แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
จะแสดงพระพุทธคุณบทว่าภควานำ ในความหมายว่าผู้ประกอบด้วย ภคะธรรม ทั้งหลาย อันคำว่า ภคะ นี้ก็คือจากคำว่า ภควา นั้นเอง จะแปลว่าผู้มีภคะก็ได้ และคำว่าภคะนี้ เฉพาะในความหมายนี้ ก็หมายถึงสิ่งที่ดีสิ่งที่ประเสริฐทั้งหลาย ความดีความประเสริฐทั้งหลาย ซึ่งพระอาจารย์ได้ยกขึ้นแสดงว่าสิ่งที่ชื่อว่าภคะในโลกก็มี ๖ อย่าง คือ อิสริยะ ความเป็นใหญ่ ความเป็นใหญ่เหนือกิเลสและกองทุกข์ทั้งหลาย ธรรมะ ก็คือโลกุตรธรรม ได้แก่มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ยศก็คือความที่ได้รับยกย่องสรรเสริญ สิริก็คือความสง่างามแห่งพระวรกาย พร้อมทั้งพระหทัย กามะคือความสำเร็จตามที่ประสงค์ ภยตะ คือความเพียรเป็นสัมมาวายามะความเพียรชอบ ก่อนจะตรัสรู้ก็ได้ทรงมีความเพียรชอบเป็นอย่างยิ่งจนถึงได้ตรัสรู้ และเมื่อตรัสรู้แล้ว (เริ่ม)...ก็ทรงมีความเพียรชอบ ในการทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่โลก เหล่านี้คือภคะธรรมในโลก แต่ในที่นี้จะได้แสดงอธิบายภคะธรรม โดยปริยายที่ต่อเนื่องกับความหมายว่า หักกิเลสดับกิเลส หักใจดับใจ ดังที่ได้แสดงแล้ว ในการหักหรือดับกิเลส หักหรือดับใจนั้นก็จะต้องประกอบด้วยภคะธรรม คือธรรมะอันเป็นเครื่องหักเป็นเครื่องดับ อันเป็นธรรมะที่ทำให้สามารถหักหรือดับได้ อันนับว่าเป็นภคะธรรมส่วนเหตุ และเมื่อหักหรือดับได้แล้วก็ได้ประสบผลเป็นภคะธรรมส่วนผล ฉะนั้น จึงควรทำความเข้าใจโดยปริยายวิธีปฏิบัติเป็นเครื่องหักหรือเป็นเครื่องดับ อันนับว่าเป็นภคะธรรมสืบต่อไป
ได้แสดงอธิบายแล้วว่าในการหักหรือดับนั้น จะต้องอาศัยสติต้องอาศัยปัญญา และสตินั้นก็รวมสัมปชัญญะเข้ามาด้วย และในการเจาะแทงนั้น ก็คือจะต้องใช้สติใช้ปัญญาเจาะแทง โมหะที่ปกปิดปัจจุบันธรรมมิให้ปรากฏ อันโมหะนี้จะกล่าวว่าเป็นตัวมายาของจิตใจก็ได้ มายานั้นก็คือเจ้าเล่ห์ ซึ่งเป็นเครื่องปกปิดสัจจะที่เป็นตัวความจริง เมื่อจิตใจนี้ยังประกอบด้วยมายาซึ่งเป็นเครื่องปกปิดสัจจะที่เป็นความจริง สัจจะก็ไม่ปรากฏ จึงจะต้องเจาะตัวมายาของจิตใจนี้ลงไป อันได้แก่โมหะนั้นเอง
แต่ว่าในการเจาะนั้น จะใช้วิธีเหมือนอย่างเจาะวัตถุไม่ได้ หรือในการหักกิเลสดับกิเลส หักใจดับใจนั้น จะใช้วิธีเหมือนอย่างหักหรือดับวัตถุ เช่นไม้หรือไฟของโลกนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่คิดว่าจะหักกิเลส หรือคิดว่าจะหักใจ เพียงแต่คิดอย่างนี้ ก็ไม่สามารถที่จะหักใจหรือหักกิเลสได้ ทั้งที่ต้องประสบความทุกข์กระสับกระส่าย เดือดร้อน ไม่ผาสุก เพราะกิเลสมีตัณหาอุปาทานเป็นต้นดังกล่าวแล้ว แต่ก็ไม่สามารถที่จะดับความทุกข์ได้ หักกิเลสไม่ได้ หักใจไม่ได้ เมื่อเป็นดั่งนี้ก็เรียกว่าต้องแพ้กิเลส แพ้จิตใจของตนเอง ต้องทนทุกข์ทรมาน ต้องเดือดร้อน และก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ก็กล่าวได้ว่าที่เป็นดั่งนี้ เพราะขาดสัมมาวายามะคือความเพียรชอบ เมื่อขาดความเพียรชอบ ก็ประสบผลตามที่ปรารถนา คือต้องการความดับทุกข์ไม่ได้ จึงขาด กามะ คือความสำเร็จความที่ปรารถนา
และเมื่อต้องประสบความทุกข์ สิริคือความสง่างามของร่างกายของจิตใจ ก็หายไปก็เสื่อมไป ยศคือความที่ภาคภูมใจอันเป็นยศภายใน ก็ลดลงไปเสื่อมลงไป ธรรมะที่เป็นกุศลธรรมทั้งหลายแม้ในขั้นสามัญ ไม่ต้องถึงโลกุตระธรรม ในขั้นสติ ขั้นสมาธิ ขั้นปัญญา ก็เสื่อมไป อิสริยะคือความเป็นใหญ่ ความเป็นใหญ่ในจิตใจของตนเอง ที่เป็นความเป็นใหญ่เหนือกิเลสและความทุกข์ ก็ลดลงไป กลายต้องอยู่ใต้อำนาจของกิเลส ใต้อำนาจของความทุกข์ เพราะฉะนั้น จึงเป็นอันว่าต้องขาดภคะธรรมทั้ง ๖ ข้อดังที่กล่าวมาข้างต้นด้วย
สัมมาวายามะในการทำสมาธิ
เพราะฉะนั้น จึงต้องมีสัมมาวายามะคือความเพียรชอบ ต้องมีความเพียรพยายาม จับตั้งแต่ปฏิบัติกายวาจาและจิตใจ ให้อยู่ในศีล ให้เป็นศีลขึ้นมา เป็นความปรกติกาย ปรกติวาจา ปรกติใจ ไม่ให้กิเลสและอารมณ์ดึงไปให้ก่อเจตนาคือความจงใจ ในอันที่จะประพฤติกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม เป็นการก่อภัยก่อเวรทั้งหลาย และเมื่อทำให้กายวาจาใจเป็นศีลขึ้นดั่งนี้ ด้วยสัมมาวายามะคือความเพียรชอบ ก็ย่อมจะเป็นพื้นของกุศลธรรมทั้งหลายที่ยิ่งขึ้น คือสมาธิ
ต้องพยายามให้มีสัมมาวายามะความเพียรชอบในการทำสมาธิ แม้ว่าจิตใจจะเหนื่อยหน่ายอ่อนแอย่อท้อ ก็ต้องพยุงจิตใจ พยายามที่ทำสมาธิ คือให้ใจรวมเข้ามา จะด้วยการฟังธรรมะ ไม่อยากฟังก็ต้องพยายามฟัง ด้วยการอ่านธรรมะ ไม่อยากอ่านก็พยายามอ่าน หรือด้วยการสวดมนต์ ให้จิตใจนี้สวดมนต์ด้วย พร้อมกับวาจา หรือว่าไม่เปล่งวาจาก็นึกไปในใจ ข้อสำคัญต้องให้ใจสวด ให้ตั้งอยู่ที่บทที่สวด แม้จะรู้ความบ้างไม่รู้ความบ้างก็ไม่เป็นไร ต้องการให้จิตใจรวม หรือว่าทำสมาธิในกรรมฐานข้อใดข้อหนึ่ง จะเป็นอานาปานสติ กายคตาสติ ธาตุกรรมฐาน หรือตั้งสติกำหนดกายเวทนาจิตธรรม หรือจะเพ่งกสิณ ข้อใดข้อหนึ่งก็ได้ เพื่อให้ใจรวมเข้ามาเป็นสมาธิ และเมื่อใจมีสมาธิก็หมายความว่าใจไม่ฟุ้งออกไปถึงอารมณ์อดีตหรืออนาคต รู้อยู่ในปัจจุบัน เป็นปัจจุบันธรรม ก็แปลว่าเป็นการที่เจาะแทงมายาหรือโมหะ หรือว่าอารมณ์ที่ปิดบังปัจจุบันธรรม ให้เห็นปัจจุบันธรรมขึ้นได้
ปัจจุบันธรรม
อันนี้แหละสำคัญมาก ผู้ปฏิบัติต้องปฏิบัติให้พบปัจจุบันธรรมดั่งที่กล่าวมาแล้ว ถ้าหากว่าไม่พบปัจจุบันธรรม สมาธิก็ไม่ได้ เพราะว่าอารมณ์อดีตบ้างอนาคตบ้าง มากำบังปัจจุบันธรรมอยู่ โดยที่จิตนี้ก็เหมือนอย่างล่องลอยออกไปในเรื่องที่ผูกพันใจ อันเป็นเรื่องอดีตบ้าง อันเป็นเรื่องอนาคตบ้าง ซึ่งโดยที่แท้แล้วจิตใจนี้ไม่ได้ล่องลอยไปข้างไหน จิตใจนี้ก็อยู่ที่จิตใจนี้นี่แหละ แต่ว่าดึงเอาอดีต ดึงเอาอนาคต มาเป็นปัจจุบัน และอันนี้เองที่เป็นเครื่องปกปิดปัจจุบันธรรม ก็คือเรื่องอดีตเรื่องอนาคต ทำไม่ให้ไม่เห็นปัจจุบันธรรม และเมื่อไม่เห็นปัจจุบันธรรม ใจก็เป็นสมาธิไม่ได้
ฉะนั้น ใจที่เป็นสมาธิได้ จิตจะต้องเลิกดึงเอาเรื่องอดีตเรื่องอนาคตเข้ามาปิด ให้จิตนี้โปร่ง อันนี้แหละคือการเจาะแทง เจาะอดีตเจาะอนาคตลงไป จึงจะเห็นปัจจุบันธรรม ลมหายใจเข้าออกที่เข้าออกอยู่บัดนี้ ก็เป็นปัจจุบันธรรม เป็นปัจจุบันธรรมขั้นสมาธิ และในขั้นสมาธินี้ก็ต้องได้ปัจจุบันธรรมดั่งนี้ จิตจึงจะเป็นสมาธิ ถ้าไม่ได้ปัจจุบันธรรมดั่งนี้จิตก็ไม่เป็นสมาธิ
ไตรลักษณ์
และเมื่อไม่เป็นสมาธิแล้วจะเกิดปัญญาไม่ได้ เพราะว่าเมื่อปัจจุบันธรรมไม่ปรากฏ ลักษณะของปัจจุบันธรรมที่เป็นไตรลักษณ์ก็ไม่ปรากฏ จึงไม่อาจจะเห็นไตรลักษณ์ หรือว่าเห็นเกิดดับ ซึ่งเป็นที่ตั้งของปัญญาได้ จะปฏิบัติอย่างไรก็เห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้น จึงต้องได้สมาธิก่อน คือได้ปัจจุบันธรรมที่เป็นขั้นสมาธิ ยกตัวอย่างเช่นลมหายใจเข้าออกดังกล่าวมาแล้ว
ข้อนี้เป็นข้อพื้นๆ ธรรมดา เมื่อฟังให้ดีก็จะเข้าใจ เมื่อมีสัมมาวายามะอยู่แล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องเจาะแทงได้ ทำสมาธิให้บังเกิดขึ้นได้ และเมื่อทำสมาธิให้บังเกิดขึ้นได้ ก็จะทำปัญญาให้บังเกิดขึ้นได้ ทำวิมุติให้บังเกิดขึ้นได้ ตามภูมิตามชั้นของการปฏิบัติ และจะต้องกล่าวถึงเรื่องการดับใจหักใจ ที่ได้แสดงมาแล้ว ก็ประกอบเข้าด้วยในตอนนี้ พระพุทธเจ้าเองก็ได้ตรัสแสดงเรื่องหักใจดับใจไว้ ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสตอบปัญหาอชิตะมาณพ ในคำถามนั้น อชิตะมาณพก็ได้กราบทูลถามว่าสติปัญญา และนามรูปดับไปในที่ไหน พระองค์ก็ตรัสตอบว่านามรูปย่อมดับไปไม่เหลือ เพราะความดับแห่งวิญญาณ คำว่าวิญญาณในที่นี้ พูดง่ายๆ ในภาษาไทยก็คือใจนั้นเอง เพราะความดับใจหรือหักใจ แต่พระพุทธภาษิตใช้ว่าดับวิญญาณ คือพูดง่ายๆ ก็คือว่าดับใจ เพราะดับใจได้นามรูปก็ดับไม่เหลือ สติปัญญาก็ดับไปเช่นเดียวกัน
ในข้อนี้ก็น่าสงสัยว่าทำไมสติปัญญาจะต้องดับด้วย ก็จะต้องยกเอาข้อที่พระอานนท์ท่านได้แสดงเอาไว้เมื่อถอดใจความ ก็ถอดใจความได้ว่า เหมือนอย่างว่าผู้ที่มาสู่ที่นี้ เมื่อมาก็ต้องใช้ฉันทะความพอใจ วิริยะความเพียร จิตตะความตั้งใจ วิมังสาความใคร่ครวญพิจารณามา ครั้นมาถึงที่นี้แล้วฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ก็ดับ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ที่ใช้ในการมา เมื่อการมาได้มาถึงตามมุ่งหมายแล้ว ฉันทะวิริยะจิตตะวิมังสาก็เป็นอันว่าดับ คราวนี้เมื่อจะกลับ ในการกลับก็ต้องใช้ฉันทะวิริยะจิตตะวิมังสา เมื่อกลับไปถึงที่มุ่งหมายแล้ว ฉันทะวิริยะจิตตะวิมังสาที่ใช้ในการกลับก็ดับไป ท่านแสดงดั่งนี้
เพราะฉะนั้น แม้ธรรมปฏิบัติเช่นสติปัญญา ที่ปฏิบัติเพื่อที่จะดับใจหรือหักใจ ก็ต้องใช้สติปัญญา เมื่อหักใจดับใจได้ สติปัญญาที่ใช้เพื่อที่จะหักเพื่อจะดับ ก็เป็นอันว่าหมดหน้าที่ ก็ดับไป และนามรูปซึ่งต้องใช้ในการปฏิบัติเพื่อดับใจ เมื่อดับใจได้ นามรูปที่ใช้เพื่อดับใจนั้นก็ดับไป สติปัญญาที่ใช้เพื่อจะดับ สติปัญญาเองก็ดับไป เป็นสัจจะคือความจริงอยู่ดั่งนี้ เพราะดับใจไม่ได้ในเรื่องนั้น นามรูปก็ย่อมเกิดในเรื่องนั้น แต่เมื่อดับใจในเรื่องนั้นได้ นามรูปในเรื่องนั้นก็ดับได้
นามรูปเกิดจากใจ
เพราะฉะนั้น จึงต้องเข้าใจคำว่านามรูปนี้ อันมีความหมายถึงนามรูปที่เกิดขึ้นในใจ หรือจากใจ ถ้าพูดดั่งนี้เป็นการพูดภาษาธรรมะ จะทำให้เข้าใจยาก แต่ว่าถ้าพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวเราเกิดขึ้นจากใจ ดังเช่นว่าใจคิดไปถึงรูปที่เห็นเมื่อเช้านี้ เสียงที่ได้ยินเมื่อเช้านี้ ก็คือตัวเรานี้เองเห็น ตัวเรานี้เองได้ยิน เมื่อใจหน่วงไปถึงสิ่งที่เห็นเมื่อเช้า ได้ยินเมื่อเช้า ก็คือตัวเราเห็นตัวเราได้ยิน ตัวเราจะไปกับจิตอยู่เสมอ จิตไปที่ไหนตัวเราก็ไปที่นั่น แต่ว่าตัวเราจริงๆ ที่เป็นส่วนหยาบนั้นไม่ได้ไปไหน เหมือนอย่างในบัดนี้ ตัวเราที่เป็นส่วนหยาบ คือที่เป็นนามรูปส่วนหยาบนี้นั่งอยู่ที่นี่ ไม่ได้ไปไหน แต่ว่าใจไป ใจไปที่นั่น ใจไปที่นี่ และเมื่อใจไป ตัวเราก็ไปด้วย ก็ไปเห็นรูปที่เห็นเมื่อเช้า ไปได้ยินเสียงที่ได้ยินเมื่อเช้า ตัวเราก็ไปเห็นไปได้ยิน เป็นตัวเราที่เป็นตัวในที่ไปกับจิต และเมื่อตัวเรานี้ไปกับจิตแล้ว ตัวเราที่เป็นร่างกายส่วนหยาบหรือเป็นรูปเป็นนามส่วนหยาบที่นั่งอยู่ที่นี่ก็กลายเป็นหูหนวก
(เริ่ม) เช่นว่าในขณะที่กำลังพูดอยู่นี้ ท่านผู้ฟังใจไม่ได้ฟัง แต่ว่าใจนึกล่องลอยไปถึงรูปที่เห็นเมื่อเช้า เสียงได้ยินเมื่อเช้า ตัวเราก็ออกไปกับจิต ก็ไปเห็นรูปได้ยินเสียงเมื่อเช้า ตาหูเดี๋ยวนี้ที่อยู่กับกายหยาบนี้ก็เลยดับ ไม่ได้ยินเสียงที่กำลังอธิบายธรรมะอยู่นี้ เพราะว่าตาหูไปกับตัวเราที่ไปกับจิตนั้น ซึ่งเป็นตาหูใน ตาหูในนี่สำคัญมาก เมื่อตัวเราออกไปกับจิต ตาหูนอกนี่ก็ใช้ไม่ได้ เหมือนอย่างตาบอดหูหนวก
กายเนื้อ กายทิพย์
อันนี้แหละให้ทุกคนกำหนดดูจะรู้สึกว่า ทุกคนมีตัวเราอยู่สองชั้น ตัวเราที่เป็นตัวหยาบที่กำลังนั่งกันอยู่นี้ กับตัวเราที่ไปกับจิตอยู่ทุกแห่ง ตัวเราที่ไปกับจิตอยู่ทุกแห่งนี้ เมื่อไปไหนก็เอาตาเอาหูไปด้วย ตาหูที่อยู่กับตัวเราที่เป็นของหยาบนี้ ก็กลายเป็นตาบอดหูหนวก เพราะฉะนั้น ตัวเรานี้ที่เป็นส่วนละเอียดนี้ ที่เที่ยวไปกับจิตอยู่เสมอนี้ ย่อมเป็นตัวเราที่เป็นชั้นใน เพราะฉะนั้น ทุกคนนี้จึงถอดตัวเราตัวเราที่เป็นตัวในนี้ไปกับจิตได้อยู่ตลอดเวลา และเมื่อตัวเราที่เป็นตัวในออกไป ตัวเราที่เป็นส่วนหยาบก็กลายเป็นเหมือนอย่าง ไม่มีความรู้อยู่ในตัว เหมือนอย่างเป็นศพ แม้ว่าจะไม่ตาย
อันนี้แหละคือเป็นข้อที่แสดงว่ามีตัวเราหยาบ ตัวเราละเอียด หรือตัวเราที่เป็นกายเนื้อ ตัวเราที่เป็นกายทิพย์ ทุกคนมีอยู่แล้ว และมีอยู่ในปัจจุบันนี้เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ในการที่จะปฏิบัติให้ได้ศีลให้ได้สมาธิได้ปัญญากันจริงๆ นั้น จะต้องควบคุมตัวเราที่เป็นตัวในนี้ให้อยู่ ไม่ให้ไปไหน จึงจะได้ศีลได้สมาธิได้ปัญญา
ต่อจากนี้ก็ขอให้ทำความสงบสืบต่อไป