แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ได้แสดงเรื่องพระพุทธเจ้า เมื่อได้ตรัสรู้แล้ว ได้ประทับนั่งเสวยวิมุติสุข ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาทธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น โดยสมุทัยวาร คือโดยวาระเกิด ก่อทุกข์ ทรงเปล่งอุทานในปฐมยามแห่งราตรีที่แปลความว่า เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นความสงสัยของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะมารู้ธรรมว่ามีเหตุ หรือเกิดแต่เหตุ ต่อจากนั้นทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท โดยนิโรธวาร คือโดยวาระดับ คือดับทุกข์ ทรงเปล่งอุทานในมัชฌิมยามแห่งราตรีแปลความว่า เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นความสงสัยของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะมารู้ความสิ้นไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย
ต่อจากนั้นทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ทั้งโดยสมุทัยวาร ทั้งโดยนิโรธวาร ทรงเปล่งอุทานในปัจฉิมยามแห่งราตรีแปลความว่า เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้นความสงสัยของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป พราหมณ์นั้นกำจัดมารและเสนา สถิตย์อยู่เหมือนอย่างดวงอาทิตย์ สถิตย์ส่องสว่างอยู่ในนภากาศ ดั่งนี้
อริยสัจจ์โดยพิสดาร
ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น อันเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ได้แสดงแล้วตามเถราธิบายแห่งท่านพระสารีบุตร และก็ได้เคยกล่าวแล้วว่า ก็เป็นการพิจารณาอริยสัจจ์โดยพิสดาร อริยสัจจ์นั้นพระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงไว้ตั้งแต่ในปฐมเทศนา ว่าคือ ทุกข์ทุกขสมุทัย เหตุเกิดทุกข์ ทุกขนิโรธความดับทุกข์ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
และได้ทรงอธิบาย ทุกข์ ว่ามี ชาติทุกข์ ทุกข์คือชาติเป็นต้น สรุปเข้าก็ในขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการ ทุกขสมุทัย เหตุเกิดทุกข์ ทรงอธิบายยกเอาตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก ทุกขนิโรธ ความดับทุกข์ ทรงอธิบายยกเอาความดับตัณหา ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ทรงยกเอามรรคมีองค์ ๘ ก็เป็นการทรงแสดงโดยทั่วไป เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจได้โดยง่าย เพราะว่าอริยสัจจ์ที่ทรงอธิบายดั่งนี้ ผู้ฟังทั่วไปเมื่อตั้งใจฟัง ตั้งใจพิจารณาไปตาม ก็อาจเข้าใจได้ และสามารถที่จะปฏิบัติได้ คือปฏิบัติกำหนดรู้ทุกข์ ละสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์คือตัณหา ทำให้แจ้งทุกขนิโรธ ความดับทุกข์คือดับตัณหา และอบรมปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ให้บังเกิดขึ้น
ส่วนใน ปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น ก็ได้เคยกล่าวว่า เป็นการที่ทรงแสดงอริยสัจจ์โดยละเอียด หรือพิสดาร และพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตร ก็ทำให้มองเห็นชัดว่าแต่ละข้อนั้น ก็เป็นอริยสัจจ์ ๔ ทั้งนั้น ทุกข้อไป จึงเป็นอริยสัจจ์ ๔ อย่างละเอียด อย่างประณีต ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่จะเข้าใจได้โดยง่าย
ฉะนั้น จึงได้ตรัสห้ามท่านพระอานนท์ที่กราบทูลว่า ปฏิจจสมุปบาทนั้นปรากฏว่าง่ายแก่ท่าน พระพุทธเจ้าได้ตรัสห้ามว่าอย่ากล่าวอย่างนั้น เพราะว่าปฏิจจสมุปบาทเป็นธรรมะที่ละเอียดสุขุมลุ่มลึก แต่ว่าเมื่อไม่รู้ หรือตรัสรู้ปฏิจจสมุปบาท ก็จะต้องยังต้องท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏสงสาร ต่อเมื่อรู้ในอริยสัจจ์ที่เป็นปฏิจจสมุปบาท จึงจะทำทุกข์ให้สิ้นได้โดยสิ้นเชิง ได้ตรัสไว้ด้วยพยัญชนะคือถ้อยคำที่ท่านแสดงไว้ รวมเข้าก็มีความดังที่กล่าวมานี้
เหตุและผลที่สัมพันธ์กัน
ในข้อนี้หากจะพิจารณาดูในสิ่งที่ปรากฏอยู่ในโลก ทั้งโดยธรรมชาติ ทั้งโดยที่มนุษย์คิดขึ้นประดิษฐ์ขึ้น ก็ย่อมจะเห็นว่ามีเหตุผลที่สัมพันธ์กัน ซึ่งเมื่อแสดงอย่างหยาบๆ ทั่วไป ก็เป็นอย่างหนึ่ง แต่เมื่อจะแสดงอย่างละเอียด ก็ย่อมเป็นอีกอย่างหนึ่ง ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น น้ำประปาที่ใช้กันอยู่ทุกวัน ทำไมจึงจะได้น้ำไหลออกมา ซึ่งเป็นตัวผล ก็จะเห็นกันทั่วไปว่าต้องเปิดก๊อกน้ำ และเมื่อเปิดก๊อกน้ำ น้ำก็ไหลออกมา เพราะฉะนั้นเมื่อดูเพียงเท่านี้ก็จะต้องว่า การเปิดก๊อกน้ำเป็นเหตุ น้ำไหลออกมาเป็นผล แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด ก็ย่อมจะเห็นว่าเหตุผลที่มีน้ำประปาใช้นั้นมิใช่เพียงเท่านั้น จะต้องมีเหตุผลอื่นๆ สัมพันธ์กันอีกมากมายจึงจะมีน้ำประปาไหล เปิดก๊อกเข้าน้ำก็ไหลออกมา ดังจะพึงเห็นได้ว่าจะต้องมีการวางท่อประปา จะต้องมีที่ทำน้ำประปา และจะต้องมีเครื่องทำน้ำประปา เครื่องน้ำประปานั้นก็จะต้องมีสิ่งต่างๆ มาประกอบ เป็นเหตุเป็นผลที่สัมพันธ์กันอีกมากมาย และจะต้องมีน้ำมาเพื่อทำน้ำประปา และน้ำที่จะมีมานั้น ก็จะต้องมีที่มาว่ามาจากไหน และจะเป็นน้ำขึ้นมาได้อย่างไร เพราะฉะนั้น หากจะคิดค้นหาเหตุผล ก็จะพบเหตุผลที่โยงกันมามากมาย จนถึงเป็นน้ำประปาที่เมื่อเปิดก๊อกเข้าก็ไหลออกมา ดังที่ใช้กันอยู่
ไฟฟ้าที่ใช้กันอยู่นี้ก็เช่นเดียวกัน ก็จะเห็นว่าเมื่อเปิดสวิทช์ขึ้นไฟก็สว่าง เมื่อปิดสวิทช์ไฟก็ดับ เห็นเพียงเท่านี้ก็ต้องว่าการเปิดสวิทช์นั้นเป็นเหตุ ไฟสว่างก็เป็นผล ดับสวิทช์เป็นเหตุ ไฟดับก็เป็นผล ว่าเพียงเท่านี้ แต่เมื่อพิจารณาดูก็จะเห็นว่ายังมีเหตุผลอีกมากมาย กว่าจะเป็นไฟฟ้าขึ้นมาใช้ได้ เช่นจะต้องมีการวางสายไฟฟ้า จะต้องมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้า มีสิ่งที่มาประกอบเข้าต่างๆ เป็นเหตุเป็นผลที่สัมพันธ์กันอีกมาก จนถึงเมื่อเปิดสวิทช์ไฟก็สว่าง ดับสวิทช์ไฟก็ดับ ปิดสวิทช์ไฟก็ดับ ดังที่กล่าวมาแล้ว
เกิด แก่ ตาย
เพราะฉะนั้นในทางจิตใจที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อดูเพียงง่ายๆ ก็จะเห็นว่าเมื่อมีเกิด ก็มีแก่ มีตาย มีทุกข์มีโศกต่างๆ ดังที่เห็นกันอยู่ ว่าทุกคนเกิดมาก็ต้องแก่ต้องตาย และในระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็ต้องมีทุกข์ต่างๆ มีโสกะปริเทวะเป็นต้น และคนโดยมากนั้น ก็ไม่ค่อยคำนึงถึงเกิด คำนึงแต่แค่แก่ พร้อมทั้งเจ็บและตาย และพยายามที่จะไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย โดยไม่ได้นึกถึงว่าจะต้องมีเกิดเป็นเหตุ ทั้งที่ปราฏอยู่อย่างชัดเจน ว่ามาจากเกิดเป็นเบื้องต้น
แต่ว่าโดยมากก็ไม่นึกถึงว่าตัวชาติคือความเกิดนั้นเป็นเหตุ จับเอาแค่จะแก้แก่ แก้เจ็บ แก้ตาย และแก้ทุกข์โศกต่างๆ ต้องการที่จะไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย ไม่ให้ทุกข์ต่างๆ คือหมายความว่าให้เกิดมานี่แหละ ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์เห็นว่าจะไม่สามารถจะแก้ ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย ไม่ให้ทุกข์ต่างๆ ได้ ก็คิดเอาว่าจะต้องมีภพหน้า ชาติหน้า ต้องไปเกิดเป็นเทวดา เป็นพรหมเป็นต้น ซึ่งจะดำรงอยู่ตลอดไป ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เพราะฉะนั้นจึงมีคำเรียกเทวดาว่าอมร ที่แปลว่าผู้ไม่ตาย คนโดยมากก็คิดแก้กันอยู่เพียงเท่านี้ แต่ก็ไม่สามารถจะแก้ให้สำเร็จได้
พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ เมื่อพระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ยังมิได้ตรัสรู้ ยังมิได้ทรงคิดจะเสด็จออกทรงผนวช ในพุทธประวัติก็แสดงว่าพระราชกุมารพระโพธิสัตว์ ได้เสด็จประพาสทอดพระเนตรเห็นเทวทูต คือคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ก็ทรงน้อมเข้ามาว่าพระองค์ก็จะต้องเป็นเช่นนั้น จึงทำให้ทรงหน่ายในทุกข์คือความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็ยังไม่ไปถึงชาติ และได้ทรงพอพระทัยในความเป็นสมณะ ทรงเห็นว่าความเป็นสมณะนั้นมีโอกาสมีช่องว่าง ที่จะปฏิบัติเพื่อไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย ไม่ให้ทุกข์ต่างๆ ได้ จึงมีพระหฤทัยน้อมไปในการบวช จนถึงได้เสด็จออกทรงผนวช และทรงเข้าศึกษาในสำนักของคณาจารย์เจ้าลัทธิทั้งสอง
แม้ท่านคณาจารย์นั้นก็คิดแก้ในแค่นั้นอีกเหมือนกัน คือไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย โดยที่จะต้องปฏิบัติทางฌานสมาบัติให้ไปเกิดเป็นพรหม ก็จะอยู่เป็นพรหมตลอดไป ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ซึ่งพระโพธิสัตว์เมื่อทรงพิจารณาแล้ว โดยที่ทรงปฏิบัติในฌานสมาบัติ เพื่อที่จะไปเกิดเป็นพรหมนั้น ได้เหมือนอย่างท่านอาจารย์ทั้งสองแล้ว ก็ได้ทรงเห็นว่ายังไม่พ้นทุกข์
ในตอนนี้ก็แสดงว่า ได้ทรงพิจารณาเห็นเข้าไปถึงชาติคือความเกิด ว่าเมื่อยังมีชาติคือความเกิดอยู่ ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร ไม่ว่าจะเกิดเป็นพรหม ก็จะต้องมีจุติคือความเคลื่อน ซึ่งเท่ากับว่าเป็นความตาย เพราะฉะนั้น จึงได้เสด็จหลีกออกไปทรงค้นคว้าด้วยพระองค์เอง จนได้ตรัสรู้ในปฏิจจสมุปบาทนี้ ที่ทรงแสดงสั่งสอน คือทรงพิจารณาจับทุกข์ต่างๆ มีโสกะปริเทวะเป็นต้นสืบขึ้นไป ก็ทรงจับมรณะ คือความตาย จับชรา จับชาติ คือความเกิด จับภพ คือความเป็น จับอุปาทาน จับตัณหา จับเวทนา จับผัสสะ จับอายตนะ จับนามรูป จับวิญญาณ จับสังขาร จนถึงจับอวิชชาได้ จับอาสวะได้ วิชชาคือความรู้จึงบังเกิดแจ่มแจ้งขึ้น เป็นความตรัสรู้
เมื่อวิชชาบังเกิดขึ้น อวิชชาก็ดับ เหมือนอย่างเมื่อความสว่างบังเกิดขึ้นความมืดก็ดับ เมื่ออวิชชาดับ ก็ดับไปโดยลำดับ คือ สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะเป็นต้น ทุกข์ทั้งสิ้นก็ดับไป เพราะฉะนั้นเมื่อพระองค์ทรงพิจารณาธรรมะที่ได้ตรัสรู้ คือสัจจะความจริงที่ได้ตรัสรู้ สายเกิด สายดับ และทั้งสายเกิดสายดับ จึงได้ทรงเปล่งอุทานขึ้นในราตรี ในปัจฉิมยามแห่งราตรี ดังที่ได้ยกมาแปลไว้แล้ว ซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่า
เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยของพราหมณ์ย่อมสิ้นไป พราหมณ์นั้นกำจัดมารและเสนา สถิตย์อยู่ เหมือนอย่างดวงอาทิตย์สถิตย์ส่องสว่างอยู่ในนภากาศ ดั่งนี้
( เริ่ม ) มารนั้นแปลว่าผู้ฆ่า ผู้ทำลาย ในพุทธประวัติได้มีแสดงถึงมารที่แสดงว่าเป็นเทพชั้นหนึ่ง อันเรียกว่าเทวบุตร และเมื่อเป็นมารก็เรียกว่าเทวบุตรมาร เป็นเทพชั้นหนึ่งที่มาขัดขวางพระพุทธเจ้าตั้งแต่ในเบื้องต้น ตั้งแต่ป้องกันมิให้ทรงผนวช และเมื่อทรงผนวชแล้วก็ยังมาตามป้องกันต่างๆ มิให้ตรัสรู้ จนถึงในราตรีที่ตรัสรู้นั้นมารก็ได้มาป้องกัน ในขั้นสุดท้ายก็ยังมาป้องกันอย่างเต็มที่ แต่ว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงชนะมารได้ จึงได้ตรัสรู้
นักธรรมะได้วิจารณ์กันว่า อาจจะถอดความได้เป็นธรรมะ มารที่มาผจญพระพุทธเจ้านั้น ก็คือกิเลสมาร มารคือกิเลส ซึ่งมีอวิชชาเป็นหัวหน้า และเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้ในปฏิจจสมุปบาทธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น ทรงพิจารณาจับผลจับเหตุขึ้นไปจนถึงอวิชชาอาสวะ วิชชาบังเกิดขึ้นแก่พระองค์อย่างเต็มที่ อวิชชาจึงดับ ที่ได้กล่าวแล้วว่า เหมือนอย่างเมื่อแสงสว่างบังเกิดขึ้น หรือความสว่างบังเกิดขึ้น ความมืดก็ดับ
เพราะฉะนั้น เมื่อวิชชาบังเกิดขึ้น อวิชชาก็ดับ ก็เป็นอันว่าได้ทรงกำจัดมารเสียได้ พร้อมทั้งเสนาก็คือบรรดากิเลสทั้งหลาย ที่สืบเนื่องจากอวิชชา เช่นตัณหาอุปาทาน หรือกิเลสตัณหาทั้งหลาย อย่างที่พูดกันว่า กิเลสพันห้า ตัณหาร้อยแปด เป็นต้น คือบรรดากิเลสทั้งปวง ซึ่งบังเกิดสืบเนื่องมาจากอวิชชา กิเลสทั้งปวงเหล่านั้นเรียกว่าเป็นเสนาของมาร มารก็คืออวิชชา กิเลสที่เกิดสืบเนื่องจากอวิชชาก็คือเสนาของมารทั้งหมด เพราะฉะนั้น เมื่อดับอวิชชาซึ่งเป็นตัวมารเสียได้ บรรดาเสนาก็พลอยดับไปหมด
มาร ๕
แต่ก็ได้มีแสดงมารไว้ว่ามี ๕ อย่าง คือ ขันธ์มาร มารคือขันธ์ อันได้แก่นามรูปหรือสกนธกายอันนี้ กิเลสมาร มารคือกิเลส อภิสังขารมาร มารคือความปรุงแต่งอันได้แก่กรรมที่ประกอบกระทำ มัจจุมาร มารคือความตาย เทวบุตรมาร มารคือเทพบุตร
ขันธ์มาร นั้นก็หมายถึงขันธ์ ๕ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ย่อเป็นนามรูปหรือกายใจอันนี้ ได้ชื่อว่าเป็นมารแก่ผู้ที่ยึดถือ เป็นอุปาทานขันธ์ ขันธ์เป็นที่ยึดถือ และเมื่อมีความยึดถืออยู่ในขันธ์ ขันธ์ก็เป็นมาร คือเป็นเครื่องทำลายล้างมิให้ปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงความสิ้นทุกข์ได้ เพื่อดับกิเลสและกองทุกข์ได้
กิเลสมาร มารคือกิเลส เป็นมารก็เพราะกิเลสเป็นผู้ฆ่า เป็นผู้ทำลายล้างต่างๆ
อภิสังขารมาร มารคืออภิสังขารอันได้แก่กรรม ก็เพราะกรรมที่ประกอบกระทำนั้น ย่อมสืบเนื่องมาจากกิเลส เพราะฉะนั้นจึงพลอยเป็นมารไปด้วย เพราะกรรมนั้นเองก็เป็นเครื่องป้องกัน เป็นเครื่องทำลายต่างๆ ได้
มัจจุมาร มารคือความตาย ก็เพราะว่าความตายนั้นเป็นเครื่องทำลายชีวิต ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะปฏิบัติสืบต่อไปได้
เทวบุตรมาร มารคือเทพบุตร ก็หมายถึงเทวดาที่เป็นมาร ดั่งที่กล่าวมาแล้ว
พระพุทธเจ้าได้ทรงกำจัดมารและเสนาได้หมดสิ้น ทรงสถิตย์อยู่เหมือนอย่างดวงอาทิตย์ สถิตย์ส่องสว่างอยู่ในนภากาศ
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป