แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
จะแสดงพระพุทธคุณบทสุคโตผู้เสด็จไปดีแล้ว นำเป็นพุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงได้พระนามว่าสุคโต พระสุคต พระผู้เสด็จไปดีแล้ว พระอาจารย์ได้แสดงอธิบายว่าได้เสด็จไปดีงาม การเสด็จไปของพระองค์นั้นเป็นโสภณะงาม เป็นสุนทระดี และได้เสด็จไปสู่ที่ๆ ดีงาม ทั้งได้มีพระวาจาที่ดีงาม ข้อว่าเสด็จไปดีงามก็ด้วยอริยมรรค มรรคที่ดีงามที่ประเสริฐ อันมีองค์ ๘ ประการ คือเสด็จไปด้วยสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะความดำริชอบ อันเป็นส่วนพระปัญญา ด้วยสัมมาวาจาเจรจาชอบ สัมมากัมมันตะการงานชอบ สัมมาอาชีวะเลี้ยงชีวิตชอบ อันเป็นส่วนศีล
ข้อว่าทรงเสด็จไปสู่ฐานะที่ดีงาม ก็คือเสด็จไปสู่อมตะนิพพาน สู่วิชชาวิมุติ สู่อมตะนิพพานคือสู่ธรรมะเป็นที่ออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด ธรรมะเป็นที่ดับกิเลสและกองทุกข์ทั้งสิ้น สู่ความเป็นอมตะคือผู้ไม่ตาย เสด็จสู่วิชชาวิมุติก็คือความรู้และความพ้น จากกิเลสและกองทุกข์ทั้งสิ้น ฉะนั้น พระองค์จึงทรงเสด็จไปด้วยอริยมรรค ด้วยอมตะนิพพาน ด้วยวิชชาวิมุติ ทรงมีพระกายพระวาจาและพระหทัยคือใจ เสด็จไปดีด้วยประการทั้งปวง และเพราะทรงเสด็จไปด้วยมรรคดังกล่าว กายวาจาใจของพระองค์จึงมีศีลมีสมาธิ มีปัญญาสมบูรณ์ เสด็จไปด้วยอมตะนิพพาน จึงทรงเสด็จไปด้วยบรมสุข ปราศจากความทุกข์ทั้งสิ้น ปราศจากกิเลสทั้งสิ้น
นิพพานย่อมดำรงอยู่
และพระองค์ทรงเป็นอมตะคือเป็นผู้ไม่ตาย เพราะว่าทรงพ้นจากขันธ์อายตนะธาตุ ซึ่งเป็นของตาย ของแตกสลาย พุทธภาวะของพระองค์นั้นจึงดำรงอยู่เป็นอมตะคือไม่ตาย แต่ว่าจะชี้ว่าตั้งอยู่ที่ไหนนั้น ก็มิอาจจะชี้ได้ด้วยภาษาที่พูด เพราะภาษาที่พูดเป็นสมมติบัญญัติ แต่พุทธภาวะนั้นพ้นจากสมมติบัญญัติ พ้นจากภาษาที่จะพูดถึง จะชี้ว่าอยู่ที่พระจิต คืออยู่ที่จิต ก็สมมติขึ้นพูดว่าจิตเท่านั้น หรือจะพูดว่าที่ธาตุรู้ ก็สมมติบัญญัติว่าธาตุรู้เท่านั้น พุทธภาวะหรืออมตะนิพพานเป็นสิ่งที่เป็นอมตะคือไม่ตาย ซึ่งอยู่พ้นจากสมมติบัญญัติทุกอย่าง แต่ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ดำรงอยู่ไม่สูญ พระกายของพระองค์จะดำรงอยู่ หรือว่าจะแตกสลาย แต่ว่าพุทธภาวะอมตะนิพพานย่อมดำรงอยู่
ฉะนั้น จึงได้ตรัสเอาไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ซึ่งเป็นอันว่าพุทธภาวะอมตะนิพพานนั้นย่อมรวมเข้าในธรรม หรือธรรมธาตุซึ่งเป็นธาตุแท้ ดังที่ตรัสไว้ในธรรมนิยามสูตรว่า ธาตุนั้นตั้งอยู่ เป็นธรรมฐิติความตั้งอยู่แห่งธรรม ธรรมนิยามความกำหนดแน่แห่งธรรม พระตถาคตทั้งหลายจะทรงอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่ทรงอุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้นก็คงตั้งอยู่ ดั่งนี้
เพราะฉะนั้น ในเมื่อพระกายยังทรงดำรงอยู่ พุทธภาวะก็ตั้งอยู่อาศัยพระกายคือขันธ์ ๕ นี้ และก็ทรงเห็นอะไรทางตา ได้ยินอะไรทางหู ได้ทราบกลิ่นอะไร รสอะไร สิ่งถูกต้องอะไร ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ได้ทรงรู้อะไรทางมโนคือใจ แต่ว่าทรงมีวิชชาคือความรู้จริงไม่ยึดถือ จึงทรงมีวิมุติ คือความหลุดพ้น พรากออกจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ และธรรมะคือเรื่องราวนั้นๆ ไม่เกิดเป็นอารมณ์ที่จะก่อให้เกิดความยินดีความยินร้ายไหลเข้ามาสู่จิตได้ จิตจึงบริสุทธิ์ผุดผ่อง จิตจึงดำเนินไปดี ในเรื่องทั้งหลายที่ประสบพบพาน เมื่อจิตดำเนินไปดี กายวาจาก็ดำเนินไปดี ด้วยอำนาจของวิชชาวิมุติซึ่งเป็นวิหารธรรม ธรรมเครื่องอยู่แห่งจิตของพระองค์ ดังที่ตรัสเอาไว้เองว่าทรงอยู่ด้วยวิชชาวิมุติดั่งนี้ เพราะฉะนั้น จึงเป็นสุคโตคือเสด็จไปดี และเสด็จไปสู่อมตะนิพพาน ประกอบด้วยวิชชาวิมุติ
อนึ่ง ข้อว่าทรงมีพระวาจาดี ก็ดังที่ได้ตรัสไว้ว่า วาจาของพระองค์ที่ตรัสนั้นย่อมมีลักษณะดั่งนี้ คือสิ่งใดที่ไม่จริงไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ จะเป็นที่รักที่ชอบใจ หรือไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของใครก็ตาม พระองค์ไม่ตรัสสิ่งนั้น หรือไม่ตรัสวาจานั้น สิ่งใดที่แม้เป็นของจริงเป็นของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ พระองค์ก็ไม่ตรัสสิ่งนั้น ไม่ตรัสวาจานั้น ส่วนสิ่งใดที่จริงที่แท้และประกอบด้วยประโยชน์ พระองค์ทรงรู้กาละคือกาลเวลาที่จะตรัสสิ่งนั้น ที่จะตรัสวาจานั้น ดั่งนี้
เพราะฉะนั้น วาจาที่พระพุทธเจ้าตรัสทุกถ้อยคำ จึงเป็นวาจาที่จริงที่แท้ ที่ประกอบด้วยประโยชน์ และถูกต้องด้วยกาละ พระพุทธศาสนาคำสั่งสอนของพระองค์จึงเป็นคำสั่งสอนที่จริงที่แท้ และที่ประกอบด้วยประโยชน์ และต้องด้วยกาลเวลา
เมื่อโปรดพระปัญจวัคคีย์
ดังจะพึงเห็นได้ว่าเมื่อเสด็จไปโปรดพระปัญจวัคคีย์ ซึ่งท่านทั้ง ๕ ยังเป็นฤาษี พักอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี เวลานั้นพระองค์ได้ตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ได้ทรงเลือกผู้ที่จะรับปฐมเทศนา ก็ได้ทรงเห็นว่าท่านทั้ง ๕ นั้น เป็นผู้ที่ควรจะรับปฐมเทศนาได้ จึงได้เสด็จจากโพธิบัลลังก์อันเป็นที่ตรัสรู้ เสด็จไปด้วยพระบาทสู่ป่าที่ท่านทั้ง ๕ พักอยู่นั้น เมื่อท่านทั้ง ๕ ได้เห็นเสด็จมาแต่ไกล ทีแรกก็นัดหมายกันว่าไม่ต้อนรับ แต่เมื่อเสด็จถึงต่างก็ต้อนรับ และก็ได้ตรัสว่าพระองค์จะทรงแสดงธรรมะที่เป็นอมตะธรรมโปรด แต่ท่านทั้ง ๕ นั้นก็ยังไม่น้อมใจเชื่อว่าจะได้ตรัสรู้ เพราะได้ทรงเลิกทุกรกิริยา มาเสวยพระกระยาหาร ที่ท่านทั้ง ๕ เห็นว่าได้ทรงเวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมาก เพราะฉะนั้น ท่านจึงเห็นว่าจะไม่สามารถจะตรัสรู้ได้
พระพุทธองค์ก็มิได้ทรงแสดงธรรมะจักรปฐมเทศนาทันที เพราะยังมิใช่กาลเวลาที่จะพึงแสดง ( เริ่ม ) จิตของท่านทั้ง ๕ นั้นยังมีทิฏฐิมานะที่ผิด ยังไม่ยอมรับฟัง จึงได้ตรัสชี้แจงด้วยเหตุผลให้ท่านทั้ง ๕ คลายทิฏฐิมานะยอมรับฟังก่อน และวิธีที่ทรงชี้แจงนั้นก็ได้ทรงเลือกพระวาจาที่เหมาะสม อันเป็นของจริงที่เป็นประโยชน์ ดังเช่นที่ได้ตรัสให้ท่านทั้ง ๕ ระลึกว่า ก่อนแต่นี้ได้เคยมีพระวาจาดังที่ได้ตรัส แก่ท่านทั้ง ๕ นี้หรือไม่ ว่าพระองค์ได้ทรงบรรลุธรรม จะเสด็จมาโปรด ท่านทั้ง ๕ นั้นก็ระลึกได้ว่าไม่เคยตรัสอย่างนี้ จึงได้มีจิตน้อมเพื่อจะฟังธรรม เมื่อทรงทราบว่าจิตของท่านทั้ง ๕ อ่อนโยนลง น้อมเพื่อที่จะรับธรรม จึงได้ตรัสแสดงปฐมเทศนาโปรด
พระวาจาที่พระพุทธเจ้าได้ตรัส ตั้งแต่พระวาจาแรกเมื่อพบท่านทั้ง ๕ ก็ล้วนเป็นสัจจะคือความจริงทั้งนั้น และก็ต้องด้วยกาลเวลา พระวาจาแรกที่ตรัส ก็ตรัสว่าจะเสด็จมาโปรด ได้ทรงบรรลุธรรม ก็เป็นความจริง และต้องด้วยกาลเวลาที่ควรจะตรัสบอก เมื่อท่านทั้ง ๕ ยังไม่ยอมน้อมใจฟัง คือยังไม่เชื่อว่าจะได้ทรงบรรลุธรรม ได้ตรัสรู้ พระองค์ก็ได้ตรัสพระวาจา ชี้เหตุผลอันเป็นความจริงอีกเช่นเดียวกัน ว่าก่อนแต่นี้ได้เคยตรัสอย่างนี้หรือไม่ ท่านทั้ง ๕ ระลึกได้ว่าไม่เคยตรัส จึงได้น้อมใจเพื่อจะฟัง จึงได้ตรัสแสดงปฐมเทศนา เพราะฉะนั้น พระวาจาที่ตรัสออกตั้งแต่พระวาจาแรกมาโดยลำดับ จึงเป็นคำจริงคำแท้ ที่ประกอบด้วยประโยชน์ จะเป็นที่ชอบใจ หรือไม่เป็นที่ชอบใจของใครก็ตาม เมื่อถึงกาละเวลาที่จะตรัส ก็ตรัสพระวาจานั้น ตรัสสิ่งนั้น ดั่งนี้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงแสดงว่าพระวาจาของพระพุทธเจ้าที่ตรัสทรงสั่งสอนทุกครั้ง จะต้องมีผู้ได้รับประโยชน์ ไม่มีเลยที่จะเปล่าประโยชน์ จะต้องมีผู้ฟังได้ดวงตาเห็นธรรม ได้ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะเป็นอย่างน้อย เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าสุคโตเป็นผู้ที่เสด็จไปดี
อนึ่ง แม้ในด้านที่ทรงเสด็จไปด้วยอริยมรรคดังที่กล่าวมาในเบื้องต้น ซึ่งได้ทรงบรรลุอมตะนิพพานวิชชาวิมุติ ก็คือเมื่อทรงเสด็จไปด้วยอริยมรรค ก็เสด็จไปด้วยอริยผล นิพพาน รวมเป็นโลกุตรธรรมคือมรรคผลนิพาน ซึ่งผลก็คือความดับกิเลส ตัดกิเลสได้เด็ดขาด นิพพานก็ออกจากกิเลส กิเลสไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้น กิเลสที่ทรงละแล้วด้วยมรรคผลนั้นๆ จึงไม่กลับมาสู่พระองค์อีก หรือไม่กลับมาสู่จิตอีกตลอดไป จึงชื่อว่าเสด็จไปดี
และนอกจากนี้การเสด็จไปดีของพระองค์นั้น ยังมีความหมายถึงเสด็จไปโปรดเวไนยนิกร คือหมู่ชนที่พึงฝึกได้พึงแนะนำได้ ด้วยสุขประโยชน์ทั้งปวง เสด็จไปที่ไหนก็โปรดเวไนยนิกรในที่นั้น ให้บรรลุสุขประโยชน์ทั้งนั้น เพราะว่าได้ทรงเสด็จไปด้วยทรงประพฤติประโยชน์เป็นอรรถะจริยา คือประพฤติประโยชน์แก่โลก แก่พระญาติ และประพฤติประโยชน์โดยฐานเป็นพระพุทธเจ้า ไม่มีที่จะเสด็จไปโดยมิได้ทรงประพฤติประโยชน์ เสด็จไปในที่ใด ก็ได้ประทานประโยชน์สุขในที่นั้นทุกแห่งไป เพราะฉะนั้น จึงได้ทรงเป็นปูชนียบุคคลอย่างสูงสุด คือเป็นบุคคลที่พึงบูชาอย่างสูงสุด ทั้งด้วยเครื่องสักการะวรามิสทั้งหลาย ทั้งด้วยการปฏิบัติตาม เพราะฉะนั้น จึงได้ทรงเสด็จไปดี แม้ในด้านเครื่องสักการะวรามิส ก็พรั่งพร้อมบริบูรณ์ไม่ขาดแคลน ไม่เป็นทุคตะคือผู้ขัดสนจนยาก แต่ทรงเป็นสุคตะคือเป็นผู้ที่เสด็จไปดี เป็นผู้ที่มั่งมี มั่งมีด้วยโลกุตรธรรมทั้งหลาย ด้วยกุศลธรรมทั้งหลาย ด้วยธรรมะทั้งปวง และมั่งมีด้วยสักการะวรามิสที่มีผู้นำมาบูชา
พระพุทธคุณบทนี้ยังให้ผลสืบเนื่องมาถึงพุทธศาสนาที่ได้ทรงประดิษฐานตั้งขึ้น และสืบเนื่องมาถึงพระสงฆ์สาวกทั้งปวง สืบเนื่องมาถึงพุทธบริษัททั้งปวง เป็นต้นว่าภิกษุบริษัทซึ่งได้ปฏิบัติดีตามพระธรรมวินัยที่ทรงแสดงแล้วทรงบัญญัติแล้ว ก็ได้รับการบูชาทั้งด้วยเครื่องสักการะวรามิส และทั้งด้วยการปฏิบัติตาม ตลอดมาดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน เพราะฉะนั้น จึงได้ทรงพระนามว่าสุคโตคือเป็นผู้ที่เสด็จไปดีแล้ว ไม่เสด็จไปร้าย แม้ด้วยกายด้วยวาจาด้วยใจอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้ด้วยกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เสด็จไปดีด้วยประทานสุขประโยชน์ทั้งสิ้น และก็เป็นที่ต้อนรับของประชาชนในที่ๆ เสด็จไป ว่าเป็นสวากขตะเป็นผู้เสด็จมาดีแล้ว สำหรับพวกเขาทั้งหลาย พวกประชาชนทั้งหลาย เมื่อพระองค์เสด็จไปดีเป็น สุคโต สุคตะ ประชาชนทุกแห่งก็ต้อนรับพระองค์ ด้วยคำว่า สวากขตะ เสด็จมาดี และพากันสักการะบูชา ทั้งด้วยวัตถุ ทั้งด้วยการปฏิบัติตาม พระพุทธศาสนาจึงได้ตั้งขึ้น และดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน และต่อไป
เพราะฉะนั้น พระพุทธคุณบทนี้ จึงเป็นบทที่ควรจะระลึกถึงให้เห็นชัด ก็จะบังเกิดศรัทธาปสาทะปีติโสมนัส จิตใจก็จะปลอดโปร่งแจ่มใส จากนิวรณ์และอกุศลธรรมทั้งหลาย สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ และเป็นทางนำปัญญาให้เห็นธรรม อันตั้งอยู่ในพระคุณ
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป