แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
จะแสดงพระพุทธคุณบทว่าภควาในความหมายว่าพระผู้มีการไป คือตัณหาความดิ้นรนทะยานอยากในภพทั้งหลาย อันคายเสียแล้ว คือละเสียแล้ว ความของพระพุทธคุณบทนี้ได้แสดงมาแล้วในความหมายนี้ครั้งหนึ่ง แต่ยังไม่หมดกระแสธรรมะอันเกี่ยวเนื่องอยู่ เพราะฉะนั้นจึงแสดงเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่งในวันนี้ พระพุทธเจ้าได้ทรงละภพชาติไม่เกิดในภพชาติใหม่ พระองค์ได้ทรงเป็นผู้หักกิเลสดับกิเลส หักใจดับใจได้ดังที่ได้แสดงมาแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่ทรงถือภพชาติใหม่ ทรงเป็นผู้สิ้นภพสิ้นชาติแล้ว ตั้งแต่เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้พระโพธิญาณ ทรงละอาสวะกิเลสได้ทั้งสิ้น มีอวิชชาเป็นต้น เพราะฉะนั้น จึงไม่มีภพชาติเหลืออยู่ ทรงอาศัยวิบากขันธ์ คือขันธ์อันได้แก่นามรูปอันเป็นที่ตั้งแห่งสมมติบัญญัติว่าอัตภาพอันนี้ ทรงบำเพ็ญพุทธกิจประกาศพระพุทธศาสนา จนกระทั่งดับขันธปรินิพพาน ก็คือทรงดับวิบากขันธ์อันนี้
ซึ่งวิบากขันธ์อันนี้ก็มีทั้งกายและใจ ซึ่งเรียกว่านามรูปโดยย่อ แต่เมื่อจำแนกออกก็เป็นกองรูปกองเวทนากองสัญญากองสังขารกองวิญญาณ และวิญญาณนี้เองซึ่งเมื่อยังมีอาสวะกิเลสก็ยังเป็นอุปาทานวิญญาณ วิญญาณเป็นที่ยึดถือ
วิญญาณธาตุ
และวิญญาณที่เป็นวิญญาณขันธ์ในขันธ์ ๕ นี้ ก็เป็นอาการของวิญญาณที่เป็นวิญญาณธาตุ คือธาตุรู้ ซึ่งมีอยู่ประกอบกับธาตุส่วนที่ไม่มีความรู้ดังที่ได้เคยแสดงบ้างแล้วว่า มีพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า (เริ่ม) บุรุษชายหญิงทั้งปวงนี้มีธาตุ ๖ คือปฐวีธาตุธาตุดิน อาโปธาตุธาตุน้ำ เตโชธาตุธาตุไฟ วาโยธาตุธาตุลม อากาสธาตุ ธาตุอากาศคือช่องว่าง กับวิญญาณธาตุคือธาตุรู้ รวมกันเข้าเป็นที่ตั้งแห่งสมมติบัญญัติว่าบุรุษชายหญิงนี้ ทั้งหมดธาตุ ๕ ข้างต้นคือ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ เป็นธาตุที่ไม่มีความรู้ในตัว แต่วิญญาณธาตุเป็นธาตุที่มีรู้อยู่ในตัว รวมกันเข้าจึงทำให้บุรุษชายหญิงทั้งปวงนี้ มีความรู้อะไรๆ ได้ ทางทวารทั้ง ๖ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย และ มนะ คือ ใจ ตลอดจนถึงมีความรู้ทางปัญญาที่ยิ่งๆ ขึ้นไป
แต่เพราะเหตุที่วิญญาณธาตุ คือ ธาตุรู้ นี้ยังเป็นรู้ผิดรู้หลง เพราะยังประกอบด้วยอวิชชาคือความไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัวความจริง เพราะฉะนั้น จึงได้เป็นวิญญาณ หรือเรียกว่าเป็นจิตที่เป็นที่ตั้งของภพชาติทั้งหลาย เข้าถึงภพชาติทั้งหลาย ซึ่งภพนั้นก็ตรัสแสดงไว้ว่ามี ๓ คือกามภพ ภพที่ยังข้องอยู่ในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย อันเรียกว่ากามาพจร ยังตกอยู่ในกาม หยั่งลงในกาม รูปภพ ภพที่ยังตกอยู่ในรูป ข้องอยู่ในรูป ที่ท่านแสดงว่าก็คือในรูปฌาน ฌานคือสมาธิอย่างสูงที่มีรูปเป็นอารมณ์อันนำให้เกิดเป็นรูปพรหม และอรูปภพ ภพที่ยังตกอยู่ยังข้องอยู่ในอรูป ที่ท่านแสดงว่ายังติดอยู่ในฌาน ที่เป็นสมาธิอย่างสูงที่มีอรูปเป็นอารมณ์ อันนำให้เกิดเป็นอรูปพรหม หรือว่าเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กามโลก รูปโลก อรูปโลก จิตหรือวิญญาณที่ยังเป็นความรู้ผิดรู้หลงเพราะอวิชชา สืบมาถึงโมหะมิจฉาทิฏฐิต่างๆ จึงยังท่องเที่ยวไปในภพทั้ง ๓ หรือโลกทั้ง ๓ ดังกล่าวนั้น
จุติจิต ปฏิสนธิจิต
และวิญญาณหรือจิตที่ท่องเที่ยวไปนั้น ก็เป็นไปตามกรรม เพราะฉะนั้น จึงได้มีพระพุทธภาษิตตรัสเอาไว้ว่า กรรมเป็นเหมือนนาสำหรับที่จะปลูกจะหว่านข้าว วิญญาณเป็นเหมือนพืช เช่นพืชของข้าวกล้า ตัณหาเป็นเหมือนอย่างยางเหนียวที่มีอยู่ในพืช เพราะฉะนั้น วิญญาณจึงเวียนว่ายตายเกิดเป็นปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณ คือจิตหรือวิญญาณที่ปฏิสนธิ และเป็นจุติจิต จุติวิญญาณ จิตหรือวิญญาณที่จุติคือเคลื่อน ปฏิสนธินั้นก็สืบต่อภพชาติใหม่นั้นๆ จุติก็คือเคลื่อนจากภพชาตินั้นๆ ไปสู่ภพชาติใหม่ ในบัดนี้มีการใช้ผิดกันเป็นอันมาก คือมักจะใช้ว่าตายแล้วไปจุติในสวรรค์ ใช้คำว่าจุติผิดที่ เพราะที่ถูกจะต้องใช้ว่าปฏิสนธิในสวรรค์ ไม่ใช่จุติในสวรรค์ แต่เมื่อตายจากภพชาตินั้นๆ เคลื่อนออกจากภพชาตินั้นๆ จึงใช้ว่าจุติ เช่นว่าจุติคือเคลื่อนจากสวรรค์ อันที่จริงคำว่าปฏิสนธิหรือจุตินี้เป็นคำที่ใช้คู่กัน และเป็นภาษาที่ใช้สำหรับจิตหรือวิญญาณ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบเหมือนว่าเป็นพืชดังที่กล่าวนั้น
เพราะว่าในสัตว์บุคคล หรือในบุรุษชายหญิงทุกๆ คนนี้มีส่วนหนึ่งที่เกิดตาย มีอีกส่วนหนึ่งที่ปฏิสนธิและจุติ ส่วนที่เกิดตายนั้นก็คือนามรูป หรือขันธ์ ๕ หรือกายอันนี้ ที่เกิดมาตั้งต้นแต่เป็นกัลละในครรภ์ของมารดา และก็เพิ่มพูนธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ เติบใหญ่ขึ้นคลอดออกมา และก็มีอาหารคือคำข้าว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ก็ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ นี้แหละบำรุงเลี้ยง ก็เติบใหญ่เรื่อยมา ซึ่งความเกิดดังกล่าวมานี้ก็คือธาตุ ๖ มารวมกันเข้านั้นเอง
ธาตุที่ไม่มีความรู้ และธาตุที่มีความรู้มารวมกันเข้า และเมื่อธาตุทั้ง ๒ นี้ยังรวมกันอยู่ ชีวิตนี้ก็ดำรงอยู่ จนถึงที่สุด คือถึงคราวที่เรียกว่ามรณะ ความตายมาถึง กายแตกทำลาย ก็คือความประชุมของธาตุ ๖ นี้แตกทำลาย ธาตุที่ไม่มีความรู้ คือธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศนั้น อันนี้แหละที่เป็นตัวที่เรียกว่าตาย ตกอยู่ในโลกนี้ ธาตุดินก็เป็นดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ ก็แยกกันไป อยู่ในโลกนี้ เพราะว่าเมื่อได้มา ก็ได้มาจากโลกนี้ มาสะสมกันเข้า และเมื่อคราวแตกก็กลับไปสู่โลกนี้ อันเรียกว่า โอกาสโลก โลกคือโอกาส ก็คือพื้นพิภพอันนี้ อันนี้แหละคือตาย
ธาตุรู้ไม่แตกสลาย
แต่ว่าส่วนที่เป็นวิญญาณธาตุคือธาตุรู้นั้น เมื่อกายนี้แตกสลาย ก็จุติคือเคลื่อนออกจากกายที่แตกสลายนี้ ในเมื่อวิญญาณธาตุคือธาตุรู้นี้ยังเป็นตัวพืชอยู่ ซึ่งยังมียางเหนียวคือตัณหาอยู่ในพืช เพราะฉะนั้นจึงจุติคือเคลื่อนออกจากกายที่แตกนี้ ไปถือปฏิสนธิในชาติภพใหม่ คือไปเกิดขึ้นในนาใหม่ต่อไป เหมือนอย่างพืชของข้าวที่งอกเป็นต้นข้าวเป็นเม็ดข้าวขึ้นในนา และเมื่อพืชคือเม็ดข้าวที่ยังเป็นพืช ยังมียางเหนียวอยู่นั้น ก็เป็นพืชที่จะไปหว่านเพาะปลูก ไปดำไปไถในนาอีกครั้งหนึ่งได้ ก็ไปเกิดใหม่ ไปเป็นข้าวขึ้นมาใหม่อีก ก็เป็นพืชเก่านั่นแหละ ไปสืบต่อเป็นๆ ต้นข้าวขึ้นมาใหม่อีก ก็สืบๆ ไปดั่งนี้ เพราะฉะนั้น ในส่วนที่เป็นธาตุรู้นี้จึงไม่ตาย ไม่แตกสลาย และเมื่อธาตุรู้นี้ยังมีอวิชชาซึ่งสืบมาถึงตัณหา เพราะเมื่อมีอวิชชาก็ต้องมีตัณหา เมื่อมีตัณหาก็มีอุปาทาน มีกรรม สืบต่อกันไป เพราะฉะนั้น จึงเท่ากับว่าทุกๆ คนนี้ เมื่อธาตุรู้ที่เป็นจิตหรือวิญญาณ อันยังเป็นความรู้ผิดรู้หลง ประกอบด้วยอวิชชาอยู่ ประกอบด้วยโมหะความหลงอยู่ ก็อันหมายถึงว่ายังประกอบด้วย ตัณหา อุปาทาน กรรม
เพราะฉะนั้น จึงมีกรรมที่เป็นเหมือนอย่างนาใหม่ หรือว่านาอันเก่านั่นแหละ สำหรับที่จะงอกขึ้นอีก แล้วก็มีวิญญาณที่เป็นตัวพืช เพราะยังมีตัณหาที่เป็นยางเหนียว ตรัสยกเอาตัณหาขึ้นว่า แต่ในที่อื่นก็ตรัสสืบถึงอวิชชา ซึ่งเป็นตัวต้นเดิม ดังที่ตรัสไว้ในปฏิจจสมุปบาท เมื่อรวมความเข้าแล้วก็คือว่า ซึ่งมีทั้งอวิชชาตัณหาอุปาทานกรรมอยู่ในตัววิญญาณที่เป็นตัวพืชนี้ เพราะฉะนั้น จึงต้องถูกไปหว่านในนาเกิดขึ้นมาอีก เป็นข้าวขึ้นมาอีก อันนี้ก็เป็นปฏิสนธิคือสืบต่อไป และเมื่อกายอันนี้แตกสลายก็จุติคือเคลื่อนออก แล้วก็ไปปฏิสนธิกันใหม่
ปฏิสนธิในโลก ๓
หากจะถามว่าไปปฏิสนธิกันใหม่ในที่ไหน ก็คือในภพ ๓ หรือในโลก ๓ ดังกล่าวแล้ว ตามกรรมที่ได้กระทำเอาไว้ ถ้าเป็นกรรมที่เป็นกามาพจร ยังท่องเที่ยวหยั่งลงไปในกาม นานั้นก็เป็นนากาม ถ้าหากว่ากรรมนั้นเป็นรูปฌาน นานั้นก็เป็นนาเป็นรูป นารูป ถ้าหากว่ากรรมนั้นเป็นอรูปฌาน นาสำหรับที่จะไปงอกใหม่ก็เป็นนาอรูป ก็เป็นไปอยู่ดั่งนี้ จนกว่าจะสิ้นอวิชชาตัณหาอุปาทานกรรม นั่นแหละ ก็เป็นอันว่าวิญญาณธาตุคือธาตุรู้ ก็หมดยางเหนียว คือหมดอวิชชาตัณหาอุปาทานกรรม เป็นอันว่าไปเพาะอีกก็ไม่ขึ้นแล้ว แปลว่าหมดชาติหมดภพ เพราะว่าเป็นพืชที่ไม่มียางเหนียว พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงไว้ดั่งนี้
ภวังคจิต ภวังควิญญาณ
และวิญญาณหรือจิตซึ่งยังมียางเหนียว ยังเป็นพืชที่จะต้องจุติ คือเคลื่อนออกจากภพชาตินี้ ไปปฏิสนธิสืบต่อในภพชาติใหม่กันอยู่ ก็คือในกามโลกบ้าง รูปโลกบ้าง อรูปโลกบ้าง เวียนว่ายตายเกิดกันไปอยู่ดั่งนี้นั้น ก็มีคำเรียกในอภิธรรม ว่าจิตหรือวิญญาณเช่นนี้ที่เป็นตัวพื้นเป็นภวังคะ ภวังคจิต ภวังควิญญาณ ที่ได้เคยแสดงแล้ว ก็คือยังเป็นองค์ประกอบของภพชาติ ดั่งที่กล่าวมาแล้ว ยังมียางเหนียวอยู่ก็ต้องเป็นภวังคะ เป็นองค์ประกอบของชาติของภพกันอยู่ร่ำไป
และจิตหรือวิญญาณที่เมื่อถือปฏิสนธิในภพชาติที่เป็นปัจจุบัน คือเป็นตัววิญญาณธาตุที่ประกอบอยู่กับธาตุ ๕ ข้างต้น เป็นบุรุษชายหญิงทั้งปวง ดังที่ทุกๆ คนได้เป็นอยู่นี้ ก็เป็นสิ่งที่เราเรียกว่าจิต หรือเรียกว่าวิญญาณนี้เอง ซึ่งยังออกไปรับอารมณ์คือเรื่องต่างๆ ยังท่องเที่ยวไปในอารมณ์คือเรื่องต่างๆ และก็มีความเข้าใจว่าเป็นตัวเรา ฉะนั้น เมื่อจิตได้อาศัยอายตนะมีตาเป็นต้น เห็นรูปก็เข้าใจว่าตัวเราเห็นรูป ได้ยินเสียงก็เข้าใจว่าตัวเราได้ยินเสียง ดังนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น ตัวเรานั้นก็คืออวิชชาตัณหาอุปาทานกรรมนี้เอง เพราะเป็นตัวความยึดถือ ความยึดถือในธาตุทั้งหลาย ในนามรูปหรือในขันธ์ ว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะฉะนั้น การที่รู้สึกว่าตัวเรา ตัวเราเห็น ตัวเราได้ยิน ตัวเรารัก ตัวเราชัง ในอะไรๆ เหล่านี้เป็นต้น ก็คือใจนี้เอง คือจิตวิญญาณที่ยังมี เป็นพืชที่มียางเหนียวอยู่ดังกล่าวแล้วนั้นเอง
เพราะฉะนั้น ใจหรือจิตดังที่กล่าวมานี้ จึงยังสัมปยุตคือประกอบด้วยกิเลส เป็นตัวกิเลส ฉะนั้น จึงได้กล่าวแล้วว่าหักกิเลสหรือว่าหักใจ ดับกิเลสหรือว่าดับใจ ก็เป็นอันเดียวกัน มีความหมายเป็นอย่างเดียวกัน ซึ่งวิธีปฏิบัติที่จะหักที่จะดับได้นั้น ก็ต้องอาศัยศีลสมาธิปัญญาดังที่ได้เคยแสดงมาแล้ว โดยต้องมีศีลเป็นภาคพื้น มีสมาธิที่จะได้เพ่งพินิจกำหนดลงไป ให้เห็นวิปัสสนาภูมิ คือเห็นตัวธาตุ ตัวขันธ์ ตัวนามรูป อันเป็นที่ตั้งของความยึดถือ เป็นที่ตั้งของอวิชชาตัณหาอุปาทานกรรม ดังที่ได้กล่าวมา จึงจะมองเห็นไตรลักษณ์ อนิจจะไม่เที่ยง ทุกขะเป็นทุกข์ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลง อนัตตามิใช่อัตตาตัวตน นั่นแหละจึงจะขัดเกลากิเลสออกไปได้ ดับกิเลสได้
และเมื่อดับกิเลสได้ ก็เป็นอันว่าดับใจได้ ก็คือดับวิญญาณ หรือจิตที่เป็นตัวพืช ที่มียางเหนียวนั้นเอง แต่ว่าตัวธาตุรู้ยังอยู่ เป็นธาตุรู้ที่ไม่หลง เป็นธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ และเมื่อธาตุรู้ไม่มียางเหนียว ไม่มีอวิชชา ไม่มีตัณหา ไม่มีอุปาทาน ไม่มีกรรม ก็เป็นธาตุรู้นั่นแหละ แต่เป็นธาตรู้ที่บริสุทธิ์ดั่งที่กล่าว เป็นธาตุรู้ที่ไม่จุติ ไม่เคลื่อน ไม่ปฏิสนธิคือสืบต่อ เพราะว่าไม่มียางเหนียวแล้ว เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็เท่ากับเหมือนอย่างเป็นพืชที่ไม่มียางเหนียว ไปเพาะปลูกอีกไม่ได้ ก็เหมือนอย่างธาตุรู้ของท่านที่สิ้นอาสวะแล้ว มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น
ดับกิเลสด้วยกำหนดดูเวทนา
เพราะฉะนั้น เมื่อยังมียางเหนียวอยู่ดั่งนี้ ในทางปฏิบัติอีกทางหนึ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเอาไว้ ก็คือให้มากำหนดดูตัวเวทนาคือความรู้เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ทั้งภายในทั้งภายนอก และเมื่อได้ดูเวทนาอย่างนี้ ก็เป็นอันว่าดับใจได้ ดังที่ปุคยะมานพ ( ปิงคิยมานพ ) เป็นคนที่ ๑๓ ในมานพ ๑๖ คน ได้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าข้อหนึ่งว่า มีสติระลึกอยู่อย่างไร กำหนดอยู่อย่างไร จึงจะดับวิญญาณคือดับใจได้ ก็หมายถึงว่าดับวิญญาณที่ยังที่มียางเหนียวคือตัณหา หรือคืออวิชชาตัณหาอุปาทานกรรม ดังที่กล่าวมาแล้ว จะมีสติระลึกอยู่อย่างไร จึงจะดับวิญญาณคือดับใจได้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสตอบว่ามีสติระลึกกำหนดให้รู้จักเวทนา
คือความรู้เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ทั้งภายในทั้งภายนอก เมื่อมีสติระลึกกำหนดอยู่อย่างนี้ จะดับวิญญาณคือดับใจดังกล่าวนั้นได้ ดั่งนี้ (เริ่ม) ในข้อนี้เมื่อพิจารณาดูแล้ว ก็ย่อมจะเห็นตามคลองธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสั่งสอนเอาไว้ ดั่งเช่นที่ตรัสแสดงเอาไว้ในปฏิจจสมุปบาท ว่าเพราะตัณหา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา คือความดิ้นรนทะยานอยากต่างๆ ดับเวทนาได้ก็ดับตัณหาได้ ในที่กล่าวมานี้เป็นการลัด ต้องการจะให้มาเชื่อมกับที่ตรัสไว้ว่า ตัณหาเป็นเหมือนยางเหนียวในพืช เพราะฉะนั้น การกำหนดที่เวทนา จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะได้ใช้ปฏิบัติได้ เพื่อที่จะสกัดกั้นความเกิดขึ้นของตัณหา
แนวปฏิบัติในสติปัฏฐาน
ในสติปัฏฐานพระพุทธเจ้าได้ตรัสให้ทำสติตามรู้ตามเห็นกายเป็นข้อที่ ๑ ข้อที่ ๒ ก็ตรัสสอนให้ตามรู้ตามเห็นเวทนา ในการที่ทำสมาธิกำหนดตั้งจิตให้รู้ให้เห็นวิปัสสนาภูมิ ประการแรกก็คือกาย ดังที่ได้กล่าวอธิบายมาแล้ว ก็คือให้เห็นธาตุ เห็นอายตนะ เห็นขันธ์ ที่เป็นส่วนหยาบก็คือรูปขันธ์ นั่นเป็นส่วนกาย และเมื่อกำหนดพิจารณาวิปัสสนาภูมิให้ละเอียดเข้า ก็ต้องมาถึงเวทนา คือความรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ทั้งภายในทั้งภายนอก
ทั้งภายในนั้น จะอธิบายว่า ที่เป็นส่วนกาย ที่เป็นภายนอกก็คือที่เป็นส่วนกาย ที่เป็นภายในก็คือที่เป็นส่วนใจ คือสุขทุกข์ทางกายเป็นภายนอก สุขทุกข์ทางใจเป็นภายใน ดั่งนี้ก็ได้ ให้กำหนดดูตัวเวทนา เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วก็จะมองเห็นไตรลักษณ์ในเวทนา อนิจจะไม่เที่ยงในเวทนา ทุกขะเป็นทุกข์ตั้งอยู่คงที่ไม่ได้ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปในเวทนา เป็นอนัตตาไม่ควรยึดถือว่าเป็นตัวเราของเราในเวทนา ไม่ใช่เป็นตัวเรา ไม่ใช่เป็นของเรา และเมื่อกำหนดดั่งนี้แล้ว ตัณหาก็จะไม่เกิดเพราะเวทนา เวทนาก็สักแต่ว่าเป็นเวทนา บังเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป บังเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มองเห็นเป็นความเกิดดับของเวทนาอยู่ เพราะฉะนั้น ก็เป็นอันว่าดับใจได้ คือดับใจที่ยังประกอบด้วยยางเหนียวคือตัณหา โดยตรงก็คือว่าดับยางเหนียวในใจได้
ความว่าดับทุกข์
ในข้อนี้ก็เช่นเดียวกับคำว่าทุกข์ กับดับทุกข์ ดับทุกข์นั้นไม่ใช่หมายความว่าไปฆ่าไปทำลายสิ่งที่เป็นตัวทุกข์ ดั่งเช่นที่ตรัสเอาไว้ว่า ขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ เป็นทุกข์ การดับทุกข์นั้นไม่ใช่หมายความว่า ไปฆ่าไปฟันไปทุบไปตีขันธ์ ๕ แต่หมายความว่าดับตัวตัณหาซึ่งเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ และเมื่อดับตัวตัณหาที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ คือดับทุกข์สมุทัยได้ ก็ได้ชื่อว่าทุกขนิโรธความดับทุกข์
เมื่อดับตัณหาที่เป็นตัวทุกขสมุทัยได้ดั่งนี้ ทุกข์คือขันธ์ ๕ ก็คงเป็นขันธ์ ๕ อยู่นั่นแหละ ไม่ได้เสียหายไปไหน ยังเป็นขันธ์ ๕ อยู่นั้นแหละ แต่ว่าไม่ใช่เป็นอุปาทานขันธ์ ขันธ์เป็นที่ยึดถือ เป็นขันธ์ที่เป็นวิบากขันธ์ ขันธ์ที่เป็นวิบาก ที่เป็นผลของกิเลสของกรรมเก่า เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเมื่อได้ทรงละทุกขสมุทัยคือตัณหาได้ ทรงได้ทุกขนิโรธคือความดับทุกข์ ขันธ์ ๕ ของพระองค์ก็ยังอยู่ ก็ทรงบำรุงเลี้ยงดู และก็ทรงใช้ขันธ์ ๕ นี้เอง ปฏิบัติในพุทธกิจต่างๆ ประกาศพระพุทธศาสนา นี่ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเอาใจไปทิ้งที่ไหน เอาใจไปทิ้งไปขว้างที่ไหน ก็หมายความว่าดับยางเหนียวในใจ ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ที่ยกมาข้างต้นนั้น ว่าตัณหาเป็นเหมือนยางเหนียว วิญญาณเป็นพืช ก็คือดับตัวยางเหนียวซึ่งเป็นตัวพืชที่จะให้ไปเกิดอีก นั้นเอง ใจก็ยังอยู่ไม่ใช่ไปข้างไหน เพราะว่าดับยางเหนียวในใจได้ คือดับกิเลสได้ ดั่งนี้เรียกว่าดับใจ เพราะฉะนั้น การปฏิบัติด้วยวิธีที่เพ่งพินิจกำหนดเวทนา อันเป็นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็เป็นทางปฏิบัติอีกข้อหนึ่ง ซึ่งสืบเนื่องมาจากกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน อันเป็นทางปฏิบัติที่จะคายการไปในภพทั้งหลายได้ พระพุทธเจ้าก็ได้ทรงปฏิบัติมาในสติปัฏฐานทั้ง ๔ รวมเข้าก็คือในโพธิปักขิยธรรมทั้งหมด จึงได้ทรงมีการไปคือตัณหาในภพทั้งหลายอันคายเสียแล้วได้
แต่เมื่อยังคายไม่ได้ วิญญาณหรือจิตที่เป็นตัว ภวังคะ องค์ประกอบนี้แหละ ก็ท่องเที่ยวไปในอารมณ์ทั้งหลาย เหมือนอย่างตัวผึ้งที่ท่องเที่ยวไปในดอกไม้ทั้งหลาย เคล้าเกสรดอกไม้ทั้งหลาย นำเอารสของน้ำหวานมาทำรังผึ้ง จิตก็เหมือนกัน ออกไปรับอารมณ์ทั้งหลาย ก็นำเอาสุขทุกข์หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ที่เป็นเวทนานี่แหละ กลับเข้ามาเพิ่มภพเพิ่มชาติ คือเพิ่มตัวภวังคะนี่ให้โตขึ้น และให้ดำรงอยู่ เพื่อที่จะสืบภพชาติกันสืบต่อไป เป็นจุติปฏิสนธิกันต่อไป แต่เมื่อมาปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน กำหนดในกาย ในเวทนา ดับใจได้ คือว่าดับยางเหนียวอันได้แก่ตัณหา หรือว่า อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ในใจได้แล้ว ก็เป็นอันว่าดับภพดับชาติได้
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป