงจาบล่วงเกิน หรือแม้ถ้อยคำที่ยกยอปอปั้น เหล่านี้ต้องอาศัยอธิวาสนะขันติดังกล่าวทั้งนั้น จึงจะทำให้ทั้งร่างกายและทั้งจิตใจนี้ มีความผาสุกและดำรงอยู่ได้ดี
อธิวาสนขันติระงับทุกขเวทนา
นอกจากนี้อธิวาสนขันติ ขันติคือความรับไว้ได้ ยับยั้งไว้ได้ต้านทานไว้ได้นี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ยังได้ทรงใช้และได้ใช้ ระงับทุกขเวทนา ระงับอาพาธที่บังเกิดขึ้นในโอกาสต่างๆ อีกด้วย ดังที่ได้มีแสดงไว้ในพุทธประวัติ ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประชวรด้วยโรคาพาธ มีทุกขเวทนาแม้แรงกล้า แต่ก็ทรงระงับได้ด้วยอธิวาสนขันติดังกล่าว และเพราะเหตุที่พระอธิวาสนขันติของพระองค์ นั้นมีพลังที่แรงกล้า จึงสามารถระงับทุกขเวทนา ระงับอาพาธนั้นๆ ได้ ปรากฏว่าได้ทรงระงับทุกขเวทนา และอาพาธต่างๆ ด้วยอธิวาสนขันตินี้มากครั้ง แต่ในบางครั้งก็โปรดให้หมอชีวกโกมารภัจจ์ถวายโอสถรักษา
เพราะฉะนั้นอธิวาสนขันตินี้เมื่อได้ฝึกปฏิบัติให้มีอยู่ ก็ย่อมจะเป็นประโยชน์มาก ว่าถึงในคราวป่วยไข้ เมื่อให้หมอรักษาไปด้วย และใช้อธิวาสนขันติประกอบไปด้วย ก็ย่อมจะทำให้การรักษาพยาบาลสำเร็จได้ด้วยดี เมื่อเป็นโรคภัยไข้เจ็บที่พอจะรักษาได้ ก็จะทำให้รักษาได้ง่ายขึ้น เมื่อป่วยแม้จะมากก็จะน้อยเข้า จนถึงหาย เมื่อป่วยน้อยๆ ก็อาจจะหายไปได้ ด้วยกำลังอธิวาสนขันตินี้เพียงอย่างเดียว เพราะฉะนั้นจึงเป็นธรรมะอันสำคัญ ที่ทุกๆ คนจะพึงมีเอาไว้ด้วยการที่ฝึกหัดปฏิบัติ ให้มีความอดทน ให้มีน้ำอดน้ำทน ให้รู้จักอดกลั้น
โสรัจจะ
อนึ่ง ธรรมะที่คู่กับขันติก็คือ โสรัจจะ ที่ท่านแปลว่า ความเสงี่ยม ตามศัพท์นั้นแปลว่าความยินดีหรือความรื่นรมย์ของใจ พูดง่ายๆ ก็คือความสบายใจ อันทำให้กายและวาจาก็สบาย เป็นปรกติเรียบร้อยดีงาม โสรัจจะดั่งที่กล่าวนี้ พูดง่ายๆ ในทางปฏิบัติก็คือทำใจให้สบาย โดยที่ฝึกที่จะระบายสิ่งที่อัดอยู่ในใจนั้น ให้ออกไปจากใจ ให้สงบไปจากใจ
ในขณะที่ปฏิบัติในขันตินั้น ถ้าไม่มีโสรัจจะคือการทำใจให้สบายนี้มาประกอบด้วย ก็จะรู้สึกว่าเป็นขันติที่เป็นทุกข์ ดังเช่นเมื่อกระทบกับคำจาบจ้วงล่วงเกิน ก็ปฏิบัติทำขันติคือความอดทนเอาไว้ แต่ว่ายังมีความเจ็บใจ ยังมีความโกรธ ความขึ้งเคียดอยู่ในใจ แต่ก็พยายามที่จะกลั้นเอาไว้ ดังที่เรียกว่าอดกลั้น อยากที่จะโต้ตอบเขาออกไปทันที อยากที่จะทำร้ายเขาออกไปทันที ด้วยอำนาจของโทสะ หรือความเจ็บใจ แต่ก็กลั้นเอาไว้ไม่ทำออกไป
เมื่อเป็นดั่งนี้ โทสะหรือความเจ็บใจที่มีอยู่ในใจนั้น ก็ทำให้เกิดความเครียดขึ้น แสดงออกทางหน้าทางตาเช่นตาแดงหูแดง แสดงออกทางกิริยาเช่นแสดงอาการฮึดฮัด หรือว่าหยิบเอาสิ่งของที่ใกล้มือเขวี้ยงปาออกไป ได้แก้วก็ขว้างแก้วออกไป ได้จานก็ขว้างจานออกไป เป็นการทดแทนที่จะวิ่งออกไปทำร้ายเขา ก็ทำร้ายพัสดุต่างๆ แทน เหล่านี้เพราะเหตุที่ว่าจิตใจยังมีความเจ็บใจ ยังมีโทสะที่กลุ้มกลัดอยู่ เป็นขันติที่เป็นทุกข์ และเป็นขันติที่ทำให้ใจไม่สบาย ต้องกลั้นเอาไว้ ต้องเดือดร้อนต้องกระสับกระส่าย ดังเช่นที่กล่าวมา เมื่อเป็นดั่งนี้ก็ต้องมีโสรัจจะเข้ามาช่วย คือทำใจให้สบาย ระบายเอาความเจ็บใจ ระบายเอาความโกรธนั้นออกไปเสีย ไม่เก็บเอาไว้ให้เกิดความขึ้งเครียด ดังที่กล่าว
เพราะฉะนั้น โสรัจจะจึงเป็นธรรมะสำคัญมาก อันทำให้ใจสบาย อันทำให้กายวาจาก็สบาย เป็นปรกติเรียบร้อยดีงาม ไม่ต้องหูแดงตาแดง ไม่ต้องทำฮึดฮัด เขวี้ยงโน่นเขวี้ยงนี่ ดังที่กล่าวมานั้น เพราะฉะนั้น พระอาจารย์ท่านจึงมักอธิบายโสรัจจะว่าเป็นศีล เพราะดูที่อาการกายวาจาของผู้ที่ปฏิบัติในขันตินี้ว่าเป็นปรกติเรียบร้อยดีงาม แต่อันที่จริงนั้นต้นเหตุก็คือต้องทำใจให้สบาย ตรงตามศัพท์ของโสรัจจะ ที่แปลว่ารื่นรมย์ดี สบายดี ใจดี
ขันติ โสรัจจะ ธรรมะที่ทำให้งาม
เพราะฉะนั้นโสรัจจะนี้จึงเป็นธรรมที่คู่กันกับขันติ เป็นขันติข้อหนึ่ง เป็นโสรัจจะข้อหนึ่ง ที่ท่านเรียกว่าเป็นธรรมะที่ทำให้งาม เพราะว่าผู้ที่มีขันติโสรัจจะอยู่ดังนี้ ย่อมทำให้จิตใจก็งาม กายวาจาก็งาม เพราะสามารถที่จะรับยับยั้งเหตุแห่งทุกข์ต่างๆ ไว้ได้ ทั้งทำจิตใจให้สบาย คือสบายดี เหมือนอย่างไม่ได้ถูกกระทบกระทั่งอะไรด้วย กายวาจาก็ดีด้วย ปราศจากอาการที่เป็นวิกลวิกาลต่างๆ จึงเป็นธรรมะที่ทำให้งาม นี้เป็นขันติที่เป็นปฏิบัติทั่วไป
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป