แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้พระธรรม และได้แสดงพระธรรมสั่งสอน เพราะฉะนั้น พระธรรมจึงเป็นข้อสำคัญ ถ้าหากว่ามีความเข้าใจก็ย่อมจะทำให้รู้จักพระพุทธศาสนา และปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาเป็น ธรรมจารีบุคคล ได้โดยถูกต้อง คำว่าธรรมนี้ก็เป็นภาษาที่บัญญัติขึ้น ซึ่งมีความหมายกว้างขวาง แต่ว่าก็อาจรวมเข้ามาได้ในสัจจะคือความจริง สัจจะคือความจริงนี้เองเป็นธรรมหรือธรรมะ แม้ว่าคำแปลของ ๒ คำนี้จะต่างกัน แต่ก็สัมพันธ์กัน คือธรรมะแปลว่าทรงไว้ ส่วนสัจจะคือความจริงนั้นก็แปลว่า มีอยู่ หรือ เป็นอยู่ ทั้ง ๒ คำนี้ถึงจะต่างกัน แต่ก็มีความหมายเป็นอันเดียวกัน คือสิ่งใดที่มีอยู่หรือเป็นอยู่จริง สิ่งนั้นก็ย่อมทรงอยู่ หรือดำรงอยู่ได้ และสิ่งใดที่ทรงอยู่หรือดำรงอยู่ได้ สิ่งนั้นก็ต้องเป็นสิ่งที่มีอยู่ หรือเป็นอยู่ เพราะฉะนั้น จึงมาแปลสัจจะกันว่าจริง หรือความจริง หรือว่าของจริงของแท้ เพราะว่าสิ่งที่เป็นของมีอยู่เป็นอยู่นั้นย่อมเป็นของจริงของแท้ จึงมีอยู่เป็นอยู่ได้ ถ้าเป็นของไม่จริงไม่แท้ ก็มีอยู่หรือเป็นอยู่ไม่ได้ และความที่มีอยู่เป็นอยู่นั้น ก็คือความที่ทรงอยู่หรือดำรงอยู่นั้นเอง
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสรู้พระธรรม จึงตรัสแสดงไว้เองว่าตรัสรู้อริยสัจจ์ทั้ง ๔ คือสัจจะสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่ ซึ่งแปลกันว่าความจริงอันทำให้ผู้รู้เป็นอริยะ คือเป็นผู้ประเสริฐเป็นผู้เจริญ ก็ได้แก่ความรู้จักทุกข์ รู้จักทุกขสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ รู้จักทุกขนิโรธความดับทุกข์ รู้จักมรรคคือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อันเรียกว่า อริยสัจจ์ ๔ อันเป็นหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น พระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็คืออริยสัจจ์ทั้ง ๔ ที่ได้ตรัสแสดงไว้เอง และก็ได้ทรงแสดงธรรมะที่ตรัสรู้นี้สั่งสอน โดยปริยายคือทางเป็นอันมาก แต่ก็ตรัสแสดงไว้เองว่า ก็รวมเข้าในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ นี้เอง คือรวมเข้าเพื่อที่จะได้รู้จักอริยสัจจ์ทั้ง ๔ นี้
กิจในอริยสัจจ์
และการปฏิบัติพระพุทธศาสนาก็รวมเข้าในกิจ ๔ ข้อในอริยสัจจ์นี้นี่เอง กิจ ๔ ข้อก็คือข้อที่พึงปฏิบัติกระทำ ๔ ข้อ อันได้แก่ กำหนดรู้หรือรู้จักรอบคอบในทุกข์ ข้อหนึ่งอันเรียกว่าปริญญา ละสมุทัยคือเหตุให้เกิดทุกข์ ข้อหนึ่งอันเรียกว่า ปหานะ ทำให้แจ้งนิโรธคือความดับทุกข์ ข้อหนึ่งอันเรียกว่า สัจฉิกรณะ และอบรมทำให้มีให้เป็นขึ้นในมรรค คือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ข้อหนึ่งอันเรียกว่า ภาวนา
การปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา จึงรวมเข้าในกิจทั้ง ๔ นี้ กำหนดรู้หรือทำความรู้รอบคอบในทุกข์ ละสมุทัยคือเหตุให้เกิดทุกข์ ทำให้แจ้งนิโรธคือความดับทุกข์ และมรรค และอบรมทำให้มีให้เป็นขึ้นซึ่งมรรค คือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ก็รวมเป็นกิจ ๔ ประการ
อภิญญา ความรู้ยิ่งเห็นจริง
และกิจ ๔ ประการนี้จะทำให้มีให้สมบูรณ์ขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยการอบรมปัญญา ให้ได้ความรู้ยิ่งเห็นจริง ให้ได้ความเข้าใจอันถูกต้องจริงในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ ข้อนี้ อันเรียกว่า อภิญญา ซึ่งแปลว่าความรู้ยิ่ง อันหมายความว่ารู้ยิ่งเห็นจริงนั้นเอง อภิญญานี้ต่างจากปัญญาสามัญทั่วไป โดยที่ปัญญาสามัญทั่วไปนั้นเป็นความรู้ในสิ่งนั้นๆ ตามความรู้ที่ได้ทางตาทางหูเป็นต้น ซึ่งได้จากตาที่มองเห็น หูที่ได้ยินได้ฟัง เป็นต้น และก็เป็นความรู้ที่ยึดถือ ที่เกี่ยวเกาะ แม้ว่าความรู้ทางตาทางหูเป็นต้นเหล่านี้ จะมีความรู้ลึกซึ้งในสิ่งนั้นๆ เพียงใดก็ตาม จะรู้สิ่งทั้งหลายในโลกที่อาศัยอยู่นี้ จะรู้ไปถึงโลกอื่น เช่น รู้จักดวงดาวต่างๆ รู้จักดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ต่างๆ หรือแม้ว่ารู้จักโลกนี้ โลกหน้า โลกอดีต ด้วยญาณคือความหยั่งรู้ อันเกิดจากสมาธิอย่างสูง แต่ยังเป็นความรู้ยึดรู้ติด ก็ยังไม่เป็นอภิญญา เป็นปัญญาทั่วไป หรือเป็นโลกิยะปัญญา ปัญญาที่ยังเกี่ยวอยู่กับโลก
เพราะฉะนั้น จึงยังไม่พ้นทุกข์ รู้มากอาจจะทุกข์มาก เพราะว่าอาจจะใช้ความรู้ก่อสิ่งที่ให้เกิดโทษเกิดทุกข์ได้มาก หรือว่ารู้มาก ยึดถือมาก เกี่ยวเกาะมาก ก็ทุกข์มาก ถ้ารู้น้อยอาจจะทุกข์น้อยกว่า ก็มีเป็นอันมาก มนุษย์ในโลกนี้มีปัญญาสูงซึ่งเป็นโลกิยะปัญญา จึงมีความเจริญทางวัตถุต่างๆ เป็นอันมาก และก็มีความเสื่อมเพราะวัตถุต่างๆ ที่สร้างขึ้นจากความรู้นั้นเป็นอันมากเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น จึงมีการสร้าง และมีการทำลาย ด้วยอำนาจของตัณหา ด้วยอำนาจของโลภโกรธหลง เพราะความรู้ที่รู้นั้นยังไม่เป็นอภิญญา คือมิใช่รู้ยิ่งเห็นจริง หรือว่ายังมิใช่เป็นความรู้ทับ อันหมายความว่าทับตัณหา ทับกิเลสกองโลภโกรธหลง ทับก็คือบรรเทา หรือว่าดับ อภิญญา นั้นนอกจากแปลว่าเป็นความรู้ยิ่ง คือรู้ยิ่งเห็นจริง ยังแปลว่าทับ คือข่มหรือทำลายได้อีกด้วย อีกคำหนึ่งก็คือ อธิปัญญา รู้ยิ่งรู้ทับเช่นเดียวกัน ซึ่งใช้ในความหมายว่าทับกิเลส ละกิเลส ดับกิเลส
โลกิยะปัญญา โลกุตระปัญญา
พระพุทธเจ้าทรงได้ปัญญาในทางโลก อันเรียกว่าโลกิยะ ปัญญาอย่างสูงสุด เพราะทรงได้ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ความรู้ระลึกถึงขันธ์เป็นที่อาศัยอยู่ในปางก่อนได้ อันเรียกว่าระลึกชาติได้ และ จุตูปปาตญาณ ความรู้จุติคือความเคลื่อน อุปบัติคือความเข้าถึงชาติภพนั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลายว่าเป็นไปตามกรรม อันนับว่าเป็นยอดโลกิยะปัญญา และทรงได้ปัญญาที่เป็นยอด ซึ่งเป็นโลกุตระปัญญา ปัญญาที่อยู่เหนือโลกพ้นโลก คือ อาสวักขยญาณ ความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะ
เพราะฉะนั้นจึงทรงละกิเลสและกองทุกข์ได้ทั้งสิ้น เพราะปัญญาที่ทรงได้นี้เป็น อภิญญา ปัญญาที่รู้ยิ่งเห็นจริง หรือปัญญาที่ทับกิเลส ดับกิเลส ละกิเลส หรือ อธิปัญญา ปัญญาที่ยิ่งที่หรือทับกิเลสดับกิเลส เช่นเดียวกัน ที่เรียกว่าโลกุตระเหนือโลกพ้นโลก ก็หมายถึงเหนือทุกข์เหนือกิเลส พ้นกิเลส พ้นทุกข์นั้นเอง
แม้ว่าบุคคลผู้ปฏิบัติธรรมะทั่วไป ปฏิบัติในกิจทั้ง ๔ ดังที่กล่าวมานั้น หรือว่า กล่าวโดยทั่วไปก็คือปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ ย่นเข้าก็เป็นศีล เป็นสมาธิ ปัญญา หรือเป็นไตรสิกขา สีลสิกขา จิตตสิกขาคือสมาธิ และปัญญาสิกขา หรือว่าตามพระโอวาทที่เป็นหลักเป็นประธาน อันเรียกว่า โอวาทปาติโมกข์ ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม ชำระจิตของตนให้ผ่องใส การปฏิบัติธรรมทั้งปวงนี้ก็เป็นการปฏิบัติที่จะต้องถึงปัญญา อันเป็นความรู้ยิ่ง หรือรู้ทับกิเลส ละกิเลสดังที่กล่าว
และแม้ว่ายังละไม่ได้มาก ละได้น้อย ละได้เท่าไร ก็เป็นการปฏิบัติที่ละทุกข์ละกิเลสได้เท่านั้น ก็เป็นโลกุตรเท่านั้น แม้ว่าจะเป็นโลกุตรชั่วคราว คือละได้เฉพาะอย่าง เฉพาะคราว ก็เป็นโลกุตรเฉพาะอย่าง เฉพาะคราว เป็นการปฏิบัติหัดที่จะให้จิตใจของตน การปฏิบัติของตนอยู่เหนือกิเลส เหนือทุกข์ คือละกิเลสละทุกข์ พ้นกิเลสพ้นทุกข์นั้นเอง
เรียนให้รู้จักวิธีปฏิบัติ
การปฏิบัตินั้นก็ต้องตั้งต้นกันมาอย่างนี้ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ก็ต้องทรงตั้งต้นมาดังที่เรียกว่า พระพุทธเจ้าเมื่อเป็นพระโพธิสัตว์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเป็นอันมาก ตลอดเวลาช้านาน จึงมิใช่ว่าจะปฏิบัติเพื่อละกันได้ทันที ต้องใช้เวลานาน ต้องปฏิบัติบ่อยๆ ในการที่จะเรียนให้รู้จักวิธีปฏิบัติ อันเรียกว่าปริยัติธรรม คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้ปฏิบัติ ว่าปฏิบัติในศีลอย่างไร ในสมาธิอย่างไร ในปัญญาอย่างไร
หรือยกเอาจำเพาะหมวดสติปัฏฐานทั้ง ๔ ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้ตั้งสติกำหนดกาย กำหนดเวทนา กำหนดจิต กำหนดธรรม การทำความรู้ความเข้าใจก็ไม่ยาก เช่นในข้อที่ตรัสสอนให้ตั้งสติกำหนดกายนั้น ข้อแรกก็ตรัสสอนให้กำหนดลมหายใจเข้าออก มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก ดั่งนี้เป็นต้น ก็เป็นข้อที่เข้าใจได้ง่าย และที่พระอาจารย์ได้สอนวิธีปฏิบัติต่างๆ ประกอบเข้ามา เช่น ใช้วิธีนับ หายใจเข้านับหนึ่ง หายใจออกนับหนึ่ง หายใจเข้านับสอง หายใจออกนับสอง ไปจนถึงสิบๆ แล้วก็เริ่มหนึ่งๆ ใหม่ กลับไปกลับมา เรียกว่านับช้า แล้วก็มานับเร็ว หายใจเข้านับหนึ่ง หายใจออกนับสอง สาม สี่ ก็แค่สิบแล้วก็กลับใหม่ และเมื่อจิตอยู่ตัวก็เลิกนับ กำหนดทำความรู้ลมหายใจเข้าออกอยู่ในภายใน หรือว่าท่านสอนให้หายใจเข้า กำหนดว่า พุท หายใจออกกำหนดว่า โธ กลับไปกลับมา เป็นวิธีที่อาจารย์สอนสำหรับผู้ปฏิบัติในเบื้องต้น ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจง่าย ฟังอธิบายกันไม่นาน ก็ทราบหลักที่จะนำไปเริ่มปฏิบัติได้
การปฏิบัติในเบื้องต้นเป็นไปได้ยาก
แต่ว่าในการปฏิบัตินั้น ในเบื้องต้นอาจจะยากเพราะว่า จิตมีปรกติที่ดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่ายไปในอารมณ์ ที่ยึดถือไว้ต่างๆ ที่เก็บไว้ต่างๆ และบางทีก็มีความยึดถืออยู่ในสิ่งนั้นบ้างในสิ่งนี้บ้าง น้อยบ้างมากบ้าง เป็นความกังวล เป็นความหม่นหมองประจำอยู่ (เริ่ม) เพราะฉะนั้น การที่มาจับปฏิบัติให้จิตมาตั้งอยู่ในกรรมฐาน จิตจึงไม่ยอม คือไม่เกิด อัสสาทะ คือความพอใจ หรือ ฉันทะ คือความพอใจความชอบใจ จิตชอบใจ หรือพอใจที่จะเกาะเกี่ยวอยู่ในอารมณ์นั้นๆ
อาการของราคะ
ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงตัณหาคือความดิ้นรนของจิต ว่าประกอบด้วยราคะคือความติด นันทิคือความเพลินอยู่ในอารมณ์นั้นๆ และราคะคือความติดใจนี้มิได้หมายเพียงอารมณ์ที่รักใคร่ปรารถนาพอใจเท่านั้น แต่หมายถึงแม้อารมณ์ที่ไม่รักใคร่ไม่ปรารถนาไม่พอใจ จิตนี้ก็ติดอยู่เหมือนกัน ไม่ปล่อย
อาการที่จิตติดอยู่ไม่ปล่อยนี่แหละ เป็นราคะ ใช้ได้ทั้งในด้านที่รักที่พอใจ ทั้งในด้านที่ไม่รักไม่พอใจ เมื่อจิตติดอยู่ไม่ปล่อยก็ชื่อว่าเป็นราคะคือความติด คือความติดใจ ติดใจยินดี ติดใจยินร้าย ก็ครุ่นยินดี ครุ่นยินร้ายอยู่นั่นแหละ ไม่ยอมปล่อยอารมณ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดีความยินร้ายนั้นๆ ดั่งนี้ก็เป็นราคะเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นดั่งนี้ จิตจึงดิ้นรนกวัดแกว่งอยู่ในอารมณ์ เพราะความติดดังกล่าว เมื่อน้อมให้มาตั้งอยู่ในสมาธิ จึงไม่ยอมที่จะน้อมมาง่ายๆ ไม่เกิด ฉันทะ หรือ อัสสาทะ ความพอใจ ความชอบใจ
อุปการธรรมในการปฏิบัติ
เพราะฉะนั้นจึงต้องมีธรรมะที่เป็นอุปการธรรมที่จะให้ปฏิบัติได้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ในสติปัฏฐานสูตร ก็คือ อาตาปะ ความเพียร คือตั้งความพากเพียรพยายาม สัมปชานะ หรือสัมปชัญญะความรู้ตัว สติ ความกำหนด และ ตั้งใจละยินดียินร้าย ที่เกาะเกี่ยวอยู่ในอารมณ์นั้นๆ เป็น ๔ ประการ
อนึ่ง ได้ตรัสสอนธรรมะอีกข้อหนึ่งอันนับว่าเป็นข้อสำคัญ ก็คือ ขันติ ความอดทน เมื่อมีความอดทนอยู่ คือทนปฏิบัติ สมมติว่านั่งปฏิบัติทำสมาธิหรือว่านั่งสวดมนต์ภาวนา หนึ่งนาที สองนาที สามนาที ห้านาที สิบนาที และยิ่งๆ ขึ้นไป ทำอยู่บ่อยๆ ทำให้มาก เป็นการหัดปฏิบัติที่จะดึงจิตให้น้อมมาสู่กรรมฐาน สู่อารมณ์ของสมาธิ คือพรากจิตออกจากอารมณ์อันเป็นที่ตั้งของกิเลส และกิเลสที่รวมเรียกว่านิวรณ์ก็ได้ ให้มาตั้งอยู่ในอารมณ์ของสมาธิ
ในตอนแรกที่ปฏิบัตินั้นก็จะต้องเหมือนอย่างยื้อแย่งกัน นิวรณ์หรือกิเลสก็ยื้อแย่งจิตไป ทางฝ่ายสติสมาธิก็ยื้อแย่งจิตมา ก็ยื้อแย่งกันไป ยื้อแย่งกันมา จิตก็เป็นทุกข์ ไม่ผาสุก แต่ว่าเมื่อหัดน้อมมาสู่อารมณ์ของสมาธิบ่อยๆ มากๆ จิตก็จะพรากออกมาจากนิวรณ์ได้มากขึ้น และจะเริ่มได้สุขในสมาธิ คือจิตจะเริ่มได้ปีติคือความอิ่มใจ สุขคือความสบายกายสบายใจ ในการปฏิบัติสมาธิ
เมื่อเป็นดั่งนี้ ก็จะเริ่มติดสมาธิ แม้เป็นความติดในสมาธิก็ยังดี ดีกว่าติดในกิเลสหรือในอารมณ์ของกิเลส
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป