แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
จะแสดงพระพุทธคุณบทว่าพุทโธนำในความหมายว่าผู้เบิกบานแล้ว ความหมายนี้พระอาจารย์ไทยเราเองเป็นผู้แสดงขึ้น คู่กับความหมายว่าผู้ตื่นแล้ว กล่าวรวมกันว่าผู้ตื่นผู้เบิกบานแล้ว ในความหมายว่าผู้ตื่นได้แสดงอธิบายแล้ว จึงจะมาอธิบายในความหมายว่าผู้เบิกบาน คำนี้เป็นคำเหมาะอย่างยิ่ง และก็มีความหมายที่ไปได้ ที่ถูกต้องกับความหมายว่าผู้รู้แล้ว หรือผู้ตรัสรู้แล้ว เช่นเดียวกับคำว่าผู้ตื่นก็หมายถึงตื่นด้วยความรู้นั้นเอง และคำว่าผู้เบิกบานก็มีความหมายเช่นเดียวกัน ว่าเบิกบานด้วยความรู้ และยังมีความหมายถึงความบริสุทธิ์ คือเบิกบานด้วยความบริสุทธิ์อีกด้วย ฉะนั้น จึงควรทำความเข้าใจในคำนี้ให้ถูกต้องให้ดี จะเป็นประโยชน์มาก
ในเบื้องต้นก็จะต้องขอกล่าวว่าคำว่าผู้เบิกบานนี้ เป็นคำนำมาใช้จากความบานของดอกไม้โดยเฉพาะก็คือความบานของดอกบัว อันเป็นดอกไม้ที่พระพุทธเจ้าเองก็ได้ทรงนำมาเปรียบเทียบ กับกำลังแห่งความรู้ของบุคคล ดังที่ได้เคยแสดงแล้วว่าบุคคลทั้งหลายในโลกนี้ บางคนหรือบางหมู่เป็นผู้รู้เร็ว เพียงแต่ทรงยกหัวข้อขึ้นแสดงก็อาจรู้ได้ เหมือนอย่างดอกบัวที่โผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ ต้องแสงอาทิตย์ก็จะบานขึ้นทันที ดั่งนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นดอกบัวที่บานขึ้นด้วยต้องแสงอาทิตย์นั้น เป็นคำเทียบกับบุคคลผู้ฟังธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ได้ปัญญาคือความรู้ในธรรมที่ทรงแสดงนั้น ดังที่มีแสดงว่าได้ธรรมจักษุคือดวงตาเห็นธรรม จึงมีความหมายถึงปัญญาที่รู้ธรรม เทียบกับดอกบัวต้องแสงอาทิตย์ก็บานขึ้น (เริ่ม) จิตที่ได้รับแสงธรรม ได้ปัญญาในธรรมก็คือจิตที่เบิกบานขึ้นด้วยปัญญา
ความหมายของจิตปภัสสร
และจิตนี้ก็ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ว่าเป็นธรรมชาติปภัสสรที่แปลว่าผุดผ่อง แต่เศร้าหมองไปด้วยเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามา อันเรียกว่าอุปกิเลส คือเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามา แต่ว่าจิตนี้เมื่อได้ปฏิบัติทำจิตตภาวนา คืออบรมจิต ตามคำสั่งสอนของพระองค์ ก็วิมุติหลุดพ้นจากเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามานี้ได้ เมื่อเป็นดั่งนี้จิตจึงกลับเป็นธรรมชาติที่ปภัสสรคือผุดผ่อง ปรากฏตามธรรมชาติของจิต จิตที่ผุดผ่องนี้เอง เมื่อขอยืมเอาคำของดอกบัวมาใช้ คือบาน ก็คือจิตที่บาน และเพื่อให้ได้คำที่สละสลวย จึงได้ใช้คำว่าเบิกบาน ก็คือจิตที่เบิกบานนั้นเอง เพราะฉะนั้น จิตที่ปภัสสรคือผุดผ่อง ก็คือจิตที่เบิกบาน หรือจิตที่เบิกบาน ก็คือจิตที่ปภัสสรคือผุดผ่อง
เพราะฉะนั้นทุกคนจึงควรทำความเข้าใจว่า พระจิตของพระพุทธเจ้านั้น วิมุติหลุดพ้น จากกิเลสเครื่องเศร้าหมองที่จรเข้ามาทั้งหมด ตลอดจนถึงกิเลสอย่างละเอียดที่เป็นอาสวะอนุสัยนอนจมหมักหมมอยู่ในจิตทรงได้วิมุติคือความหลุดพ้นจากกิเลสเหล่านี้ทั้งสิ้น ไม่มีกิเลสเหลืออยู่แม้แต่น้อย เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงเป็นเหมือนดอกบัวที่เบิกบานเต็มที่แล้ว ด้วยต้องแสงอาทิตย์คือแสงธรรม คือพระปัญญาที่ตรัสรู้พระธรรมนั้นเอง เพราะฉะนั้น จิตของพระองค์จึงเป็นจิตที่ผุดผ่องเต็มที่ เบิกบานเต็มที่ เป็นจิตที่บริสุทธิ์ผ่องแผ้วด้วยประการทั้งปวง ไม่มีเครื่องเศร้าหมองเหลืออยู่แม้แต่น้อย เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงเป็นผู้ที่เบิกบานแล้ว
หากจะมีปัญหาถามว่ารู้อย่างไรว่าพระองค์มีจิตเช่นนั้น ในข้อนี้ก็สาธกได้ด้วยคำกราบบังคมทูลพระพุทธเจ้าของท่านพระสารีบุตร ที่ได้กราบทูลแสดงความเลื่อมใสของท่านในพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบแล้ว ทรงประกอบด้วยพระสัมโพธิ คือพระปัญญาที่ตรัสรู้เองโดยชอบในธรรมทั้งปวง พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามท่านพระสารีบุตรว่า ท่านพระสารีบุตรได้มีความรู้ ในศีลในสมาธิในปัญญา ในวิมุติของพระองค์หรือ จึงได้กล่าวเช่นนั้น
ทางปฏิบัติเข้าถึงธรรมะย่อมมีทางเดียว
ท่านพระสารีบุตรได้กราบทูลว่าท่านไม่อาจที่จะมีความรู้เข้าถึง ด้วยพระปัญญาที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าได้ ท่านไม่อาจจะมีความรู้ได้ ว่าได้ทรงมีศีลมีสมาธิมีปัญญามีวิมุติ เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่ว่าโดยที่ท่านได้สดับฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสสอนเอาไว้ โดยปริยายคือทางต่างๆ ท่านได้ปฏิบัติตามที่ทรงสั่งสอน ได้เข้าถึงธรรมะที่ทรงสั่งสอน ในประการที่จะพึงเข้าถึงได้ตามวิสัยของพระสาวก แม้เป็นพระอรหันต์ก็ตาม แต่ว่าท่านได้มีความรู้ผุดขึ้นว่า ทางปฏิบัติอันจะนำให้ได้ความตรัสรู้ หรือได้ปัญญารู้ถึงธรรมะได้นั้น ย่อมมีทางเดียว
เหมือนอย่างว่ามีนครหนึ่งซึ่งมีปราการคือกำแพงล้อมอยู่โดยรอบ และมีประตูที่จะเข้าออกเพียงประตูเดียว และมีนายทวารบาญคือผู้รักษาประตู รักษาอยู่อย่างเข้มแข็ง ปราการคือกำแพงที่ล้อมรอบนั้น ก็เป็นปราการที่มั่นคง ไม่มีช่องที่จะมีบุคคลหรือสัตว์อื่นเล็ดลอดเข้าไปสู่ภายในนครนั้นได้ นอกจากจะเข้าทางประตูแห่งนคร ซึ่งมีประตูเดียวนั้นเท่านั้น นี้ฉันใด ความเข้าถึงความตรัสรู้ หรือความรู้ในธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เป็นธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาได้นั้น ก็เข้าได้ทางมรรค คือมรรคาที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วเท่านั้น พระพุทธเจ้าเองก็ได้ทรงเข้าสู่นครนี้โดยประตูนี้ แม้พระสาวกทั้งหลายก็เข้าสู่นครนี้โดยประตูนี้เท่านั้น นครดังกล่าวนี้ก็คือสัมโพธิ คือความตรัสรู้เองโดยชอบ หรือมรรคผลนิพพาน ที่พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์สาวกทั้งหลายได้ปฏิบัติ และได้เข้าถึง
เพราะฉะนั้น ท่านจึงได้กราบทูลพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงเข้าถึงความตรัสรู้เองโดยชอบแล้ว ซึ่งไม่มีสมณะพราหมณ์อื่นใดได้สัมโพธิ คือความตรัสรู้เองโดยชอบเหมือนดังพระพุทธเจ้า และธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ชี้ทางแห่งความเข้าถึงมรรคผลนิพพาน หรือเข้าถึงสัมโพธิคือความรู้เองโดยชอบนั้น ก็คือทางศีลทางสมาธิทางปัญญาทางวิมุติ หรือทางโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการนั้นเอง
พระพุทธเจ้าจึงเป็นผู้ที่ทรงสมบูรณ์แล้วในคุณธรรมเหล่านี้อย่างเต็มที่เพราะฉะนั้น จึงทรงเป็นผู้เบิกบานแล้ว หรือกล่าวใช้ถ้อยคำขยายอีกว่า เป็นผู้เบิกบานแล้วในคุณธรรมทั้งหลายเต็มที่ ได้ทรงมีศีลมีสมาธิมีปัญญามีวิมุติอย่างสมบูรณ์ในพระองค์ หรือเมื่อแสดงโดยปริยายอื่นก็ทรงมีโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ บริบูรณ์อยู่แล้วในพระองค์ ทรงเบิกบานแล้วในคุณธรรมทั้งหลายเหล่านี้ เต็มที่ด้วยคุณธรรมทั้งหลายเหล่านี้เต็มที่แล้ว ดั่งนี้
ความหมายของพระพุทโธ
เพราะฉะนั้นคำนี้จึงเป็นคำที่มีความหมาย ได้ทั้งในทางพระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และตลอดถึงในพระกรุณาคุณด้วย เพราะพระองค์ก็มีพระกรุณาเต็มเปี่ยมอยู่ในพระองค์ ทรงเบิกบานแล้ว ด้วยพระปัญญา ด้วยพระวิสุทธิ และด้วยพระกรุณา อย่างเต็มที่ อย่างสมบูรณ์ ฉะนั้น พระพุทธคุณบทนี้จึงมีความหมายที่ลึกซึ้ง และเข้าถึงสัจจะคือความจริง เป็นคำที่คนไทยเราฟังง่าย เข้าใจถึงได้ง่าย และเมื่อมีความเข้าใจในคำนี้ดีแล้ว เมื่อได้ฟังคำว่าพุทโธ และระลึกถึงความหมายว่าผู้เบิกบานแล้ว ผู้เบิกบานแล้วด้วยคุณธรรมทั้งหลาย หรือในคุณธรรมทั้งหลายเต็มที่ บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยประการทั้งปวง จะทำให้จิตใจบังเกิดความเอิบอิ่มปีติในพระคุณได้โดยง่าย
จิตนี้ของทุกๆ คนย่อมเป็นธรรมชาติที่ปภัสสรคือผุดผ่องหรือว่าเบิกบานได้เหมือนอย่างดอกบัว เป็นธรรมชาติที่จะบานได้ หรือดอกไม้ทั้งหลายก็เป็นธรรมชาติที่จะบานได้ แต่เพราะเหตุที่ยังประกอบอยู่ด้วยกิเลสและกองทุกข์ จึงทำให้จิตนี้เศร้าหมอง ไม่เบิกบาน ห่อเหี่ยว ตรมตรอม ดังที่ปรากฏอยู่เป็นกิเลสบ้าง เป็นความทุกข์บ้าง ครอบงำจิตใจนี้อยู่เป็นอันมาก และกิเลสนี้ก็มิใช่ว่าเป็นเนื้อแท้ของจิตใจเป็นธรรมชาติของจิตใจ แต่เป็นสิ่งที่จรเข้ามา เหมือนอย่างเป็นอาคันตุกะคือเป็นแขกที่จรเข้ามาขออาศัย แต่ว่าอาคันตุกะหรือแขกคือกิเลสนี้เมื่อมาขออาศัยอยู่ในจิต แล้วก็ยึดจิตนี้เป็นที่อยู่อาศัยเรื่อยไป ไม่ปล่อยออก นี้คือกิเลสที่เป็นอาสวะอนุสัย คือที่นอนจมหมักหมมอยู่ในจิต ที่ท่านเปรียบเหมือนตะกอนที่นอนอยู่ก้นตุ่ม
เหตุให้เกิดกิเลสอาสวะอนุสัย
และอาสวะอนุสัยหรือตะกอนกิเลสนี้เองก็คอยฟุ้งขึ้นมาในเมื่อจิตนี้รับอารมณ์ทางอายตนะทั้งหลาย คือทางอายตนะภายในภายนอกประจวบกัน จิตก็รับเอาสิ่งที่มาประจวบกันนี้เข้ามาเป็นอารมณ์ เป็นรูปารมณ์บ้าง สัทธารมณ์บ้าง เป็นต้น ก็เป็นที่ตั้งของกิเลสกองราคะหรือโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง บังเกิดขึ้นยั้วเยี้ยอยู่ในจิต กลุ้มรุมจิต ปล้นจิต ทำจิตให้กระสับกระส่าย ไม่มีสงบ และกำบังธาตุรู้ของจิตมิให้ได้ปัญญาคือตัวความรู้ในสัจจะที่เป็นความจริง การที่เป็นดั่งนี้ก็เพราะว่า จิตนี้ยังมีอวิชชาคือตัวความไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัวความจริง อันเป็นต้นเดิมของกิเลสทั้งหลายอยู่ แม้ว่าจิตนี้จะเป็นธรรมชาติที่ปภัสสรคือผุดผ่อง และแม้ว่าจิตนี้จะเป็นวิญญาญธาตุคือธาตุรู้ แต่ความรู้นั้นก็ยังเป็นความรู้หลง เป็นความรู้ผิด เพราะยังมีอวิชชาคือความไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัวความจริง จึงทำให้ความรู้นั้นเป็นความรู้หลง เป็นความรู้ผิด
เมื่อเป็นดั่งนี้เมื่อจิตนี้รู้รูปทางตา ก็หลงอยู่ในรูป รู้เสียงทางหู ก็หลงอยู่ในเสียง รู้กลิ่นทางจมูก ก็หลงอยู่ในกลิ่น รู้รสทางลิ้น ก็หลงอยู่ในรส รู้สิ่งถูกต้องทางกาย ก็หลงอยู่ในสิ่งถูกต้องนั้น รู้ธรรมะคือเรื่องราวทางมโนคือใจ ก็หลงอยู่ในธรรมะคือเรื่องราวนั้น จึงได้บังเกิดกิเลสกองราคะความติดใจยินดี หรือโลภะความโลภอยากได้ เกิดกิเลสกองโทสะความโกรธแค้นขัดเคือง และเพิ่มกิเลสที่เป็นตัวหลงนี้ให้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย เมื่อเป็นดั่งนี้ จิตจึงไม่มีโอกาสที่จะเบิกบาน หรือที่จะบาน เพราะเหตุว่าธาตุรู้ของจิตนี้ไม่มีโอกาสที่จะรู้สัจจะที่เป็นตัวความจริงยังถูกอวิชชาโมหะครอบงำอยู่ พร้อมทั้งกิเลสที่เกิดสืบเนื่องกันจากอวิชชาโมหะนี้ เป็นราคะโลภะ เป็นโทสะต่างๆ ดังที่กล่าวนั้น เพราะฉะนั้นจิตนี้จึงเบิกบานไม่ได้ ปภัสสรคือผุดผ่องไม่ได้ เหมือนดังดอกบัวที่แม้ว่าจะเป็นธรรมชาติที่บานได้ แต่ว่ายังอยู่ใต้น้ำ ยังไม่โผล่ขึ้นพ้นน้ำ ยังถูกน้ำปกคลุมเอาไว้ ก็บานไม่ได้ จิตนี้เมื่อยังถูกอวิชชาโมหะและกิเลสทั้งหลายครอบงำอยู่ ก็เบิกบานไม่ได้ ผุดผ่องขึ้นมาไม่ได้เช่นเดียวกัน
ขั้นของการปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา
ต่อเมื่อได้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าและได้ปฏิบัติตามที่พระองค์ทรงสั่งสอน ในศีล ในสมาธิ ในปัญญา ขัดเกลากิเลสทั้งหลายให้ลดน้อยลงไป ตามกำลังของ ศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อเป็นดั่งนี้ จิตนี้ก็จะได้พบความเบิกบานขึ้นบ้าง ความผุดผ่องขึ้นบ้าง เหมือนดังที่เมื่อมาตั้งใจปฏิบัติในศีล ได้ปีติได้สุขในศีล กิเลสอย่างหยาบที่เป็นอกุศลมูลทั้งหลาย อันเป็นเหตุให้ละเมิดศีลนั้นๆ สงบลง จิตก็ได้ความผุดผ่อง ได้ความเบิกบานขึ้นด้วยอำนาจของปีติสุข หรือด้วยอำนาจของศรัทธาปสาทะในศีล
เมื่อมาปฏิบัติในสมาธิจิตได้สมาธิ สงบสงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย โดยเฉพาะก็คือว่าสงบนิวรณ์ทั้งหลายได้ ก็ได้ปีติได้สุขจากสมาธิ จิตนี้ก็ผุดผ่องก็เบิกบานขึ้นด้วยอำนาจของสมาธิ ที่ดี ที่ละเอียดยิ่งขึ้นไปกว่าขั้นศีล และเมื่อมาปฏิบัติในปัญญา ขัดเกลาอวิชชาโมหะอันเป็นเหตุให้หลงยึดถือ ในตัวเราของเราให้น้อยลงไป อวิชชาโมหะลดน้อยลงไป ก็จะได้ปีติได้สุขอันเกิดจากปัญญา ละเอียดขึ้นไปจากสมาธิ ปรากฏเป็นความผุดผ่อง เป็นความเบิกบาน ด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา เป็นความบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพิ่มมากขึ้นไปโดยลำดับ
ดั่งนี้เป็นขั้นของการปฏิบัติทุกคนก็ย่อมได้สภาพที่ผุดผ่อง สภาพที่เบิกบานของจิตใจ ไปตามขั้นของการปฏิบัติ ดั่งนี้ก็เป็นการปฏิบัติไปตามพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อมาตั้งใจระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า แม้ในบทว่า พุทโธ ในความหมายว่าผู้เบิกบานดั่งนี้แล้ว ปฏิบัติทำศีลทำสมาธิทำปัญญาให้บังเกิดขึ้นในจิตใจ
แม้ด้วยการปฏิบัติตามสติปัฏฐานที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนตั้งจิตกำหนดพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ทำให้จิตนี้ได้สมาธิ และได้ปัญญา เมื่อเป็นดั่งนี้ ก็ย่อมจะพบความผุดผ่องและความเบิกบานของจิตนี้ ได้น้อยหรือมาก ตามควรแก่ความปฏิบัติ ก็เป็นการปฏิบัติตามพระพุทธปฏิปทาของพระพุทธเจ้านั้นเอง
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป