แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ได้แสดงพระพุทธคุณนำเป็นพุทธานุสสติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้าโดยพระคุณ และในพระพุทธคุณแต่ละบท ก็ย่อมประกอบด้วยธรรมคุณ ประกอบด้วยธรรมปฏิบัติ มีสติปัฏฐานเป็นต้นรวมอยู่ด้วยทุกข้อทุกบท วันนี้จะได้แสดงพระพุทธคุณบทว่า อนุตโรปุริสทัมสารถิ คำว่า อนุตโร แปลว่าไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าคือยอดเยี่ยม ปุริสทัมสารถิ แปลว่าเป็นสารถีฝึกบุรุษบุคคลที่ควรฝึก ทั้งสองบทนี้โดยปรกติประกอบเป็นพระพุทธคุณบทเดียวกัน แต่ก็อาจอธิบายแยกเป็นสองบทได้ คืออนุตโร บทหนึ่ง ปุริสทัมสารถิ บทหนึ่ง และอาจอธิบายรวมกันเป็นบทเดียวได้ ว่าเป็นสารถีฝึกบุรุษบุคคลที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นจะยิ่งไปกว่า คือยอดเยี่ยม จะได้แสดงบทว่าอนุตโร ผู้ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า คือยอดเยี่ยมกว่า
พระพุทธคุณบทว่าอนุตโร
(เริ่ม) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ชื่อว่า ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า คือยอดเยี่ยม ตั้งแต่ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดังที่ได้ตรัสแสดงไว้ในปฐมเทศนาซึ่งมีความว่า เมื่อใดญาณคือความหยั่งรู้ ที่มีวนรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ บริสุทธิ์บริบูรณ์แก่พระองค์ เมื่อนั้นพระองค์จึงทรงปฏิญญาว่า พระองค์ได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ คือความตรัสรู้โดยชอบ เป็นอนุตระ ไม่มีความตรัสรู้อื่นยิ่งไปกว่า คือยอดเยี่ยม ดั่งนี้
เพราะฉะนั้น จึงมักเรียกกันว่า อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ญาณคือความตรัสรู้ที่เป็นอนุตระ ยอดเยี่ยมดังกล่าว และกล่าวว่าตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดั่งนี้ จะต้องเป็นอนุตระคือไม่มีญาณอื่นยิ่งขึ้นไปกว่า จึงจะเป็นความตรัสรู้จบ เป็นความตรัสรู้สูงสุด ถ้ายังไม่เป็นอนุตระ ความตรัสรู้นั้นก็ยังจะต้องมียิ่งๆ ขึ้นไปอีก คือยังไม่ถึงที่สุด ดังจะพึงเห็นได้ที่ตรัสที่แสดงไว้ถึงความตรัสรู้ของพระองค์ในราตรีที่ตรัสรู้นั้น
ในปฐมยามแห่งราตรีทรงได้ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ญาณคือความระลึกรู้ขันธ์เป็นที่อาศัยอยู่ในปางก่อนได้ คือระลึกชาติได้ แม้พระญาณนี้ก็ยังไม่เป็นอนุตระ เพราะยังจะต้องตรัสรู้ต่อยิ่งขึ้นไปอีก
ในมัชฌิมยามแห่งราตรี ทรงได้ จุตูปปาตญาณ คือความรู้ในจุติคือความเคลื่อน อุปบัติคือเข้าถึงชาติภพนั้นๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ว่าเป็นไปตามกรรม แม้ความตรัสรู้นี้ก็ยังไม่เป็นอนุตระ เพราะยังจะต้องตรัสรู้ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก
ในปัจฉิมยามแห่งราตรี ทรงได้ อาสวักขยญาณ ความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะทั้งหลาย คือได้ตรัสรู้ในอริยสัจจ์ ๔ วนรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ ดั่งที่ตรัสแสดงไว้ในปฐมเทศนา จึงเป็นอันว่าทรงได้ความตรัสรู้ที่เป็นอนุตระ ไม่มีความตรัสรู้อื่นจะยิ่งขึ้นไปกว่า เป็นยอดเยี่ยม เป็นที่สุด คือเป็นอันว่ารู้จบ เพราะฉะนั้น จึงทรงได้พระนามว่าอนุตโร ไม่มีผู้อื่นจะยิ่งขึ้นไปกว่าในความตรัสรู้
เพราะไม่มีความรู้อื่นใดทั้งสิ้น จะยิ่งไปกว่าความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า อันเป็นเหตุทำอาสวะกิเลสทั้งหลายให้สิ้นไป เป็นความรู้จบ เสร็จกิจที่จะพึงทำ เพื่อที่จะแสวงหาความรู้ที่ยิ่งขึ้นไปอีก และเพราะเหตุนี้จึงทรงได้พระนามว่าอนุตโรในความตรัสรู้ และเมื่อได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนา ก็ได้ทรงเป็นพระศาสดาเอกในโลก เพราะเหตุที่ได้ทรงบำเพ็ญอรรถจริยา คือความประพฤติประโยชน์แก่โลกก็ดี แก่พระญาติก็ดี และโดยฐานะเป็นพระพุทธเจ้าก็ดี เป็นอย่างยอดเยี่ยม ไม่มีผู้อื่นจะยิ่งไปกว่าในด้านทรงบำเพ็ญประโยชน์
และทั้งนี้ก็ควรจะย้อนกลับมาอีกว่า พระองค์ทรงประกอบด้วยพระคุณทั้งปวง เป็นต้นว่า ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติคือความหลุดพ้น และวิมุติญาณทัสสนะความรู้ความเห็นในความหลุดพ้นเป็นอย่างยอดเยี่ยม คือสมบูรณ์บริบูรณ์ ไม่มีที่จะยิ่งขึ้นไปกว่าอีก ก็คือศีลก็บริบูรณ์ สมาธิปัญญาวิมุติ วิมุติญาณทัสสนะก็บริบูรณ์ทั้งหมดหรือจะแสดงยกเอา โพธิปักขิยธรรม มาเป็นที่ตั้ง ก็ทรงประกอบด้วยสติปัฏฐานทั้ง ๔ อิทธิบาททั้ง ๔ สัมปชานะทั้ง ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และมรรคมีองค์ ๘ อย่างยอดเยี่ยม อันหมายความว่าบริสุทธิ์บริบูรณ์ทุกข้อทุกบท ไม่มีที่จะต้องทรงปฏิบัติแก้ไข หรือเพิ่มเติมให้ยิ่งๆ ขึ้นไปอีก เพราะว่าได้บริสุทธิ์บริบูรณ์อยู่ในพระองค์แล้วทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น จึงทรงเป็นอนุตโร ในด้านที่ทรงประกอบด้วยธรรมะทั้งหลาย บริสุทธิ์บริบูรณ์ทั้งหมด
และเมื่อจะกล่าวโดยพระคุณดังที่แสดงมาเฉพาะบทๆ ก็ดี หรือว่ารวมเข้าเป็นพระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ พระคุณทั้ง ๓ ที่สรุปเข้ามานี้ ก็มีบริสุทธิ์บริบูรณ์ในพระองค์ ปัญญาก็เป็นอนุตระ คือไม่มีปัญญาความรู้อื่นจะยิ่งขึ้นไปกว่า ความบริสุทธิ์ก็เป็นอนุตระ คือไม่มีความบริสุทธิ์อื่นจะยิ่งขึ้นไปกว่า
พระกรุณาก็เป็นอนุตระ คือไม่มีพระกรุณาอื่นจะยิ่งขึ้นไปกว่า เพราะว่าได้ทรงมีพระปัญญาคือความตรัสรู้ถึงที่สุดแล้ว ความบริสุทธิ์ก็ถึงที่สุดแล้ว พระกรุณาก็ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีที่จะต้องขวนขวายยิ่งขึ้นไปกว่า เพราะฉะนั้นจึงทรงได้พระนามว่าอนุตโร คือเป็นผู้ที่ไม่มีผู้อื่นยิ่งไปกว่าโดยพระคุณ ไม่มีพระคุณอื่นยิ่งขึ้นไปกว่า ซึ่งจะต้องทรงปฏิบัติแก้ไขเพิ่มเติมยิ่งๆ ขึ้นไป
พระพุทธคุณบทว่า ปุริสทัมสารถิ
แม้จะยกขึ้นกล่าวจำเพาะข้อที่คู่กัน คือ ปุริสทัมสารถิ ผู้ฝึกบุรุษบุคคลที่ควรฝึก ก็ทรงฝึกได้เป็นอนุตระคือไม่มีผู้อื่นซึ่งเป็นผู้ฝึก จะฝึกได้ยิ่งไปกว่าพระองค์ เมื่อกล่าวโดยสรุป ก็เพราะพระองค์ทรงฝึกได้ให้บรรลุถึงประโยชน์ทั้ง ๓ คือ ทิฏฐธรรมิกัตถะประโยชน์ปัจจุบัน สัมปรายิกัตถะ ประโยชน์ภายหน้า และ ปรมัตถะ ประโยชน์อย่างยิ่ง คือมรรคผลนิพพาน จึงไม่มีผู้ใดที่จะฝึกบุคคลที่ควรฝึกได้เหมือนอย่างพระองค์ เพราะไม่สามารถจะฝึกให้บรรลุถึงประโยชน์ได้ครบทั้ง ๓ ได้ ฝึกได้ให้บรรลุถึงประโยชน์ปัจจุบันบ้าง ประโยชน์ภายหน้าบ้าง กันเท่านั้น แต่ที่จะให้บรรลุถึงมรรคผลนิพพานนั้นหาได้ไม่ พระองค์ทรงฝึกได้ และทรงฝึกได้เป็นพิเศษยิ่งไปกว่าพระสาวกทั้งหลาย แม้ว่าพระสาวกผู้เป็นพระอรหันต์ประกอบด้วยวิชชา ๓ อภิญญา ๖ ก็ตาม แต่ก็มิได้สามารถจะฝึกคนที่ควรฝึกได้เหมือนพระองค์ เท่าเทียมพระองค์
แม้จะทรงสรรเสริญท่านพระสารีบุตร ซึ่งทรงยกย่องเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศด้วยปัญญา อาจจะแสดงธรรมจักรได้เช่นที่พระองค์ได้ทรงแสดง แต่ท่านพระสารีบุตรก็แสดงได้โดยแสดงตามพระองค์ แต่ท่านสามารถที่จะอธิบายขยายความได้อย่างกว้างขวางเท่านั้น เพราะฉะนั้น แม้ท่านพระสารีบุตรเองก็ยังได้กล่าวแสดงไว้ ดังที่ปรากฏในบางพระสูตรว่า มิได้ทรง ท่านมิได้รู้ถึงหยั่งถึงพระสัมมาสัมโพธิญาณของพระพุทธเจ้า เมื่อท่านแสดงสรรเสริญพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้า ท่านก็แสดงไปตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงมาแล้ว เช่นแสดงตามหลักปฏิจจสมุปบาทธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น ที่พระพุทธเข้าได้ทรงแสดงแล้ว ขยายให้พิสดารออกไป และก็แสดงได้ตามหลักของโพธิปักขิยธรรมเป็นต้น ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงแล้ว และท่านก็หยั่งไปตามธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงแล้วนั้น เพราะพระพุทธเจ้าได้เป็นผู้ตรัสรู้แล้ว ได้ทรงรู้ทรงเห็นทั้งหมดแล้ว แต่ไม่สามารถที่จะรู้ยิ่งขึ้นไปกว่า เพราะฉะนั้น จึงได้ทรงได้ชื่อว่าเป็นอนุตโร ไม่มีผู้อื่นจะยิ่งขึ้นไปกว่า แม้ในด้านเป็นครูฝึกบุรุษบุคคลที่ควรฝึก
จึงมาถึงข้อปุริสทัมสารถิ ทรงฝึกเหมือนอย่างเป็นสารถีฝึกม้า ทรงฝึกบุรุษบุคคลที่ควรฝึก ซึ่งตามศัพท์นั้นใช้ว่า ปุริสทัมมะ แปลว่าบุรุษที่ควรฝึก แต่คำนี้ก็หมายถึงสตรีด้วย เป็นแต่เพียงยกบุรุษขึ้นมาเป็นประธาน เพราะว่าเป็นคำที่เนื่องมาจากคำว่าสารถี คำว่าสารถีนี้หมายถึงผู้ฝึกช้างฝึกม้าฝึกโค และก็หมายถึงผู้ที่มีหน้าที่ขับรถขับม้า ขับรถขับเกวียนด้วย เพราะผู้ที่ขับรถเทียมม้าก็จะต้องบังคับม้าได้ และผู้ที่จะบังคับม้าได้นั้นก็จะต้องเป็นผู้ที่ฝึกม้าได้ จึงจะรู้วิธีที่จะบังคับม้าได้ ฉะนั้น เมื่อมาใช้คำนี้ ถึงท่านผู้มีหน้าที่ฝึกคน จึงใช้คำว่าปุริสะคือบุรุษ เพราะว่าช้างม้าโคที่ฝึกนั้น ส่วนใหญ่ก็ใช้โคผู้ ช้างก็ใช้ช้างพลายคือช้างผู้ ม้าก็ใช้ม้าผู้ เพราะว่าต้องการที่จะฝึกเพื่อใช้เป็นพาหนะในการออกสงครามบ้าง ในการที่จะใช้แรงงาน เช่นเทียมรถ หรืองานอื่นๆ บ้างตามต้องการ จึงมักจะใช้ฝึกช้างผู้ ม้าผู้ โคผู้
เมื่อมาใช้คำว่าสารถีถึงผู้ฝึกบุคคล จึงใช้คำว่าปุริสทัมมะบุรุษที่ควรฝึก เพื่อให้เข้าเรื่องกันกับสารถีที่ฝึกช้างฝึกม้าดังกล่าวนั้น แต่ก็มีความหมายคลุมถึงทั้งบุรุษทั้งสตรีซึ่งเป็นมนุษย์ และก็หมายไปถึงสัตว์เดรัจฉานที่พึงฝึกได้ด้วย สำหรับที่พระพุทธเจ้าทรงฝึกมนุษย์ทั้งบุรุษสตรีนั้น ก็เป็นที่ประจักษ์ และที่ทรงฝึกถึงสัตว์เดรัจฉานนั้น ก็ดังเช่นที่ได้ทรงแผ่พระเมตตา ทำให้ช้างนาฬาคีรีซึ่งดุร้าย เชื่องและไม่แสดงอาการโหดร้าย สงบความโหดร้าย กลายเป็นช้างที่สงบได้เป็นต้น
พระพุทธเจ้าได้ทรงเป็นผู้ฝึกบุรุษ คือบุคคลที่ควรฝึก จึงหมายความว่ายังมีบุคคลที่ไม่ควรฝึก หรือที่ฝึกไม่ได้อีกพวกหนึ่ง เพราะฉะนั้น คำนี้จึงมีความหมายถึงว่าบุคคลในโลกนี้มีอยู่ ๒ จำพวก จำพวกหนึ่งเป็น ปุริสทัมมะ คือบุคคลที่ฝึกได้ อีกจำพวกหนึ่งเป็น ปุริสะอทัมมะ ที่เรียกสนธิกันว่า ปุริสาทัมมะ ปุริสาทัมมะ บุรุษบุคคลที่ฝึกไม่ได้ หรือไม่ควรฝึก
พระพุทธเจ้าจึงทรงฝึกได้เฉพาะที่เป็นปุริสทัมมะ คือเป็นบุคคลที่ควรฝึกเท่านั้น ส่วนบุคคลที่ไม่ควรฝึกนั้น ก็เป็นอันว่าไม่ทรงฝึก ดังจะพึงเห็นได้ในพุทธประวัติ ว่าบุคคลผู้ที่มีปัญญาที่ทึบเกินไปก็ดี บุคคลที่ได้ประกอบกรรมที่เป็นอนันตริยกรรม เช่นว่าฆ่ามารดาฆ่าบิดาเป็นต้นก็ดี ซึ่งเป็นกรรมหนัก บุคคลที่มีทิฏฐิมานะแรงกล้า เช่นมีมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดที่ดิ่งลง ที่เรียกว่านิยตมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดที่ดิ่งลงแก้ไม่ได้ ที่มีมานะถือตัวอย่างแรง ดั่งนี้ ก็เป็นอันว่าเป็นผู้ที่ไม่ทรงฝึก เพราะแม้จะทรงฝึกก็ไม่สำเร็จ
สำหรับบุคคลที่ได้มีความโง่เขลาอย่างมากก็ดี บุคคลที่ได้ประกอบกรรมหนักไว้มากก็ดี ก็เป็นอันว่าแม้จะได้ฟังธรรมะของพระองค์ ธรรมะก็ไม่เข้าถึง จะตรัสรู้ธรรมะได้ดวงตาเห็นธรรมในธรรมะนั้นไม่ได้ ดังเช่นพระเจ้าอชาตศัตรู ซึ่งได้ทำปิตุฆาต พระเจ้าพิมพิสารผู้พระราชบิดา ย่อมไม่อาจที่จะได้ดวงตาเห็นธรรม แต่ว่าเมื่อได้ฟังธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ก็ได้ความสำนึกในบาปที่ได้กระทำ และได้กราบทูลสารภาพบาปที่ได้ทรงกระทำแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ทรงรับทราบ ก็ทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูนั้นสบายพระทัย และก็ถึงพระองค์เป็นสรณะได้ แต่ไม่อาจจะได้ธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรมได้ เพราะเป็นผู้ที่มีกรรมหนักกั้นเอาไว้
สำหรับผู้ที่มีทิฏฐิมานะ ถ้าหากว่าทิฏฐิมานะนั้นไม่ใช่เป็นนิยตะคือดิ่งลงไป อาจจะแก้ไขได้ เมื่อละทิฏฐิมานะนั่นได้ ก็จะเป็นผู้ที่ฝึกได้ ( เริ่ม) สำหรับผู้ที่ฝึกไม่ได้นั้น ยกตัวอย่างก็เช่นท่านอาจารย์สญชัย ของท่านพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะ เมื่อท่านยังเป็นปริพาชก ก็ได้เข้าสำนักเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์สญชัย เมื่อท่านได้พบกับพระอัสสชิ ได้ฟังเทศนาย่อของท่านพระอัสสชิ ท่านได้ดวงตาเห็นธรรม ก็กลับไปชักชวนอาจารย์ให้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยกัน แต่ท่านอาจารย์สญชัยไม่ยอม และได้กลับถามลูกศิษย์ทั้งสองที่มาชักชวนว่า คนในโลกนี้ คนโง่ๆ มาก หรือคนฉลาดมาก ท่านทั้งสองก็ตอบท่านอาจารย์ว่า คนโง่มาก ท่านอาจารย์สญชัยจึงได้กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นก็ให้คนฉลาดไปหาพระสมณะโคดม ส่วนคนโง่นั้นให้มาหาเรา และก็ได้กล่าวว่าท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ เหมือนเป็นจรเข้ใหญ่อยู่ในน้ำ จะเอาจรเข้ใหญ่ไปใส่ตุ่มเล็กๆ ไว้นั้นไม่ได้ ดั่งนี้ ก็เป็นอันว่าท่านมีทิฏฐิมานะแรงกล้า ไม่ยอมที่จะรับเทศนาของพระพุทธเจ้า จึงเป็นอันว่าฝึกไม่ได้
ส่วนท่านปุราณชฎิล คือท่านชฎิลสามพี่น้อง ที่มีบริวารรวมกันเข้าเป็นจำนวนมาก ที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปทรงฝึก ในทีแรกท่านชฎิลผู้เป็นพี่ใหญ่นั้น ก็ได้สำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ ไม่ยอมรับที่จะฟังเทศนาของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ เมื่อทรงแสดงไปครั้งหนึ่งๆ ท่านชฎิลผู้เป็นพี่ใหญ่นั้นก็นึกชมอยู่ในใจ ว่าพระพุทธเจ้าเก่งสามารถ แต่ว่าถึงเช่นนั้นก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงอีก ท่านก็คงคิดอย่างนั้น ท่านชม แต่ท่านก็ว่ายังไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา ในที่สุดเมื่อพระพุทธเจ้าได้แสดง ทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์หลายอย่างหลายประการ ในที่สุดท่านก็ยอมว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้เลิศ แต่ท่านเองนั้นยังไม่ได้ไม่ถึงเหมือนพระพุทธเจ้า ก็เป็นอันว่าท่านลดทิฏฐิมานะลงได้ ยอมรับฟังคำสั่งสอนของพระองค์ เมื่อจิตใจของท่านอ่อนลงมา ยินยอมที่จะฟังคำสั่งสอนของพระองค์ดั่งนี้ พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงแสดงธรรมะโปรดเป็นเทศนาครั้งที่ ๓
แม้ในเทศนาครั้งแรกที่พระองค์ทรงแสดงแก่ท่านฤษีทั้ง ๕ ที่เรียกว่าพระเบ็ญจวัคคีย์ ท่านทั้ง ๕ นั้นทีแรกก็ไม่ยอมที่จะรับว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เหมือนกัน แต่เมื่อพระองค์ได้ทรงแสดงว่าเมื่อก่อนแต่นี้พระองค์ได้เคยตรัสแก่ท่านทั้ง ๕ นี้ ว่าเราได้ตรัสรู้ ได้มาที่จะแสดงอมตธรรมแก่ท่านทั้ง ๕ พระองค์ได้เคยตรัสอย่างนี้หรือไม่ ท่านทั้ง ๕ จึงระลึกได้ว่า พระองค์ไม่เคยตรัสอย่างนี้ เมื่อเป็นดั่งนี้ท่านทั้ง ๕ นั้นจึงมีใจที่อ่อนลง เป็นอันว่าได้คลายทิฏฐิมานะ พร้อมที่จะฟังธรรมเทศนา พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงแสดงปฐมเทศนาโปรด เพราะฉะนั้น ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงแสดงธรรมเทศนาทุกคราวนั้น ก็จะต้องทรงทราบถึงอุปนิสัยอินทรีย์เป็นต้น ของผู้ที่จะรับธรรมเทศนาก่อน ว่าเป็นเช่นไร ถ้ายังมีทิฏฐิมานะอยู่ พระองค์ก็ยังไม่ทรงแสดงธรรมเทศนาโปรด ถ้าจะเป็นบุคคลที่อาจฝึกได้ พระองค์ก็จะแสดงที่เรียกว่าเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์ที่เป็นฤทธิ์บ้าง และอาเทสนาปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์คือความที่ดับใจ คืออ่านใจได้ และก็ได้ตรัสดับใจอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง จนเขาคลายทิฏฐิมานะ หรือคลายความคิดเห็นในทางที่ผิด แล้วจึงจะทรงแสดงอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือทรงพร่ำสอน
เพราะฉะนั้น ทุกๆ คราวที่ทรงแสดงธรรมะสั่งสอน จะต้องทรงตรวจอุปนิสัย ตรวจวาสนาบารมี ตรวจอินทรีย์ของผู้ฟังเสียก่อนว่าเป็นอย่างไร และจะต้องทรงดัดทิฏฐิมานะของผู้ฟังลงก่อน ให้พร้อมที่จะฟัง แล้วจึงทรงแสดงธรรม และธรรมะที่ทรงแสดงนั้นก็ต้องเหมาะแก่พื้นอัธยาศัย อินทรีย์ของผู้ฟังด้วย ผู้ที่มีอินทรีย์อ่อนก็ต้องทรงอบรมด้วยธรรมะที่เป็นเบื้องต้นให้ปฏิบัติ จนมีอินทรีย์แก่กล้าขึ้นมา พอสมควรแก่ธรรมะชั้นไหนก็ทรงแสดงธรรมะชั้นนั้นสั่งสอน เมื่อเป็นดั่งนี้ผู้ฟังทั้งหลายจึงได้รับประโยชน์ ตามสมควรแก่ภูมิชั้นของตน อันเรียกว่าปุริสทัมมะเป็นบุคคลที่ฝึกได้ และก็ทรงทำให้เขาเป็นบุคคลที่ฝึกได้ด้วย ในเมื่อเขานั้นเป็นผู้ที่สามารถจะละทิฏฐิมานะ สามารถที่จะอบรมพื้นภูมิของตน ให้สูงขึ้นๆ ตามที่ทรงแนะนำไปโดยลำดับ
เพราะฉะนั้น มิใช่ว่าบุคคลทุกๆ คนนั้นจะเป็นบุคคลที่ฝึกได้ทีเดียว ทีแรกก็อาจจะเป็นบุคคลที่ฝึกไม่ได้ แต่ว่าสามารถที่จะฝึกได้ ก็ทรงฝึกไปก่อนตามขั้นตอน ตลอดจนถึงทรงสั่งสอนเพื่อที่จะให้เข้าถึงธรรมะไปตามควรแก่ภูมิชั้น ทั้งนี้ก็เพราะทรงประกอบด้วยพระญาณต่างๆ ดังเช่นทศพลญาณ พระญาณที่มีกำลังเก้า ที่มีกำลังสิบ เพราะฉะนั้น จึงเรียกพระพุทธองค์ว่าพระทศพล และยังทรงประกอบด้วยพระญาณอื่นๆ จึงทำให้สามารถทรงประกาศพระพุทธศาสนา ตั้งพุทธบริษัทได้สำเร็จ เพราะฉะนั้นจึงทรงได้พระนามว่าเป็นผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นจะยิ่งขึ้นไปกว่า
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป