แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
จะแสดงพระพุทธคุณบทว่าอนุตโรปุริสทัมสารถิ เป็นสารถีฝึกบุรุษบุคคลที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นจะยิ่งไปกว่า ต่ออีกวันหนึ่ง บุคคลในโลกนี้แบ่งได้เป็น ๒ คือเป็นบุคคลที่ควรฝึก หรือฝึกได้จำพวกหนึ่ง บุคคลที่ไม่ควรฝึก หรือฝึกไม่ได้อีกจำพวกหนึ่ง เรียกตามศัพท์จำพวกแรกก็เรียกว่า ปุริสทัมมะ จำพวกสองก็เรียกว่า ปุริสอทัมมะ
ปุริสทัมะ ๔ จำพวก
และเมื่อจะเทียบกับบุคคลที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงไว้ ๔ จำพวก คือ
๑. อุคคติตัญญู บุคคลผู้รู้เร็ว เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เพียงยกหัวข้อขึ้นก็รู้ตามได้
๒. วิปจิตัญญู บุคคลที่รู้ช้าเข้า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงสั่งสอนยกหัวข้อธรรมะขึ้น เมื่อทรงอธิบายจึงจะเข้าใจ จึงจะรู้ตามได้ บุคคลจำพวกที่
๓. เนยยะ พึงแนะนำได้ คือรู้ช้ากว่าจำพวกที่ ๑ และจำพวกที่ ๒ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงยกหัวข้อธรรมะขึ้นทรงแสดงอธิบาย ครั้งหนึ่งก็ยังไม่เข้าใจ ต้องทรงพร่ำสอนหลายหนบ่อยๆ จึงจะเข้าใจได้ จึงจะรู้ตามได้
บุคคลจำพวกที่ ๔ ปทปรมะ แปลว่ามีบทอย่างยิ่ง อันหมายความว่าเป็นผู้ที่โง่ทึบอย่างยิ่ง ไม่อาจจะที่จะเข้าใจธรรมะที่ทรงแสดงได้
ธรรมะย่อมทวนกระแสโลก
พระพุทธเจ้าเมื่อได้ตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ก็มีแสดงว่า ในชั้นแรกทรงน้อมพระทัยไปเพื่อจะไม่แสดงธรรมสั่งสอน เพราะทรงเห็นว่าธรรมะที่ได้ตรัสรู้ เป็นธรรมะที่ลุ่มลึก ที่ละเอียด และเป็นธรรมะที่ทวนกระแสโลก คือทวนกระแสกิเลส โลกหรือสัตวโลกนั้นมีจิตใจน้อมไปตามกิเลส ตามกระแสกิเลส ตามกระแสโลก มีความติดใจ มีความเพลิดเพลินอยู่กับตัณหา ความดิ้นรนทะยานอยาก และในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งตัณหาทั้งหลาย เป็นกระแสกิเลสที่พัดจิตใจสัตวโลกให้ไหลไป ส่วนธรรมะที่ได้ตรัสรู้ และจะทรงแสดงสั่งสอน ก็กล่าวได้ว่าเป็นกระแสเหมือนกัน แต่กระแสธรรมซึ่งทวนกับกระแสโลก เพราะสอนให้ละตัณหา ละความติดใจ ความเพลิดเพลินอยู่กับตัณหา และอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งตัณหาทั้งหลาย เพราะฉะนั้นจึงได้ทรงน้อมพระทัยไปเพื่อที่จะเป็นผู้ขวนขวายน้อย ไม่ทรงแสดงธรรมสั่งสอน
แต่อาศัยพระกรุณาที่แผ่ไปในสรรพสัตว์ทุกถ้วนหน้า อันท่านแสดงว่าท้าวสหัมบดีพรหมมากราบทูลอาราธนา ด้วยแสดงว่าสัตวโลกที่มีกิเลสธุลีในจักษุคือดวงตาใจน้อยก็มีอยู่ สัตวโลกจำพวกนี้อาจที่จะรู้ตามธรรมะที่ทรงสั่งสอนได้ จึงขอให้ทรงแสดงธรรมะสั่งสอน จึงได้มีบทผูกเป็นภาษาบาลีใช้อาราธนาพระสงฆ์เมื่อเวลาแสดงธรรม ว่า พรหมมา จะ โลกาธิปตี สหัมปติ เป็นต้น ซึ่งท่านก็ถอดใจความเอาได้อย่างหนึ่งว่า ก็คือพระมหากรุณาที่บังเกิดขึ้นในพระทัยของพระองค์ จึงได้ทรงพิจารณาดูสัตวโลก ก็เห็นว่ามีอยู่ ๔ จำพวก ดังที่ได้กล่าวนั้น ซึ่งเปรียบได้กับดอกบัว ๔ เหล่า
ดอกบัว ๔ เหล่านั้น ก็คือดอกบัวที่โผล่ขึ้นมาพ้นน้ำแล้ว ได้รับแสงอาทิตย์ก็จะบานขึ้นได้ทันที ดอกบัวที่อยู่เสมอน้ำ เมื่อโผล่ขึ้นพ้นน้ำในวันต่อไป ต้องแสงอาทิตย์ก็จะบานขึ้นได้ ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำต่ำลงไป วันต่อๆ ไปก็จะโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ต้องแสงอาทิตย์ก็บานได้ กับดอกบัวที่อยู่ก้นสระ ก้นบ่อก้นน้ำ ซึ่งจะต้องเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสที่จะโผล่ขึ้นมาบานได้
บุคคลผู้เป็นอุคคติตัญญูรู้เร็ว ก็เหมือนอย่างดอกบัวที่โผล่ขึ้นมาพ้นน้ำแล้ว ต้องแสงอาทิตย์ก็จะบานทันที บุคคลจำพวกที่เป็นวิปจิตัญญู ก็เหมือนอย่างดอกบัวที่อยู่เสมอน้ำ เมื่อโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำต้องแสงอาทิตย์ก็จะบานได้ บุคคลที่เป็นเนยยะที่พึงแนะนำได้ พร่ำสอนได้ คือต้องสอนบ่อยๆ ต้องพร่ำสอน ก็เหมือนดังดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำลงไป วันต่อๆ มาโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำก็บานได้ ส่วนบุคคลที่เป็นปทปรมะ ที่ทึบอย่างยิ่ง มีบทอย่างยิ่ง เหมือนดอกบัวที่อยู่ก้นสระ ไม่มีโอกาสที่จะโผล่ขึ้นมาบาน เป็นอาหารของปลาเต่าต่อไป
เวเนยยะ
บุคคล ๓ จำพวกข้างต้น คือที่เป็นอุคคติตัญญู รู้เร็ว ที่เป็นวิปจิตัญญู รู้ช้ากว่า และบุคคลที่เป็นเนยยะ ต้องพร่ำสอนจึงรู้ ๓ จำพวกนี้รวมเข้าว่าเป็น เวเนยยะ หรือเทียบเป็นภาษาไทยว่า เวไนย เวไนยสัตว์ คือเป็นสัตวโลกที่พึงแนะนำสั่งสอนได้ พระพุทธเจ้าทรงแผ่พระเมตตาไปในสัตวโลกทุกถ้วนหน้า และเสด็จไปทรงแสดงธรรมะ สั่งสอนจำพวกที่เป็นเวไนยยะ ที่เรียกว่าเวไนยนิกร หมู่ชนที่พึงแนะนำได้ และจำพวกนี้นี่แหละที่เป็นปุริสทัมมะ บุรุษบุคคลที่พึงแนะนำได้ คำว่าเวไนยยะ กับคำว่าปุริสทัมมะ ก็มีอรรถะคือเนื้อความเป็นอย่างเดียวกัน
วิธีที่ทรงเป็นสารถีฝึกบุรุษบุคคล
วิธีที่ทรงเป็นสารถีฝึกบุรุษบุคคลที่ควรฝึกอย่างไรนั้น ได้มีแสดงไว้ในเกสีสูตร ที่มีความย่อว่า นายสารถีฝึกม้าผู้หนึ่งชื่อว่าเกสีได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้ตรัสถามสารถีฝึกม้าผู้นี้ว่าได้ฝึกม้าอย่างไร สารถีฝึกม้าเกสีก็ได้กราบทูลว่าตนได้ฝึกม้าด้วยวิธีฝึกอย่างละเอียดบ้าง ด้วยวิธีฝึกอย่างหยาบบ้าง ด้วยวิธีฝึกทั้งอย่างละเอียดทั้งอย่างหยาบบ้าง พระพุทธองค์ตรัสถามต่อไปว่า เมื่อนายเกสีฝึกม้าด้วยวิธีทั้ง ๓ ดังกล่าวแล้ว แต่ฝึกไม่ได้จะทำอย่างไร นายเกสีก็กราบทูลว่าก็ฆ่าม้านั้นเสีย เพราะว่าถ้าเอาไว้ ความตำหนิติเตียนก็จะบังเกิดขึ้นแก่อาจารย์ฝึกม้า ครั้นนายเกสีได้กราบทูลดั่งนี้แล้ว จึงได้กราบทูลถามว่าพระพุทธองค์ ทรงเป็นสารถีฝึกบุรุษบุคคลอย่างไร จึงได้มีพระคุณฟุ้งขจรไปว่าทรงเป็นสารถี ฝึกบุรุษบุคคลที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นจะยิ่งขึ้นไปกว่า หรือไม่มีที่จะยิ่งขึ้นไปกว่า
พระพุทธองค์จึงตรัสตอบว่า แม้พระองค์เองก็ทรงฝึกบุรุษบุคคล ด้วยวิธีฝึกที่ละเอียดบ้าง ด้วยวิธีฝึกที่หยาบบ้าง ด้วยวิธีฝึกที่ทั้งละเอียดและทั้งหยาบบ้าง และก็ได้ตรัสอธิบายต่อไปว่า ทรงฝึกด้วยวิธีฝึกอย่างละเอียดนั้น คือทรงแสดงว่ากายสุจริตเป็นอย่างนี้ วจีสุจริตเป็นอย่างนี้ มโนสุจริตเป็นอย่างนี้ วิบากผลของกายสุจริตเป็นอย่างนี้ ของวจีสุจริตเป็นอย่างนี้ ของมโนสุจริตเป็นอย่างนี้ เทพเป็นอย่างนี้ มนุษย์เป็นอย่างนี้ ทรงฝึกด้วยวิธีฝึกที่เป็นทั้งอย่างละเอียดทั้งอย่างหยาบนั้น ก็คือทรงฝึกด้วยวิธีทรงแสดงทั้งสองนั้นรวมกัน คือทั้งฝ่ายสุจริต ทั้งฝ่ายทุจริต พร้อมทั้งผล
นายเกสีได้กราบทูลถามต่อไปว่า ถ้าทรงฝึกไม่ได้จะทรงทำอย่างไร พระองค์ก็ตรัสตอบว่าก็ทรงฆ่าเสีย นายเกสีจึงกราบทูลว่า ปาณาติบาตนั้นไม่ควรแก่พระองค์มิใช่หรือ พระพุทธองค์ก็ทรงรับว่าจริงปาณาติบาตนั้นไม่ควรแก่พระองค์ แต่ว่าวิธีฆ่าของพระองค์นั้นก็คือว่า พระองค์ไม่ทรงสำคัญบุคคลนั้นว่าจะพึงทรงกล่าว จะพึงทรงอนุสาสน์พร่ำสอน และสพรหมจารีทั้งหลาย ก็ไม่สำคัญบุคคลนั้น ว่าเป็นผู้ที่จะพึงว่ากล่าว จะเป็นผู้ที่พึงอนุสาสน์สั่งสอน นี้เป็นวิธีฆ่าอย่างแรงในอริยะวินัยนี้ ดั่งนี้
นี้เป็นวิธีฝึกที่ได้ตรัสสอนไว้ และตรัสแสดงไว้ และยังได้ตรัสแสดงต่อไปว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นบุคคลที่เป็นเวเนยยะคือที่พึงแนะนำได้ หรือเป็นปุริสทัมมะคือว่าควรฝึกได้ แต่ก็ยังมีต่างกันเป็น ๔ จำพวก เปรียบเหมือนอย่างม้าอาชาไนย คือม้าที่ฉลาดฝึกได้ ซึ่งเรียกว่าเป็นม้าที่ดี ใช้คำว่าภัทระแปลว่าเจริญหรือแปลว่าดี ก็มี ๔ จำพวก
จำพวกที่ ๑ นั้นพอได้เห็นเงาของปฏักของนายสารถีผู้ฝึก ก็รู้สำนึก ถึงความรู้สำนึกขึ้นได้ทันที ว่านายสารถีฝึกผู้นี้จักให้เรากระทำการอะไรหนอ เราจักกระทำตอบแก่นายสารถีผู้ฝึกนี้อย่างไรหนอ
ม้าอาชาไนยคือม้าที่ฉลาดที่ดีจำพวกที่ ๒ เมื่อเห็นเงาของปฏักก็ยังเฉย ต่อเมื่อปฏักนั้นได้มาทิ่มถูกเข้าที่ขน จึงได้เกิดความสำนึกขึ้นดังกล่าว
ม้าอาชาไนยม้าฉลาดที่ดีจำพวกที่ ๓ ได้เห็นเงาของปฏักก็ยังเฉย ถูกปฏักเข้าที่ขนก็ยังเฉย ต่อเมื่อปฏักนั้นแทรกขนเข้าไปถึงหนัง จึงได้เกิดความสำนึกขึ้นดังกล่าว
ม้าอาชาไนยม้าฉลาดที่ดีจำพวกที่ ๔ นั้น เห็นเงาของปฏักก็เฉย ปฏักทิ่มเข้าที่ขนก็ยังเฉย ปฏักแทรกเข้าไปถึงหนังก็ยังเฉย ต่อเมื่อปฏักแทรกเนื้อเข้าไปถึงกระดูก จึงรู้สึกขึ้นรับการฝึกดังกล่าวนั้น
บุรุษอาชาไนย ๔ จำพวก
แม้บุรุษอาชาไนย คือบุรุษผู้ฉลาดที่ดี ก็มี ๔ จำพวกเหมือนกัน จำพวกที่ ๑ นั้น ได้ยินว่าได้มีชายหรือหญิงในหมู่บ้านโน้นถึงความทุกข์ ทำกาละกิริยาคือตาย ก็สังเวช ได้สังเวชคือความสำนึก และเมื่อได้สังเวชคือความสำนึก ก็ตั้งความเพียรโดยแยบคาย เมื่อตั้งความเพียรปฏิบัติโดยแยบคาย ก็กระทำให้แจ้ง ปรมะสัจจะ คือสัจจะอย่างยิ่ง ด้วยกาย คือด้วยนามกาย ย่อมเห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา ก็เทียบได้กับม้าอาชาไนยม้าฉลาดที่ดีจำพวกที่ ๑ พอได้เห็นเงาปฏัก ก็เกิดความสำนึกรับการฝึกทันที
จำพวกที่ ๒ บุรุษอาชาไนยคือบุคคลที่ฉลาดที่ดี เมื่อได้ยินได้ฟังว่าได้มีชายหรือหญิงถึงความทุกข์ ทำกาละคือตายในบ้านโน้นก็ยังเฉย ต่อเมื่อได้เห็นชายหรือหญิงถึงความทุกข์ทำกาละตายด้วยตา จึงสังเวช ถึงความสังเวชคือสำนึกรู้ สำนึกรู้แล้วก็ตั้งความเพียรโดยแยบคาย ตั้งความเพียรโดยแยบคายแล้ว ก็ทำให้แจ้งสัจจะอย่างยิ่งด้วยนามกาย เห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา ก็เทียบได้กับม้าอาชาไนยม้าฉลาดที่ดีจำพวกที่ ๒ ซึ่งเมื่อเห็นเงาปฏักก็ยังเฉย ต่อเมื่อปฏักมาทิ่มเข้าที่ขนจึงได้ความสำนึกรู้รับการฝึก บุรุษอาชาไนย บุรุษผู้ฉลาดที่ดีจำพวกที่ ๓ นั้น ได้ฟังและได้เห็นชายหรือหญิงที่ตายก็ยังเฉย ต่อเมื่อได้มีญาติสาโลหิตมิตรสหายถึงความทุกข์ทำกาละกิริยาคือตาย จึงสังเวช ถึงความสังเวชสำนึกรู้ สังเวชแล้วก็ตั้งความเพียรโดยแยบคาย ตั้งความเพียรแล้วก็ทำให้แจ้งสัจจะอย่างยิ่งด้วยนามกาย เห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญา
บุรุษอาชาไนย คือบุรุษผู้ฉลาดที่ดีจำพวกที่ ๔ นั้น ได้ยินได้เห็นชายหรือหญิงถึงความทุกข์ ทำกาละคือตาย หรือได้มีญาติสาโลหิตมิตรสหายตาย ก็ยังเฉย ต่อเมื่อตนเองเกิดทุกข์ขึ้น ได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้าจนถึงให้ตายได้ จึงได้ความสังเวชสำนึกรู้ และเมื่อสังเวชก็ตั้งความเพียรโดยแยบคาย ตั้งความเพียรแล้วก็กระทำให้แจ้งสัจจะอย่างยิ่งด้วยนามกาย เห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญาได้
ดั่งนี้ ก็เป็นอันว่าแม้ที่เรียกว่าเป็นบุรุษอาชาไนยคือคนฉลาดที่ดี ก็คือที่เป็นปุริสทัมมะ ที่เป็นเวเนยยะดังกล่าวแล้ว ก็ยังแตกต่างกันไป ๔ จำพวกดั่งนี้ ก็เหมือนอย่างที่เป็นม้าอาชาไนย คือม้าฉลาดที่ดีก็มี ๔ จำพวกเช่นเดียวกัน อย่างที่ดีอย่างยิ่งนั้นพอเห็นเงาปฏักก็รับฝึกแล้ว อย่างสุดท้ายคือที่ ๔ นั้นต้องปฏักทิ่มเข้าไปถึงกระดูกจึงรับฝึก
บุรุษแม้ที่เป็นบุรุษอาชาไนยคนฉลาดที่ดีก็เหมือนกัน ที่เป็นอย่างไว แม้ได้ยินว่าได้มีชายหญิงตายในบ้านโน้นก็ได้สังเวช ก็ตั้งความเพียร ก็กระทำให้แจ้ง ปรมะสัจจะ สัจจะอย่างยิ่งด้วยนามกาย เห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญาได้ จนถึงทุกข์นั้นมาถึงแก่ตนเอง ตนเองต้องทุกข์อย่างยิ่ง จนถึงใกล้จะตาย หรือเกือบตายนั่นแหละ จึงจะได้สังเวช ตั้งความเพียร ทำให้แจ้งปรมะสัจจะด้วยนามกาย เห็นแจ้งแทงตลอดด้วยปัญญาได้ ดั่งนี้ เพราะฉะนั้น แม้เป็นบุคคลที่ควรฝึกได้ จนถึงที่เรียกว่าเป็นบุรุษอาชาไนย เป็นคนฉลาดเป็นคนดี ก็ยังมีแตกต่างกันดั่งนี้ และก็ดังที่ได้มีจำแนกไว้อีกนัยหนึ่ง ดังกล่าวมาข้างต้น คือเป็นอุคคติตัญญู วิปจิตัญญู และเป็นเนยยะ เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายซึ่งได้มาศึกษาเล่าเรียน ปฏิบัติพระพุทธศาสนา คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็นับว่าเป็นผู้ที่ได้มีกุศลที่ได้ทำมาแล้วในอดีต และกำลังทำอยู่ในปัจจุบัน ก็พึงกระทำตนให้เป็นปุริสทัมมะ ให้เป็นเวเนยยะ ให้เป็นบุรุษอาชาไนยที่ดีของพระพุทธเจ้า
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป