แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ได้แสดงธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น ว่าอาศัยกันอย่างไร ตามนัยยะพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตร ซึ่งท่านอธิบาย ในข้อสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ ประกอบด้วยพระพุทธาธิบาย ซึ่งนำมาแทรกเข้า และในตอนที่แสดงอธิบาย ถึงธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้นสืบไปเป็นสาย เหมือนอย่างส่ายโซ่ ซึ่งประกอบด้วยลูกโซ่เป็นอันมาก
ในตอนที่กำลังอธิบายนี้ก็เท่ากับกำลังอธิบายว่า ลูกโซ่แต่ละลูกนั้นคล้องกันไปอย่างไร จึ่งได้ต่อกันไปเป็นสายเส้นเดียวกัน ซึ่งได้มาถึงข้อว่า เพราะผัสสะหรือสัมผัสเป็นปัจจัย คือเป็นเหตุอาศัย คือเมื่อสัมผัสหรือผัสสะเกิดขึ้น เวทนาก็เกิด เงื่อนหรือข้อต่อซึ่งได้อธิบายไปแล้ว ก็คือเพราะอายตนะทั้ง ๖ เป็นปัจจัย จึงเกิดสัมผัสหรือผัสสะ แต่ก็ได้แสดงอธิบายแทรกว่าในพระสูตรบางพระสูตร พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงข้ามอายตนะทั้ง ๖ คือตรัสว่าเพราะนามรูปเป็นปัจจัยเกิดสัมผัส ก็เป็นปริยายคือเป็นทางแสดงของธรรมะ ซึ่งเป็นไปตามความเหมาะสมในการแสดงนั้นๆ ซึ่งบางครั้งก็แจกแจงอย่างละเอียด บางครั้งก็แสดงอย่างรวบรัด เมื่อแสดงอย่างรวบรัดก็ข้ามอายตนะทั้ง ๖ ดังที่ได้แสดงอธิบายแล้ว แต่เมื่อแสดงไม่รวบรัด ก็แสดงอายตนะทั้ง ๖ ต่อจากนามรูป คือเพราะนามรูปเป็นปัจจัย ก็เกิดอายตนะทั้ง ๖ เพราะอายตนะทั้ง ๖ เป็นปัจจัย ก็เกิดสัมผัสหรือผัสสะ
วิปัสสนาภูมิ
และแม้ในข้ออายตนะทั้ง ๖ เป็นปัจจัยแห่งผัสสะนั้น ผู้ปฏิบัติก็เพ่งพิจารณา จับให้รู้จักอาการเป็นต้นของอายตนะทั้ง ๖ นั้นแต่ละข้อ เชื่อมกับสัมผัสหรือผัสสะ ให้เป็นวิปัสสนาภูมิ ภูมิของวิปัสสนาได้ คือเพ่งพินิจพิจารณาให้รู้จักอาการ ให้รู้จักเพศ ให้รู้จักนิมิตคือเครื่องกำหนด และให้รู้จักอุเทศคือการแสดง เช่นแสดงชื่อของตากับรูปที่ต่อกัน หูกับเสียงที่ต่อกัน จมูกกับกลิ่นที่ต่อกัน ลิ้นกับรสที่ต่อกัน กายและโผฏฐัพพะที่ต่อกัน มโนคือใจและธรรมะคือเรื่องราวที่ต่อกัน จึงได้เกิดวิญญาณ เช่นจักขุวิญญาณ รู้รูปทางตาคือเห็นรูปเป็นต้น และเมื่อทั้ง ๓ นี้มาประชุมกัน จึงเกิดสัมผัสหรือผัสสะ
แต่ว่าในหมวดปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น แสดงว่าเพราะอายตนะเป็นปัจจัยก็เกิดสัมผัสหรือผัสสะ ก็เป็นการรวบรัด การพิจารณาให้รู้จักอาการเป็นต้นของวิถีจิต ทางดำเนินของจิตใจดั่งนี้ ก็เป็นวิปัสสนาภูมิ ภูมิของวิปัสสนาดังกล่าวแล้ว
เวทนา
และเพราะสัมผัสหรือผัสสะเป็นปัจจัย หรือว่าเพราะสัมผัสหรือผัสสะมีขึ้น เกิดขึ้น จึงเกิดเวทนา จึงมีเวทนา เพราะฉะนั้น เวทนาคือ สุข ทุกข์ หรือ มิใช่ทุกข์มิใช่สุข หรือว่าเวทนาที่จำแนกออกเป็น เวทนา ๕ ได้แก่ สุข ทุกข์ โสมนัส โทมนัส อุเบกขา ซึ่งมีอธิบายว่า สุขก็ได้แก่สุขทางกาย ทุกข์ก็ได้แก่ทุกข์ทางกาย โสมนัสสุขทางใจ โทมนัสทุกข์ทางใจ อุเบกขาก็คือความเป็นกลางๆ มิใช่ทุกข์ มิใช่สุข มิใช่โสมนัส มิใช่โทมนัส
แต่เมื่อย่อเข้าก็เป็นเวทนา ๓ ที่แสดงกันโดยมาก คือ สุข ทุกข์ และ อทุกขมสุข มิใช่ทุกข์มิใช่สุข เมื่อแสดงเวทนา ๓ ดั่งนี้ สุข ก็หมายถึงทั้งสุขทางกาย ทั้งสุขทางใจ ทุกข์ ก็หมายถึงทั้งทุกข์ทางกาย ทั้งทุกข์ทางใจ อทุกขมสุข มิใช่ทุกข์มิใช่สุข ก็หมายถึงอุเบกขาเป็นกลางๆ มิใช่ทุกข์มิใช่สุขทางกายทางใจ เพราะฉะนั้น แม้จะจำแนกเวทนาเป็น ๓ แม้จะจำแนกเวทนาเป็น ๕ ก็เป็นอันเดียวกันนั้นเอง ก็คือหมายถึงสุข ทุกข์ และ มิใช่ทุกข์มิใช่สุข เป็นกลางๆ ที่เป็นไปทางกายบ้างที่เป็นไปทางใจบ้าง
และท่านมีแสดงขยายความออกไปอีกว่า อันสุขทุกข์ทางกายนั้น ก็บังเกิดจากกายสัมผัส สัมผัสทางกาย คือสัมผัสสิ่งที่ถูกต้องทางกาย ส่วนสัมผัสทางตาที่เห็นรูปต่างๆ สัมผัสทางหูที่ได้ยินเสียงต่างๆ สัมผัสทางจมูกที่ได้ทราบกลิ่นต่างๆ สัมผัสทางลิ้นที่ได้ทราบรสต่างๆ และสัมผัสทางมโนคือใจที่ได้คิดได้รู้เรื่องต่างๆ ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดสุขทุกข์ทางใจ (เริ่ม)ฉะนั้น สุขทุกข์ทางกายนั้นจึงเกิดจากสัมผัสทางกายเพียงทางเดียว เป็นการจำแนกแสดงสำหรับพิจารณาที่เกิดของเวทนา จะได้จับพิจารณาได้ถูกต้อง และเวทนาดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ก็พูดกันว่าเป็นสุขเป็นทุกข์หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ซึ่งอันที่จริงนั้นก็เป็นตัวความรู้อย่างหนึ่ง คืออาการที่จิตน้อมออกรู้อารมณ์ ที่เข้ามาทางอายตนะภายใน หรือทางทวารทั้ง ๖ นั้น
หน้าที่ของจิตนั้นเป็นวิญญาณธาตุ คือธาตุรู้ เพราะฉะนั้น อาการที่น้อมออกรับอารมณ์นั้น ก็คือรู้อารมณ์นั้นเอง ซึ่งรู้ทีแรกก็เป็นวิญญาณทั้ง ๖ ดังที่กล่าวแล้ว รู้ต่อมาที่แรงขึ้นก็คือสัมผัส และแรงขึ้นก็เป็นเวทนา ซึ่งเป็นตัวรู้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น เวทนานั้นคือตัวรู้ ที่รู้เป็นสุข รู้เป็นทุกข์ หรือรู้เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ถ้าไม่มีความรู้ หรือไม่มีตัวรู้อยู่แล้ว สุขทุกข์หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขก็ย่อมไม่บังเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น คำว่าเวทนานั้นตามศัพท์ก็แปลว่ารู้ หรือว่ารับรู้ และก็มีนักธรรมะที่แปลว่าเสวย เช่น สุขเวทนา ก็ เสวยสุข ทุกขเวทนา ก็ เสวยทุกข์ ก็คือกินสุขกินทุกข์ คำว่าอัตตาที่แปลกันว่าตัวตน ก็มีคำแปลอย่างหนึ่งว่า ผู้กิน ผู้เสวย ก็คือผู้กินผู้เสวยสุขหรือทุกข์นี้เอง
เพราะฉะนั้น เวทนานั้นก็คือความรู้ แต่หมายจำเพาะว่า ความรู้ที่เป็นสุข หรือเป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ดังที่กล่าวมานั้น ซึ่งเกิดสืบเนื่องมาจากสัมผัสหรือผัสสะ เพราะสัมผัสหรือผัสสะเป็นปัจจัย หรือว่าเพราะสัมผัสหรือผัสสะมีเกิดขึ้น จึงมีเวทนา จึงเกิดเวทนา ท่านจึงมีเปรียบเอาไว้ว่า เหมือนอย่างไม้สีไฟสองอันมาสีกัน ก็เกิดไฟ ฉันใด เพราะสัมผัสก็คืออายตนะภายในภายนอกกับวิญญาณมาประจวบกันจึงเกิดเวทนา สัมผัสหรือผัสสะจึงเท่ากับไม้สีไฟสองอันที่มาสีกัน เวทนาก็เปรียบเหมือนอย่างไฟที่บังเกิดขึ้น เพราะไม้สีไฟสองอันมาสีกันนั้น ฉะนั้น เมื่อแยกไม้สีไฟสองอันมิให้สีกัน ไฟก็ไม่เกิด เมื่อแยกอายตนะภายในภายนอกกับวิญญาณมิให้มาประชุมกันได้ ก็ไม่เกิดเวทนา
การปฏิบัติดับเวทนาด้วยสมาธิ
ในการปฏิบัติทางสมาธิชั้นสูงนั้น ก็เป็นการปฏิบัติเพื่อที่จะดับเวทนาด้วยสมาธิ โดยที่มิให้ไม้สีไฟสองอันมาสีกัน คือมิให้อายตนะภายในภายนอกกับวิญญาณ มาประชุมกัน มาประจวบกัน เมื่อเป็นดั่งนี้ก็ดับเวทนาได้ และในการปฏิบัติสมาธินั้น ก็เป็นการปฏิบัติ ใช้สัมผัสและเวทนาที่เป็นนิรามิส คือไม่มีกิเลสเป็นเครื่องล่อ มาเป็นเครื่องดับเวทนาที่เป็นสามิส คือมีกิเลสเป็นเครื่องล่อ
ดังจะพึงเห็นได้ว่า จิตโดยปรกตินั้นก็เหมือนอย่างไม้สีไฟสองอันที่สีกัน แล้วเกิดเวทนาอยู่เสมอ คือว่าอายตนะภายในภายนอกมาประจวบกัน เกิดวิญญาณ มีเห็นรูป ได้ยินเสียงเป็นต้น และเมื่อทั้ง ๓ ส่วนนี้มาประชุมกัน เป็นสัมผัส ก็เกิดเวทนา แต่เป็นไปในทางกามาพจร คือหยั่งลงในกาม โดยมาก เพราะฉะนั้น จึงได้เกิดกามฉันท์ความพอใจรักใคร่ในกาม หรือด้วยกามบ้าง เกิดพยาบาท คือความกระทบกระทั่ง หงุดหงิด โกรธแค้น ขัดเคือง มุ่งร้ายหมายล้างผลาญบ้าง คือเกิดนิวรณ์ต่างๆ
กิเลสกรรมฐาน
เพราะว่าตากับรูปที่มาประจวบกันเป็นต้นนั้น ก็เป็นตากับรูปที่เป็นไปในกาม คือเป็นรูปที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ เมื่อตามาต่อกับรูปเช่นนั้น ก็เป็นไปในทางกาม ก็เกิดกามฉันท์ หากไปพบรูปที่ขัดกันกับรูปที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ ก็เกิดพยาบาท มักจะเป็นไปในทางนี้ อันที่จริงนั้นก็เป็นกรรมฐานเหมือนกัน แต่เป็นกิเลสกรรมฐาน คือเป็นที่ตั้งของการงานทางใจที่เป็นฝ่ายกิเลส
อารมณ์ของกรรมฐานเป็นไปเพื่อดับกิเลส
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติสมาธิ พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้ปฏิบัติในกรรมฐาน ที่ไม่เป็นไปเพื่อกิเลส หรือไม่เป็นไปเพื่อก่อกิเลส เช่นตั้งสติกำหนดพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ก็ใช้มโนกับธรรมะซึ่งเป็นอายตนะที่ ๖ นั่นแหละ คิดหรือนึกในเรื่องที่เป็นกรรมฐาน แปลว่าพรากจิตออกจากอารมณ์ อันเป็นไปเพื่อกิเลส มาตั้งอยู่ในอารมณ์ของกรรมฐาน ที่ไม่เป็นไปเพื่อกิเลส แต่เป็นไปเพื่อดับกิเลส
เมื่อพรากจิตออกมาตั้งอยู่ในอารมณ์ของกรรมฐานได้ ตั้งสติกำหนดพิจารณากายเวทนาจิตธรรม ก็ต้องอาศัยอายตนะที่ ๖ คือมโนกับธรรมะ ใจต่อกับธรรมะที่เป็นกรรมฐาน ก็เกิดสัมผัส เมื่อเกิดสัมผัสก็เกิดเวทนา แต่ก็เป็นนิรามิสเวทนา เวทนาที่ไม่มีกิเลสเป็นเครื่องล่อ และเมื่อใจมาตั้งอยู่ในอารมณ์ของกรรมฐานได้ ได้สัมผัสกับกรรมฐาน ได้เวทนาที่เป็นนิรามิสดั่งนี้ ก็เป็นอันว่าดับสัมผัสกับกิเลส กับกามคุณารมณ์ อารมณ์อันเป็นที่ตั้งของกิเลส ดับเวทนาที่เป็นสามิสคือที่มีกิเลสเป็นเครื่องล่อได้ ก็แปลว่าดับสัมผัส ดับเวทนาในฝ่ายกิเลส ด้วยสัมผัสและเวทนาในฝ่ายที่เป็นนิรามิส ไม่มีกิเลสเป็นเครื่องล่อ
การเริ่มต้นปฏิบัติกรรมฐานก็ต้องใช้ดั่งนี้ ก็แปลว่าใช้ไม้สีไฟสองอันสีกัน ให้เกิดไฟเหมือนกัน แต่ว่าไม้สีไฟสองอันที่สีกันให้เกิดเวทนาที่เป็นนิรามิสนี้ เป็นไม้สีไฟสองอันที่พระพุทธเจ้าได้ประทานไว้ เช่นสติปัฏฐานทั้ง ๔ หรือกรรมฐานทั้งปวง ที่ตรัสสอนเอาไว้ให้ปฏิบัติ ก็ล้วนเป็นไม้สีไฟทั้งนั้น ให้รับเอากรรมฐานนี่แหละ มาสีเข้ากับใจ ให้สัมผัสกับใจ ให้เกิดเวทนาที่เป็นนิรามิส ก็เป็นอันว่าจะดับไม้สีไฟสองอันฝ่ายกิเลส กล่าวสั้นเข้ามาก็คือว่า อารมณ์ที่มาสีกับใจ ที่เป็นฝ่ายกิเลสนั้น ก็ทำให้สัมผัสกับฝ่ายกิเลส ได้เวทนาที่เป็นสามิสฝ่ายกิเลส แต่เมื่อมาปฏิบัติใช้ไม้สีไฟของพระพุทธเจ้า คือเอากรรมฐานมาสีเข้ากับใจ ก็จะสัมผัสกับไม้สีไฟที่เป็นกรรมฐาน ได้เวทนาที่เป็นนิรามิส เพราะฉะนั้น การปฏิบัติทำสมาธินั้น ในเบื้องต้นก็ปฏิบัติด้วยอาศัยวิธีนี้
ลักษณะของจิตที่เป็นกามาพจร
แต่ว่าจิตนี้ เมื่อเริ่มปฏิบัตินั้น ยังเป็นจิตที่เป็นกามาพจรเต็มที่ เพราะฉะนั้น จึงยกขึ้นมาสู่กรรมฐานไม่ค่อยจะได้ มักจะตกลงไป ก็คือว่าปรกตินั้นไปติด หรือไปพอใจเสียแล้ว ในไม้สีไฟที่เป็นฝ่ายกาม เป็นฝ่ายกิเลส รับเข้ามาสีใจอยู่เสมอ และเมื่อนำเข้ามาสีใจ ก็เกิดสัมผัสกับใจ ก็เกิดไฟกิเลส ก็เป็นเวทนาที่เป็นสามิส เป็นไปอยู่ดั่งนี้ ครั้นมาเปลี่ยนไม้สีไฟที่เป็นกรรมฐานของพระพุทธเจ้า นำเอากรรมฐานเข้ามาสีกับใจ ใจก็ไม่ค่อยจะยอมรับ ไม่ค่อยจะยอมให้กรรมฐานนี้มาสีกับใจ มักจะหนีออกไป รับเอาไม้สีไฟที่เป็นฝ่ายกามมาสีใจอยู่ มักจะเป็นดั่งนี้ นี้เป็นลักษณะของจิตที่เป็นกามาพจร
แต่เมื่อปฏิบัติอยู่บ่อยๆ มีความคุ้นเคยกับไม้สีไฟของพระพุทธเจ้า ด้วยกรรมฐานมาสีกับใจอยู่ ให้สัมผัสกับใจอยู่ ให้เกิดเวทนาที่เป็นสามิสอยู่ ก็แปลว่าทีแรกนั้น เมื่อปฏิบัติกรรมฐานนั้น มักจะได้ทุกข์เวทนา เพราะว่าใจไม่ชอบ มักจะอึดอัดรำคาญ เพราะจิตเป็นกามาพจรย่อมเป็นดั่งนี้ แต่ครั้นเมื่อนำมาสีใจอยู่บ่อยๆ สัมผัสกับใจบ่อยๆ ได้เวทนาที่เป็นสุขขึ้น ที่เป็นนิรามิส อันเป็นสุขที่บริสุทธิ์ ย่อมจะน้อมใจให้กลับมาสู่กรรมฐานของพระพุทธเจ้า อันเป็นไม้สีไฟของพระพุทธเจ้า สัมผัสกับไม้สีไฟของพระพุทธเจ้า สัมผัสกับความสุขที่ได้ อันเป็นสุขเวทนาที่เป็นนิรามิส จะทำให้ได้ฉันทะคือความพอใจ ในการปฏิบัติกรรมฐานมากขึ้น ก็แปลว่าจิตก็จะได้สมาธิมากขึ้น แต่เมื่อถึงสมาธิขั้นสูงแล้ว ท่านแสดงว่าปฏิบัติพรากไม้สีไฟทั้งหมด ดับเวทนาทั้งหมด จิตจึงจะได้สมาธิถึงขั้นสูง ซึ่งเป็นอุเบกขาอันบริสุทธิ์
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป