แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
จะแสดงพระพุทธคุณบทที่ ๒ สัมมาสัมพุทโธ นำสติปัฏฐาน เพื่อให้สำเร็จเป็นพุทธานุสสติระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระพุทธคุณบทนี้เป็นพระพุทธคุณบทใหญ่คู่กับบทว่า อรหํหรือ อะระหัง และมักจะเรียกควบกันอยู่เสมอ ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อรหันตะก็มาจากอะระหัง
อรหัง อรหันต์
คำว่า อะระหัง นี้ก็มีความเป็นอย่างเดียวกันกับ อะระหันตะ หรืออรหันต์ แต่ว่าในทางพูดเรียกสำหรับพระพุทธเจ้าก็ใช้ว่า อะระหัง ถ้าเป็นพระสาวกใช้ว่า อะระหันตะ หรือ อรหันต์ เพื่อให้ต่างกัน แม้ในบทสวดภาษาบาลีแห่งพระพุทธคุณทั้ง ๒ นี้ เราทั้งหลายก็สวดว่า อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ แต่ว่าในเวลาพูดเป็นภาษาไทย ก็ไม่พูดกันว่าพระอะระหังสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มักพูดกันว่าพระอะระหันตะสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะใช้พูดกันอย่างนี้ รู้สึกว่าเต็มปากเต็มคำ และถนัด จึงนิยมพูดในภาษาไทยกันว่าพระอะระหันตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่ว่าภาษาบาลีของท่านนั้น อะระหังสำหรับพระพุทธเจ้า อะระหันตะ หรือ อรหันต์สำหรับพระสาวก แต่อรรถะคือเนื้อความก็เป็นอย่างเดียวกัน จึงควรที่จะเข้าใจความหมายของพระพุทธคุณบทนี้ ซึ่งประกอบด้วยคำว่า สัมมา สัง และ พุทธะ สัมมา นั้นแปลว่าโดยชอบ สัง แปลว่า สามัง คือเอง พุทธะ ก็ตรัสรู้ รวมกันเป็นสัมมาสัมพุทธะที่แปลว่าผู้ตรัสรู้โดยชอบและเอง หรือแปลว่าผู้ตรัสรู้เองโดยชอบก็ได้
สัมมัตตะ ๑๐ ประการ
คำว่าโดยชอบนี้มีความหมายถึงว่า ความตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นความตรัสรู้โดยชอบคือถูกต้อง และมีความหมายอีกอย่างหนึ่งว่า เป็นความตรัสรู้โดยชอบที่มีพยาน หรือผู้รับรองในความตรัสรู้นั้น ว่าเป็นความตรัสรู้โดยชอบหรือถูกต้อง ความหมายประการแรกว่าโดยชอบหรือถูกต้อง ก็หมายถึงว่า ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นความถูกต้อง ที่อาจยกเอา สัมมัตตะ คือความเป็นสิ่งถูกต้อง หรือความเป็นสิ่งชอบ ซึ่งได้ตรัสแสดงไว้ ๑๐ ประการ
คือ มรรคมีองค์ ๘ อันได้แก่สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะความดำริชอบ ทั้ง ๒ นี้รวมเข้าเป็นปัญญา สัมมาวาจาเจรจาชอบ สัมมากัมมันตะการงานชอบ สัมมาอาชีวะเลี้ยงชีวิตชอบ ๓ นี้รวมเข้าเป็นศีล สัมมาวายามะเพียรชอบ สัมมาสติระลึกชอบ สัมมาสมาธิตั้งใจชอบ ๓ นี้รวมเข้าเป็นสมาธิ หรือจิตตสิกขา
จึงรวมเข้าเป็นปัญญาหรือปัญญาสิกขา รวมเข้าเป็นศีลหรือสีลสิกขา รวมเข้าเป็นสมาธิหรือจิตตสิกขา นี้เป็น ๘ กับอีก ๒ คือ สัมมาญาณะ ความหยั่งรู้ชอบ สัมมาวิมุติ ความพ้นชอบ (เริ่ม) สัมมาญาณะความหยั่งรู้ชอบนั้น ก็อาจยกญาณ ๓ ขึ้นแสดงได้ คือญาณความหยั่งรู้ที่ระลึกขันธ์เป็นที่อาศัยอยู่ในกาลก่อน คือระลึกชาติได้ ญาณที่หยั่งรู้ความจุติคือความเคลื่อน อุปบัติคือความเข้าถึงภพชาตินั้นๆของสัตว์ทั้งหลาย และญาณคือความหยั่งรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวะกิเลสที่ดองจิตสันดาน สัมมาวิมุติหรือวิมุติความหลุดพ้นชอบ ก็คือความหลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ทั้งปวงสิ้นเชิง รวมเป็นสัมมัตตะคือความเป็นสิ่งชอบหรือถูกต้อง พระพุทธเจ้าตรัสรู้โดยชอบ ก็โดยเป็นสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบเป็นต้น เหล่านี้
ส่วนอีกความหมายหนึ่งที่กล่าวว่า ความตรัสรู้ชอบของพระองค์นั้นมีพยาน หรือผู้รับรอง ก็ได้แก่หมู่แห่งสาวกคือผู้ฟังซึ่งเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ก็เป็นพยานในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นผู้รับรองในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ว่าพระองค์ได้ตรัสรู้โดยชอบจริงคือถูกต้อง ความตรัสรู้ของพระองค์มิใช่เป็นของเทียมหรือไม่จริง แต่เป็นความตรัสรู้จริงคือถูกต้องจริง ชอบหรือถูกต้องนั้นก็คือชอบหรือถูกต้องต่อความจริงทุกประการ ที่เรียกว่าบริสุทธิ์คือหมดจดจากความผิดพลาด ไม่มีความผิดพลาดแม้แต่น้อย
บริบูรณ์ก็คือเต็มที่ไม่มีบกพร่องแม้แต่น้อย สัจจะที่พระองค์ได้ตรัสรู้นั้น บริสุทธิ์คือหมดจดถูกต้องทั้งหมด บริบูรณ์คือเต็มที่ทั้งหมด ไม่มีบกพร่อง หรือจะเรียกว่าไม่มีขาดไม่มีเกิน บริสุทธิ์บริบูรณ์เต็มที่ ดั่งนี้คือความเป็นสิ่งที่ชอบ ซึ่งหมู่แห่งสาวกผู้ฟังคือศิษย์ของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้ตรัสรู้ตามพระองค์ ก็ได้รับรองได้เป็นพยาน ดังที่ได้ปรากฏในความรู้ของหมู่แห่งสาวกของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้ตรัสรู้ตามพระองค์ว่า อโหพุทโธ โอหนอพระพุทธเจ้า อโหธัมโม โอหนอพระธรรม อโหสังโฆ โอหนอพระสงฆ์ คือพระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ พระธรรมก็เป็นพระธรรมจริงๆ พระสงฆ์ก็เป็นพระสงฆ์จริงๆ
เพราะฉะนั้น คำว่าสัมมาสัมพุทโธที่แปลว่าผู้ตรัสรู้โดยชอบและเอง จึงมีความหมายถึงพระพุทธเจ้า ซึ่งได้ประกาศพระพุทธศาสนา มีหมู่แห่งสาวกได้ตรัสรู้ตาม ได้ตั้งพระพุทธศาสนาขึ้นในโลก และได้เรียกพระพุทธเจ้าซึ่งได้ตรัสรู้เอง แต่มิได้ทรงแสดงธรรมะสั่งสอน ตั้งพระพุทธศาสนาขึ้นในโลก ว่าพระปัจเจกพุทธะ คือพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้จำเพาะพระองค์เอง ส่วนพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองแล้ว ยังสอนผู้อื่นให้ตรัสรู้ตาม ตั้งพระพุทธศาสนาขึ้นในโลก ก็เรียกว่าสัมมาสัมพุทธะ
ดังที่ได้มีแสดงพระพุทธะไว้ ๓ คือพระสัมมาสัมพุทธะ พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ซึ่งได้สั่งสอนผู้อื่นให้ตรัสรู้ตาม พระปัจเจกพุทธะ พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้จำเพาะพระองค์ผู้เดียว และพระสาวกะพุทธะ หรือพระอนุพุทธะ คือพระพุทธะ คือพระผู้ตรัสรู้ตาม ได้แก่หมู่แห่งพระสาวกซึ่งได้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ก็เป็นพุทธะจำพวกที่ ๓ อันเรียกว่าพระอนุพุทธะ
เพราะฉะนั้น จึงเห็นว่าคำว่าสัมมานี้มีความหมายถึงว่าได้มีผู้อื่นรับรองเป็นพยาน ก็โดยที่พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้โดยชอบเอง ได้ทรงสั่งสอนให้ผู้อื่นตรัสรู้ตามได้ ก็คือพระสงฆ์สาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกนี่เองก็เป็นพยานรับรองความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ได้เห็นพระพุทธเจ้า ดังที่มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้แปลความว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ดั่งนี้
คำว่า สัง แปลว่า สามะ คือเอง ก็มีความหมายว่า ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นผุดขึ้นเองแก่พระองค์ ดังที่ได้มีแสดงไว้ในปฐมเทศนาที่ตรัสไว้เองว่า จักขุคือดวงตา ญาณคือความหยั่งรู้ ปัญญาคือความรู้ทั่วถึง วิชชาคือความรู้แจ่มแจ้ง อาโลกะคือความสว่าง บังเกิดผุดขึ้นในธรรมะทั้งหลายที่มิได้เคยทรงสดับฟังมาก่อน พระพุทธภาษิตที่ตรัสแสดงไว้นี้ แสดงว่าความตรัสรู้ของพระองค์นั้นผุดขึ้นเอง พระองค์จึงเป็นผู้ตรัสรู้เอง และในปฐมเทศนานั้นเองก็ได้ตรัสแสดงถึงความตรัสรู้ของพระองค์ ว่าพระองค์ได้ตรัสรู้อะไร ซึ่งมีความโดยย่อว่า
จักขุ คือดวงตาอันหมายถึงดวงตาใจ ญาณัง คือความหยั่งรู้ ปัญญา คือความรู้ทั่วถึง วิชชา คือความรู้แจ่มแจ้ง อาโลกะ คือความสว่าง ได้บังเกิดผุดขึ้นในธรรมะทั้งหลาย ก็คือในสัจจะคือความจริงทั้งหลายที่พระองค์มิได้เคยทรงสดับมาก่อนว่า นี้ทุกข์ ทุกข์นี้พึงกำหนดรู้ ทุกข์นี้ทรงกำหนดรู้แล้ว นี้ทุกขสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกขสมุทัยคือเหตุให้เกิดทุกข์นี้พึงละเสีย ทุกขสมุทัย คือเหตุเกิดทุกข์นี้ทรงละได้แล้ว นี้ทุกขนิโรธ ความดับทุกข์ ทุกขนิโรธ ความดับทุกข์นี้ควรกระทำให้แจ้ง ทุกขนิโรธ คือความดับทุกข์นี้ทรงกระทำให้แจ้งแล้ว นี้มรรค คือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์นี้พึงทำให้มีให้เป็นขึ้น มรรคคือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์นี้ได้ทรงทำให้มีให้เป็นขึ้นแล้ว ดั่งนี้
เพราะฉะนั้น ในปฐมเทศนานี้เอง เป็นเทศนาที่ได้ตรัสแสดงถึงความตรัสรู้ของพระองค์ และก็ได้ตรัสแสดงชี้แจงไว้อย่างชัดเจน ว่าจักขุคือดวงตาอันหมายถึงดวงตาใจ ที่บังเกิดผุดขึ้นในธรรมทั้งหลายที่มิได้เคยทรงสดับมาก่อนนั้น ก็คือในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ อันได้แก่ทุกข์ ทุกขสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ ทุกขนิโรธความดับทุกข์ และทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา หรือมรรคทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ และก็ได้ตรัสแสดงไว้เองว่า ความตรัสรู้ของพระองค์ ที่ตรัสใช้คำว่าจักขุดวงตาเห็นธรรม ญาณคือความหยั่งรู้ ปัญญาคือความรู้ทั่วถึง วิชชาคือความรู้แจ่มแจ้ง และอาโลกะคือความสว่าง ก็รวมเข้าในคำว่าญาณคือความหยั่งรู้
ญาณ คือ ความหยั่งรู้คือความตรัสรู้ของพระองค์นี้ ตามที่ตรัสแสดงไว้นั้นจึงมีวนรอบ ๓ และมีอาการ ๑๒ ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ โดยที่เป็นความตรัสรู้ที่เป็นไป คือวนไปในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ นั้น ๓ รอบ โดยเป็นสัจจญาณ ความหยั่งรู้ในสัจจะคือความจริง
รอบหนึ่ง ว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ทุกขนิโรธ ความดับทุกข์ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ความตรัสรู้ที่วนไปในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ โดยสัจจะคือความจริงว่านี้เป็นอย่างนี้ นั้นเรียกว่า สัจจญาณ เป็นรอบที่ ๑
รอบที่ ๒ ก็คือญาณคือความหยั่งรู้ที่วนไปหรือเป็นไปในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ โดยเป็นกิจจญาณ คือความหยั่งรู้ในกิจคือหน้าที่ซึ่งพึงปฏิบัติ ว่าทุกข์พึงกำหนดรู้ ทุกขสมุทัยพึงละเสีย ทุกขนิโรธพึงกระทำให้แจ้ง มรรคคือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์พึงอบรมทำให้มีขึ้นให้เป็นขึ้น เป็นกิจคือหน้าที่ซึ่งพึงปฏิบัติในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ ดั่งนี้ เป็นรอบที่ ๒
ญาณ คือ ความหยั่งรู้ที่วนไปเป็นไปในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ รอบที่ ๓ ก็โดยเป็น กตญาณ คือเป็นความหยั่งรู้ว่า กิจซึ่งพึงปฏิบัติในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ นั้น ได้ทรงกระทำแล้ว ได้ทรงปฏิบัติเสร็จแล้ว ว่าทุกข์นั้นได้ทรงกำหนดรู้แล้ว ทุกขสมุทัยทรงละได้แล้ว ทุกขนิโรธทรงกระทำให้แจ้งแล้ว มรรค คือ ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ทรงปฏิบัติทำให้มีให้เป็นขึ้นเสร็จแล้ว ดั่งนี้ เป็นอันว่าได้ทำกิจเสร็จในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ เป็นรอบที่ ๓ เพราะฉะนั้น พระญาณคือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จึงได้ตรัสแสดงว่าวนไป ๓ รอบ หรือมี ๓ รอบในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ และ ๓ คูณ ๔ ก็เป็น ๑๒ จึงตรัสว่ามีอาการ ๑๒ ดั่งนี้ ฉะนั้น ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าจึงเป็นความตรัสรู้ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ ซึ่งเวียนไป ๓ รอบ และมีอาการ ๑๒
แต่ว่าไม่ใช่หมายความว่าความหยั่งรู้นั้นบังเกิดขึ้นในขณะต่างกัน จึงมีญาณคือความหยั่งรู้บังเกิดขึ้นหลายขณะ และต่างๆกัน แต่หมายความว่าญาณคือความหยั่งรู้นั้นเป็นอันเดียวเป็นขณะเดียว แต่ว่าเป็นความรู้ที่เวียนไปในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ สามรอบ และมีอาการ ๑๒ ดังกล่าวนั้น ในข้อนี้อาจจะเทียบง่ายๆ เหมือนอย่างการดูนาฬิกา จะรู้เวลาก็ต้องมองเห็นหน้าปัทม์ของนาฬิกา เห็นตัวเลขที่บอกชั่วโมงบอกนาที เห็นเข็มสั้นเข็มยาวที่บอกชั่วโมงบอกนาที ต้องเห็นพร้อมกันในขณะเดียวกัน คือเห็นหน้าปัทม์ทั้งหมดในขณะเดียวกัน จึงจะรู้เวลาได้ เพราะฉะนั้น การเห็นของลูกตาซึ่งหน้าปัทม์ของนาฬิกาทั้งหมดนั้น ซึ่งเห็นคราวเดียวกัน แต่ว่าสิ่งที่เห็นนั้นมีหลายอย่างรวมกันอยู่
ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็จะพึงเทียบได้ดั่งนั้น ในความตรัสรู้ของพระองค์นั้น ทรงรู้ทรงเห็นคราวเดียว แต่ได้รวมทั้งหมดซึ่งอริยสัจจ์ทั้ง ๔ โดยมีวนรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ รวมกันเป็นคราวเดียว เพราะฉะนั้น จึงเป็นความตรัสรู้เองโดยชอบ เหมือนอย่างการที่มองดูหน้าปัทม์นาฬิกา มองเห็นหมดในหน้าปัทม์นั้นคราวเดียว ตัวเลขทั้งหมด เข็มสั้นเข็มยาวทั้งหมด จึงจะบอกเวลาได้ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร ได้ตรัสรู้อะไร ตรัสรู้อย่างไร ได้ทรงแสดงไว้โดยแจ่มแจ้งในปฐมเทศนาของพระองค์ เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงเป็นสัมมาสัมพุทโธผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ และเมื่อได้มีพระมหากรุณาเสด็จไปทรงแสดงธรรมะสั่งสอน ได้มีหมู่แห่งสาวกได้ตรัสรู้ตามพระองค์ พระองค์ก็ได้ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทโธเต็มที่ ในความรู้ความรับรองของผู้อื่น ซึ่งได้ตรัสรู้ตามพระองค์ และได้ความรู้ความรับรองพระองค์ว่า ได้ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธะแท้จริง
เพราะฉะนั้นพระพุทธคุณบทนี้จึงมีความที่สำคัญ ซึ่งเมื่อได้ตั้งใจศึกษากำหนดให้มีความรู้ความเข้าใจแล้ว จะได้รู้จักพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป