แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ได้แสดงอธิบายพระพุทธคุณนำ เป็นพุทธานุสสติมาโดยลำดับ ถึงพระพุทธคุณบทว่า สัตถาเทวมนุสสานัง เป็นพระศาสดาผู้สอนแห่งเทพและมนุษย์ทั้งหลาย ดั่งนี้ พระพุทธเจ้าเราเรียกว่าพระบรมศาสดาที่แปลว่า พระศาสดาผู้เป็นอย่างยิ่ง คือเป็นเยี่ยมยอด และมิใช่เป็นพระศาสดาเฉพาะแห่งมนุษย์ทั้งหลายเท่านั้น เป็นพระศาสดาแห่งเทพทั้งหลายด้วย และยังทรงเป็นพระศาสดาแห่งสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย แห่งโอปปาติกะคือผู้ลอยเกิดทั้งหลายที่ต่ำกว่าเทวะทั้งหลายอีกด้วย
แต่ว่าในบทพระพุทธคุณนี้ยกขึ้นแสดงเพียงว่า ทรงเป็นพระศาสดาแห่งเทวะและมนุษย์ทั้งหลาย ข้อนี้แสดงถึงความยอดเยี่ยมความเป็นพิเศษ ซึ่งกล่าวได้ว่ามีเฉพาะพระพุทธเจ้า ผู้พระบรมศาสดาของเราทั้งหลายเท่านั้น เพราะว่าศาสดาทั้งหลายแห่งศาสนาทั้งหลาย ซึ่งบังเกิดขึ้นก่อนพุทธศาสนาก็ดี บังเกิดขึ้นภายหลังพุทธศาสนาก็ดี ย่อมเป็นศาสดาที่เป็นศิษย์ของเทวะ หรือเทพเจ้า ตามความเชื่อถือ จะเรียกว่าทั้งสิ้นก็ได้ จึงไม่มีศาสดาองค์ใดที่เป็นสยัมภู คือเป็นขึ้นเอง หรือเป็นสัมพุทโธ ผู้ตรัสรู้ขึ้นเอง จะต้องมีเทพเจ้าตามเชื่อถือมาเป็นผู้บอกกล่าวแนะนำ เท่ากับว่าศาสดานั้นๆ เป็นสื่อระหว่างเทพเจ้าตามเชื่อถือกับมนุษย์ทั้งหลาย
แต่พระพุทธเจ้าผู้พระบรมศาสดามิใช่เป็นเช่นนั้น ทรงเป็นสยัมภู ผู้เป็นเอง คือเป็นผู้ตรัสรู้ขึ้นด้วยพระองค์เองในอริยสัจจ์ทั้งหลาย ทรงเป็นสัพพัญญู คือเป็นผู้รู้ทั้งหมด อันหมายความว่าเป็นผู้รู้ด้วยความตรัสรู้ที่บริสุทธิ์บริบูรณ์ บริสุทธิ์ก็คือไม่ผิดพลาด ถูกต้อง ไม่ต้องมีแก้ไข บริบูรณ์ก็คือครบถ้วนไม่มีบกพร่อง อันจะต้องเพิ่มเติม อันคำว่าสัพพัญญู ผู้รู้ทั้งหมดนี้ ย่อมครอบคลุมความหมายได้ในความรู้ของพระองค์ทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วยความรู้ที่บริสุทธิ์บริบูรณ์ดังกล่าว แม้ในข้อธรรมะทุกหมวดที่ทรงสั่งสอน ดังเช่นทรงสั่งสอนอริยสัจจ์ทั้ง ๔ ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ก็เป็นความที่ถูกต้องไม่มีผิดพลาด อันเรียกว่าบริสุทธิ์ และครบถ้วนไม่บกพร่อง อันเรียกว่าบริบูรณ์
เพราะอริยสัจจ์นั้นย่อมเป็นสัจจะที่บริสุทธิ์บริบูรณ์ดังกล่าว ไม่มี ๓ ไม่มี ๕ แต่ว่ามี ๔ เป็นความบริสุทธิ์บริบูรณ์ของอริยสัจจ์เพียงเท่านี้ คำสั่งสอนของพระองค์จึงเป็นคำสั่งสอนที่บริสุทธิ์บริบูรณ์ทั้งหมด อันส่องถึงความตรัสรู้ของพระองค์ ว่าทรงเป็นสัพพัญญู คือเป็นผู้รู้ทั้งหมด รู้ถูกต้องทั้งหมด รู้ครบถ้วนทั้งหมด ตรัสออกมาเป็นอริยสัจจ์ ๔ ก็เป็นอริยสัจจ์ ๔ ที่ถูกต้อง ที่ครบถ้วน ธรรมะที่ทรงแสดงออกมาทุกข้อทุกบท ย่อมมีความบริสุทธิ์คือถูกต้องทั้งหมด มีความบริบูรณ์คือครบถ้วนทั้งหมด อยู่ในทุกข้อทุกบทที่ทรงสั่งสอนนั้น อันส่องถึงความตรัสรู้ของพระองค์ว่าเป็นสัพพัญญูคือรู้ทั้งหมดดังกล่าว
เพราะฉะนั้นเมื่อทำความเข้าใจในคำว่าสัพพัญญูดังกล่าวนี้ ย่อมจะทำให้พอมองเห็น (เริ่ม)...ความตรัสรู้ของพระองค์ว่าเป็นสัพพัญญูอย่างไร แล้วก็ทำให้ได้ความเข้าใจในคำสั่งสอนของพระองค์ ว่าเป็นสัพพัญญู คือแสดงถึงความรู้ทั้งหมดดังกล่าวนั้น และก็เป็นคำสั่งสอนที่ทำให้ผู้ตั้งใจฟัง ได้ปัญญาในธรรม ได้มีความรู้ทั่วถึงทั้งหมดตามพระองค์ ในข้อที่จะพึงรู้พึงเห็นนั้นๆ
นี้แสดงถึงความเป็นพระศาสดาของพระองค์ ว่าพระองค์นั้นได้ทรงเป็นพระสัพพัญญู เป็นผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ดังที่ได้แสดงไว้ในปฐมเทศนาว่า ธรรมะได้บังเกิดผุดขึ้นแก่พระองค์ ก็คือตรัสแสดงไว้ว่าจักขุ ดวงตา ญาณะ คือความหยั่งรู้ ปัญญา ความรู้ทั่วถึง วิชชา ความรู้แท้จริง อาโลกะ ความสว่าง บังเกิดผุดขึ้นในธรรมะทั้งหลาย ที่พระองค์มิได้เคยทรงสดับมาก่อน ว่านี้ทุกข์ ทุกข์ควรกำหนดรู้ ทุกข์ได้กำหนดรู้แล้ว นี้ทุกขสมุทัย เหตุเกิดทุกข์ ทุกขสมุทัย นี่พึงละ ทุกขสมุทัย นี่ละได้แล้ว นี้ทุกขนิโรธ ความดับทุกข์ ทุกขนิโรธ นี่ควรกระทำให้แจ้ง ทุกขนิโรธ นี่ได้กระทำให้แจ้งแล้ว นี้ทุกขนิโรธคามินี ปฏิปทาข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์นี้ควรอบรมปฏิบัติกระทำให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์นี่ได้ปฏิบัติอบรมกระทำให้มีขึ้นให้เป็นขึ้นแล้ว ดั่งนี้
เพราะฉะนั้น พระองค์จึงไม่มีครูอาจารย์ มาเป็นผู้บอกเป็นผู้สอนให้ตรัสรู้ พระองค์ได้ตรัสรู้ขึ้นด้วยพระองค์เอง ฉะนั้น จึงไม่มีเทพทั้งปวง มนุษย์ทั้งปวง เป็นครูเป็นอาจารย์ของพระองค์ พระองค์ได้ตรัสรู้ในธรรมะที่มิได้เคยทรงสดับมาแล้วดังกล่าวนั้นด้วยพระองค์เอง ก็แสดงว่าธรรมะที่ได้ตรัสรู้นี้ยังไม่มีมนุษย์ ไม่มีเทวะ หรือกล่าวรวบว่าไม่มีเทวดามารพรหม ท่านใดท่านหนึ่ง ผู้ใดผู้หนึ่งได้รู้มาก่อน ถ้าหากว่าจะได้มีมนุษย์หรือเทพดามารพรหมผู้ใดผู้หนึ่งได้รู้มาก่อน และแสดงสั่งสอนไว้ พระองค์ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทรงค้นคว้าด้วยพระองค์เอง เพราะฉะนั้นจึงต้องทรงแสวงหาด้วยพระองค์เอง และก็ได้พบพระองค์เองนั่นเองเป็นอาจารย์แนะทางเบื้องต้น คือทรงระลึกขึ้นได้ เมื่อทรงเป็นพระราชกุมารเด็กๆ ได้ตามเสด็จพระราชบิดาไปในพิธีแรกนาขวัญ ในขณะที่พระราชบิดากำลังทำพิธีแรกนาขวัญนั้น พระราชกุมารองค์น้อยประทับพัก อยู่ใต้ต้นหว้า จิตของพระองค์ก็รวมเข้า โดยกำหนดลมหายใจเข้าออก จนได้บรรลุถึงปฐมฌาน แต่ต่อมาปฐมฌานนี้ก็เสื่อมไป
ทรงระลึกได้ก็ได้ทรงจับทำสมาธิที่บริสุทธิ์นั้น จึงได้ทรงพบทางที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทาข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางกลางคือมรรคมีองค์ ๘ ด้วยพระองค์เอง ก็ได้ทรงปฏิบัติดำเนินในทางนี้ จนบริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วน จึงได้ตรัสรู้ คือจักษุดวงตาปัญญาได้ผุดขึ้นในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ กิเลสและกองทุกข์ก็สิ้นไป จึงได้พอพระทัยว่าได้ตรัสรู้แล้ว ทรงสิ้นทุกข์ทั้งสิ้น มีชาติทุกข์เป็นต้นแล้ว กิเลสอาสวะทั้งปวงดับไปหมดสิ้นแล้ว ดั่งนี้
และได้ทรงแสดงธรรมะที่ตรัสรู้นี้สั่งสอน เพราะฉะนั้นจึงได้พระนามว่า สัตถา ที่แปลว่าผู้สั่งสอน เราเรียกกันในภาษาไทยว่าพระศาสดา สัตถา เป็นภาษาบาลี ศาสดา เป็นภาษาสันสกฤต ก็แปลว่าผู้สอนนั่นเอง และพระองค์ทรงเป็นผู้สอนที่สอนธรรมะที่ตรัสรู้นี้แก่เทพทั้งหลายด้วย แก่มนุษย์ทั้งหลายด้วย ตลอดจนถึงแก่สัตว์เดรัจฉานบางสัตว์เดรัจฉาน และแก่โอปปาติกะที่ต่ำกว่าเทพ ให้ได้ความเลื่อมใส หรือให้ได้ความรู้ เท่าที่ผู้เกิดในภูมิภพนั้นๆ จะมีได้เป็นได้ เป็นเหตุให้เลื่อนภูมิภพที่ต่ำนั้นสูงขึ้น เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าพระองค์เป็นมนุษย์คนแรกในโลก ที่ได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ในธรรมะที่ยังไม่มีเทพผู้ใด ยังไม่มีมนุษย์ผู้ใดได้รู้มา และก็ได้ทรงสอนแก่เทพ แก่พรหม แก่มนุษย์ทั้งหลายให้บรรลุถึงสุขประโยชน์ตามภูมิตามชั้น
ความเป็นศาสดาคือความเป็นผู้สอนของพระองค์นั้น มิใช่สักแต่ว่าสอนเท่านั้น เหมือนอย่างครูอาจารย์ธรรมดาทั้งปวง แต่ว่าได้ทรงประกอบด้วยลักษณะพิเศษของครูอาจารย์ ก็คือทรงได้ทรงถึงธรรมะ ที่ทรงสอนนั้นแล้ว ทรงปฏิบัติธรรมะที่ทรงสอนนั้นได้ถูกต้อง ครบถ้วน คือบริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว จึงทรงสั่งสอน เพราะฉะนั้น จึงไม่มีผู้ใดสามารถจะติเตียนพระองค์ได้ ว่าสักแต่ว่าสอนเท่านั้น แต่ว่าทำไม่ได้ ทรงทำได้แล้วบริสุทธิ์บริบูรณ์ ดังที่เรียกว่าสัพพัญญูดังกล่าวนั้น จึงทรงสอน
ธรรมะที่ทรงสั่งสอนนั้นได้มีอยู่บริบูรณ์แล้วในพระองค์ เช่นโพธิปักขิยธรรมที่ทรงสั่งสอนให้ปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ มรรคมีองค์ ๘ ทรงปฏิบัติได้ถูกต้องครบถ้วนแล้ว อริยสัจจ์ ๔ ก็ได้ตรัสรู้ถูกต้องครบถ้วนแล้ว วิมุติความหลุดพ้น มรรผลนิพพาน ทรงบรรลุถูกต้องครบถ้วนแล้ว จึงไม่มีกุศลธรรมข้อใดข้อหนึ่งที่พระองค์มิได้ปฏิบัติ หรือปฏิบัติไม่ได้ และไม่มีอกุศลธรรมข้อใดข้อหนึ่งยังเหลืออยู่ ทรงละอกุศลธรรมได้หมดสิ้น ทรงปฏิบัติในกุศลธรรมทั้งปวงได้ครบถ้วนบริบูรณ์ กิเลสทั้งปวงทั้งที่เป็นอย่างหยาบ ทั้งที่เป็นอย่างกลางๆ ทั้งที่เป็นอย่างละเอียด คืออาสวะอนุสัย ก็ทรงละได้สิ้นไม่มีเหลือ
ทรงประกอบด้วยพระคุณทั้งปวง สรุปเข้าในพระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณอย่างสมบูรณ์ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีผู้ใดจะติเตียนพระองค์ได้ ในด้านของความประพฤติ ในด้านของรู้ คือความตรัสรู้ แม้แต่ข้อใดข้อหนึ่ง ได้ทรงปฏิบัติมาได้อย่างสมบูรณ์บริบูรณ์ทุกอย่าง จึงทรงสอน และในการสอนนั้นเล่าก็ทรงสอนอย่างที่ให้สำเร็จประโยชน์ได้ ดั่งที่เรียกกันว่าในปัจจุบัน ทรงได้มีความรู้ในวิชาครูอย่างสมบูรณ์ ดังที่ได้ตรัสไว้เองว่า ทรงสอนในธรรมะที่เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่งเห็นจริง ในธรรมะที่ควรรู้ควรเห็น ทรงสอนมีเหตุอันผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้ ทรงสั่งสอนมีปาฏิหาริย์คือเป็นจริง ปฏิบัติได้ผลจริง สอนว่าดีก็ดีจริง สอนว่าชั่วก็ชั่วจริง ทำดีตามที่ทรงสอนก็ได้ดีจริง ทำชั่วตามที่ทรงสอนก็ได้ชั่วจริง นี้เป็นปาฏิหาริย์ และก็ปฏิบัติได้จริงดั่งนี้ในปัจจุบันนี้เอง ผู้ปฏิบัติก็รู้ได้ด้วยตัวเอง
เพราะฉะนั้นจึงได้ทรงสอนอย่างได้ผล มิใช่ว่าทรงสอนเรื่อยๆ ไป รู้อะไรก็สอนไปๆ โดยไม่มีขอบเขต ทำให้ไม่ได้ผล แต่ทรงสอนจำเพาะที่ควรรู้ควรเห็น หรือเป็นไปเพื่อให้รู้ให้เห็นได้ ดังที่กล่าวมานั้นเป็นต้น และในข้อนี้ก็ทรงประกอบด้วยลักษณะของครูผู้ยอดเยี่ยม คือได้ทรงมีอิทธิปาฏิหาริย์ คือทรงมีฤทธิ์เป็นอัศจรรย์ ฤทธิ์คำนี้แปลว่าความสำเร็จ และก็หมายถึงความสามารถทำอะไรได้ที่เกินวิสัยของสามัญมนุษย์ได้ด้วย แต่ว่าจุดประสงค์สำคัญนั้นคือความสำเร็จ คือทรงสามารถที่จะทรมาน หรือว่าทรงสามารถที่จะฝึกบุรุษบุคคลที่ควรฝึก ให้สิ้นมานะ สิ้นทิฏฐิที่ผิด มาตั้งใจฟังคำสั่งสอนของพระองค์ได้ ทรงมีอาเทสนาปาฏิหาริย์คือความรู้อ่านจิตใจ ดับใจของผู้ฟังได้เป็นอัศจรรย์ คือทรงรู้ถึงอุปนิสัย วาสนาบารมี หรืออินทรีย์ของผู้ฟังว่าเป็นอย่างไร ควรจะแสดงธรรมะข้อไหนโปรดเขาจึงจะสามารถรับได้ สามารถรู้ได้ปฏิบัติได้ เรียกว่าอ่านใจได้ และคำว่าอ่านใจได้นี้ก็หมายถึงอ่านอุปนิสัย นิสัย วาสนาบารมี ของบุคคลนั้นๆ ออก ไม่ใช่หมายความเพียงว่าอ่านใจคือความคิดของบุคคลแต่ละคนในปัจจุบันเท่านั้น
อันอุปนิสัยวาสนาบารมี หรืออินทรีย์ของแต่ละบุคคลนั้น แม้เจ้าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าตัวเองนั้นมีอุปนิสัยวาสนาบารมีอินทรีย์เพียงไร แต่พระพุทธเจ้าทรงทราบ เพราะฉะนั้นจึงทรงแสดงคำสอนได้ถูกต้อง พอเหมาะพอควรแก่อุปนิสัยของบุคคลนั้นๆ อันสามารถที่จะทำให้เขาเข้าถึงธรรมะได้ เขาสามารถที่จะรับมาปฏิบัติดำเนิน เพิ่มเติมอุปนิสัยให้ยิ่งๆ ขึ้นไปได้ เพราะฉะนั้น ธรรมะที่ทรงแสดงแก่บุคคลนั้นๆ จึงมีเป็นอันมาก ดั่งที่ประมวลเข้าที่เรียกว่าแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ หรือเป็นไตรปิฎก ปิฎก ๓ แต่ละปิฎกก็มีข้อธรรมะมากมาย ดั่งนี้เพราะทรงมีความรู้ในอุปนิสัยวาสนาบารมีของแต่ละบุคคล และทรงมีอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือคำสั่งสอนที่เหมาะสมเป็นอัศจรรย์ดังที่กล่าวมาแล้ว ว่าเมื่อทรงรู้อุปนิสัยของบุคคลก็ประทานคำสั่งสอนที่เหมาะสมให้แก่เขาได้
นี้เป็นเหตุให้ธรรมะที่ทรงสั่งสอนนั้นมีมากมาย เพราะบุคคลที่ฟังธรรมะนั้นมีมากมาย ก็ต้องทรงจำแนกแจกแจงแสดงข้อนั้นข้อนี้ ให้เหมาะสมแก่แต่ละบุคคล แต่ละคณะที่ฟังคำสั่งสอนของพระองค์ นี้เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์คำสั่งสอนเป็นอัศจรรย์ อันรวมอาการเข้าเป็น ๓ ข้อ ดังกล่าวมาข้างต้น ก็คือสอนข้อที่เป็นไปเพื่อให้รู้ให้เห็นในธรรมะที่ควรรู้ควรเห็น มีเหตุที่ผู้ฟังตรองตามให้เห็นจริงได้ และมีปาฏิหาริย์ก็คือเป็นจริง ได้ผลจริง เพราะฉะนั้น ผู้ฟังคำสั่งสอนของพระองค์จึงต้องได้รับผล ตั้งต้นแต่ได้ศรัทธาปสาทะในพระพุทธศาสนา ในพระพุทธเจ้า ในพระธรรมพระสงฆ์ ได้ดวงตาเห็นธรรม ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ตามควรแก่ภูมิชั้น ซึ่งบางคนก็เป็นอุคคติตัญญูรู้เร็ว ทรงยกหัวข้อธรรมขึ้นแสดงก็รู้แล้ว ไม่ต้องอธิบาย บางจำพวกก็เป็นวิปจิตัญญู เมื่อยกหัวข้อธรรมขึ้น ก็ต้องอธิบาย บางจำพวกก็เป็นเนยยะแนะนำได้ คืออธิบายหนเดียวก็ยังไม่เข้าถึงธรรมต้องอธิบาย
แนะนำอยู่บ่อยๆ ก็สามารถที่จะเข้าถึงธรรม รู้ธรรมะได้จักษุคือดวงตาเห็นธรรมได้ ดั่งนี้ ฉะนั้น จึงได้เกิดมีพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ได้มีพระสาวกเป็นพระอริยบุคคล เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอนาคามี เป็นพระสกทาคามี เป็นพระโสดาบัน รวมเป็นพระสงฆ์เป็นจำนวนมาก นี้แสดงถึงความเป็นศาสดาของพระองค์ ซึ่งควรแก่นามว่าพระบรมศาสดา ทรงเป็นพระศาสดาของเทพทั้งหลายด้วย ของมนุษย์ทั้งหลายด้วย เพราะฉะนั้น จึงได้พระนามว่าสัตถาเทวะมนุสสานัง เป็นศาสดาของเทพและมนุษย์ทั้งหลาย
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป