แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
จะได้แสดงขยายความอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร หรือเมื่ออวิชชาเกิดสังขารก็เกิด ต่อไปอีก อันสังขารนั้นก็ได้แสดงมาแล้วถึงหมวดธรรมต่างๆ ที่มีคำว่าสังขาร และได้แสดงความหมายของสังขารที่เป็นส่วนกลางๆ อันเป็นที่มุ่งหมายว่าอวิชชาเป็นเหตุให้เกิดสังขารในที่นี้ แต่ยังมีอีกบางหมวด และลักษณะของสังขารที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ อันสมควรแสดงรวมเข้าในข้อนี้ด้วย
อวิชชาคือความไม่รู้ อันหมายถึงไม่รู้ในสัจจะที่เป็นความจริงดังที่ได้กล่าวแล้ว และเกิดขึ้นที่จิตนี้เอง อันหมายถึงจิตที่เป็นวิญญาณธาตุ คือธาตุรู้ ซึ่งมีอยู่ในบุคคลทุกๆ คน (เริ่ม) บุรุษบุคคลนี้พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่าประกอบด้วยธาตุ ๖ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาส ทั้ง ๕ นี้เป็นธาตุที่ไม่มีความรู้ในตัว และวิญญาณธาตุคือธาตุรู้เป็นข้อที่ ๖ เพราะฉะนั้นจึงรู้อะไรๆ ได้
และวิญญาณธาตุหรือธาตุรู้ หรือที่เรียกว่าจิตในที่นี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสเอาไว้ ว่าเป็นธรรมชาติปภัสสรคือผุดผ่อง แต่เมื่อยังมิได้ปฏิบัติทำจิตตภาวนาคือการอบรมจิต จิตหรือธาตุรู้นี้ก็ยังประกอบด้วยอวิชชา คือความไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัวความจริง อันหมายถึงว่าแม้จะเป็นธาตุรู้ แต่ก็เป็นความรู้ผิดรู้หลง ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง เป็นอวิชชาดั่งที่ได้แสดงแล้ว
อวิชชาเป็นเหตุให้ปรุงแต่ง
แต่เพราะอวิชาคือไม่รู้นี้เอง จึงเป็นเหตุให้ปรุงแต่ง ปรุงแต่งเพื่ออะไร ก็เพื่อให้รู้นั้นเอง เหมือนอย่างบุคคลที่ไม่รู้ในเรื่องอะไร เมื่อต้องการจะรู้ในเรื่องนั้น ก็ต้องปรุงแต่ง เช่นว่า ต้องค้นคว้า ต้องไต่ถามสดับตรับฟัง ต้องสืบสวนสอบสวน ต้องคิดพินิจพิจารณา เพื่อจะให้รู้ในเรื่องนั้น นี้คือสังขารคือปรุงแต่ง และเมื่อรู้แล้วก็เป็นอันว่าหยุดคิดเพื่อที่จะรู้ในเรื่องนั้นได้ แต่ว่าที่ว่าคิดว่ารู้แล้วนั้น บางทีก็ไม่ใช่รู้จริงรู้ถูก เป็นความรู้ผิดรู้หลงก็มี ก็เป็นอันว่า ก็คงเป็นอวิชชาคือไม่รู้อยู่นั่นเอง แต่สำคัญว่ารู้
เพราะฉะนั้น จึงยังมีสังขารคือปรุงแต่ง อันหมายความว่า ความรู้ที่คิดว่ารู้นั้น ไม่ใช่เป็นตัวความรู้ แต่เป็นความปรุงแต่งขึ้นว่ารู้ คือไม่ใช่รู้จริง เมื่อไม่ใช่รู้จริง ความรู้นั้นจึงเป็นความปรุงแต่ง ปรุงแต่งขึ้นว่ารู้ ไม่ใช่เป็นความรู้จริง ต่อเมื่อเป็นความรู้จริง จึงจะไม่ใช่เป็นสังขารคือความปรุงแต่ง เพราะฉะนั้น วิชชาคือความรู้ที่บังเกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าในอริยสัจจ์ ๔ ท่านจึงได้แสดงไว้ว่า จักษุคือดวงตาผุดขึ้น ญาณคือความหยั่งรู้ผุดขึ้น ปัญญาคือความรู้ทั่วถึงผุดขึ้น วิชชาคือความรู้ถูกต้องผุดขึ้น อาโลกะคือความสว่างผุดขึ้น ในธรรมะทั้งหลายที่ยังมิได้เคยสดับมาก่อน ว่านี้ทุกข์ นี้เหตุเกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เป็นต้น
ความรู้ที่ผุดขึ้นดั่งนี้ ไม่ใช่เป็นความรู้ที่ปรุงแต่ง แต่เป็นความรู้จริง ส่วนความรู้ที่ปรุงแต่งนั้นยังไม่ใช่เป็นความรู้จริง แต่เป็นความปรุงแต่งต่างหาก อันเรียกว่าสังขาร แม้ความรู้ที่เป็นปริยัติคือที่เล่าเรียน อันได้แก่สดับตรับฟังอ่านท่องบ่นจำทรง ดังเช่นสดับตรับฟังอ่านท่องบ่นจำทรงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จำอริยสัจจ์ได้ นี้ก็เป็นสังขาร คือเป็นความปรุงแต่งขึ้นของผู้เรียน ไม่ใช่เป็นความรู้ของตนเอง แต่เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสสอนเอาไว้ แล้วก็มาฟัง มาจำทรง เป็นความจำ เป็นความจำทรง ซึ่งเป็นตัวสังขารคือเป็นความปรุงแต่ง ไม่ใช่เป็นความรู้ที่เป็นตัวปัญญาของตนเอง จะเป็นความรู้ที่เป็นปัญญาของตัวเองนั้น ต้องเป็นความรู้ที่ผุดขึ้น ไม่ใช่คิดขึ้น มิใช่จำเอาไว้ เป็นความรู้ที่ผุดขึ้น โดยที่ไม่ได้คิดไม่ได้แต่ง มิได้จำ
ดังจะพึงเห็นได้ว่าในปฐมเทศนา พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาคือธรรมจักร แก่พระปัญจวัคคีย์ ได้ตรัสแสดงถึงทางที่ทรงปฏิบัติมา ทรงละทางที่เป็นสุดโต่งสองอย่าง ทรงปฏิบัติทางที่เป็นมัชฌิมาซึ่งอยู่ในท่ามกลาง ไม่ข้องแวะด้วยทางสุดโต่งทั้งสองนั้น อันได้แก่มรรคมีองค์ ๘ จึงได้ตรัสรู้อริยสัจจ์ทั้ง ๔ ก็ทรงแสดงอริยสัจจ์ทั้ง ๔ และทรงแสดงพระญาณที่มีวนรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ และเพราะพระญาณที่มีวนรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ ในอริยสัจจ์ทั้ง ๔ นี้ บริสุทธิ์บริบูรณ์แก่พระองค์ จึงได้ทรงปฏิญญาพระองค์ว่าได้ตรัสรู้แล้ว ดั่งนี้
พระอัญญาโกณฑัญญะ
ธรรมจักษุคือดวงตาเห็นธรรมได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะ ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา นี้เป็นตัวปัญญา จะเห็นได้ว่าธรรมจักษุที่บังเกิดขึ้นแก่พระโกณฑัญญะนี้ ไม่เกี่ยวแก่ถ้อยคำที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงในปฐมเทศนานั้น แต่เมื่อท่านพระโกณฑัญญะท่านได้ฟังแล้ว ท่านเข้าใจ ความเข้าใจของท่านนั้นก็ผุดขึ้นมาแก่ท่านว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา คือท่านเห็นเกิดดับของทุกๆ สิ่งที่เกิดขึ้น
ก็แหละ อันทุกๆ สิ่งที่เกิดดับนี้เป็นตัวสังขาร คือเป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง สิ่งที่มีที่เป็นขึ้นทุกอย่างในโลกนี้ เป็นสิ่งผสมปรุงแต่งทุกอย่าง ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะฉะนั้นจึงต้องเกิดดับเป็นธรรมดา เห็นเกิดเห็นดับคู่กันไปในขณะเดียวกัน นี้เป็นตัวธรรมดา หรือเป็นธรรมะของทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างในโลก ที่มีเกิดขึ้น ก็ต้องมีดับ นี่แหละคือตัวสังขาร และเมื่อเห็นสังขาร และเห็นเกิดดับของสังขาร จึงชื่อว่าเห็นทุกข์ ซึ่งเป็นทุกขสัจจะสภาพที่จริงคือทุกข์ ก็คือทุกขอริยสัจจ์ ที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ในปฐมเทศนานั้นเอง
แต่ว่าความรู้ที่ผุดขึ้นแก่ท่านนั้นไม่ได้อิงพยัญชนะถ้อยคำในปฐมเทศนา แต่ว่าเป็นความรู้ที่ผุดขึ้น ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นอรรถรส หรือเป็นสาระคือแก่นสาร ของเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น อันจะเปรียบได้ว่าเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง หรือที่พระสาวกแสดงกันต่อมาก็ตาม ซึ่งทุกๆ คนได้สดับตรับฟัง ได้เล่าเรียนศึกษา ได้ท่องบ่นจำทรง ก็เหมือนอย่างอาหารที่จัดใส่ไว้ในสำรับ และที่ทุกคนก็ตักหยิบบริโภค คือนำเข้าใส่ปาก อาหารเหล่านี้ก็ปรากฏเป็นสิ่งนั้นเป็นสิ่งนี้ และเมื่อนำเข้าปากเคี้ยวอาหารเหล่านี้ก็รวมกัน และกลืนลงไปสู่ท้อง เมื่อเข้าไปสู่ท้องแล้วก็ต้องย่อยให้โอชะของอาหารนั้นแผ่ไปเลี้ยงร่างกาย
ถ้าหากว่าไม่ย่อยเอาโอชะของอาหารนั้นไปเลี้ยงร่างกาย อาหารที่บริโภคเข้าไปนั้นไม่ย่อยก็กลายเป็นพิษ ทำให้ปวดท้อง ทำให้เป็นโรค ต่อเมื่อย่อยเอาโอชะไปเลี้ยงร่างกาย และส่วนกากนั้นก็เป็นอาหารเก่าถ่ายทิ้งต่อไป ใช้แต่โอชะของอาหารนั้นไปเลี้ยงร่างกายเท่านั้น ดั่งนี้อาหารนั้นจึงจะสำเร็จประโยชน์ แผ่ไปเลี้ยงร่างกายได้
ธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรม
ธรรมะที่ฟังก็ฉันนั้น ก็เหมือนอย่างอาหารที่ยังใส่อยู่ในสำรับ แม้ที่หยิบใส่ปากเคี้ยว ก็เป็นสิ่งนั้นเป็นสิ่งนี้ แต่ว่าที่จะเป็นธรรมะที่เป็นธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรมขึ้นนั้น จะต้องใช้ปัญญาย่อย ย่อยให้เหลือแต่โอชะ โอชะของถ้อยคำ โอชะของปริยัติ โอชะของแบบแผน ส่วนที่เป็นกากที่ไม่ใช่โอชะนั้นก็วางทิ้งไป ให้เหลือแต่โอชะ
ฉันใดก็ดี เมื่อท่านพระโกณฑัญญะฟังธรรม ท่านก็มิได้จับเอาพยัญชนะถ้อยคำ มิได้จับเอาปริยัติ แต่ว่าย่อยปริยัติคือย่อยถ้อยคำนั้นด้วยปัญญาที่พิจารณา จนได้โอชะของปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้าผุดขึ้นแก่ท่าน คือท่านเห็นเกิดดับ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา เป็นความเห็นเกิดดับที่ผุดขึ้นมา เพราะฉะนั้น ข้อความในธรรมะจักษุของท่านพระโกณฑัญญะนั้น จึงคล้ายๆ กับเป็นคนละเรื่องกับปฐมเทศนา แต่อันที่จริงนั้นไม่ใช่เป็นคนละเรื่อง แต่เป็นตัวโอชะของปฐมเทศนานั้น
อันนี้แหละเป็นสิ่งสำคัญ ฉะนั้นที่จะเห็นธรรมะได้นั้น ก็อาศัยถ้อยคำนั่นแหละ อาศัยปริยัตินั่นแหละ แต่ว่าจับเอาโอชะของปริยัติของถ้อยคำนั้นได้ เป็นสาระคือตัวแก่นสารจริงๆ ให้ความรู้ดั่งนี้ผุดขึ้น นั่นแหละจึงจะเป็นธรรมจักษุคือดวงตาเห็นธรรม เป็นวิชชา และเมื่อเป็นวิชชาแล้วก็สิ้นสงสัย ไม่ต้องคิดปรุงแต่งกันอีกต่อไป แต่ที่ยังต้องปรุงแต่งกันอยู่นั้นก็เพราะยังมีอวิชชา คือความไม่รู้ ไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัวความจริง
ความไม่รู้สัจจะ
ในข้อนี้เห็นได้ธรรมดาทั่วไป ดั่งเช่นเมื่อเห็นอะไรทางตา เพราะอวิชชาคือไม่รู้ในรูปที่ตาเห็นนั้น จึงได้ยึดถือแล้วก็ปรุงแต่งรูปนั้น ว่านี่สวยนี่งาม นี่ไม่สวยนี่ไม่งาม นี่เป็นสังขารคือปรุงแต่งขึ้นมาแล้ว แต่งให้รูปที่ตาเห็นนั้นว่างามบ้างไม่งามบ้าง และเมื่อแต่งให้เห็นว่างามบ้างไม่งามบ้างขึ้นแล้ว กิเลสก็เกิดขึ้นจับทันที เมื่อแต่งให้เห็นว่างาม ราคะความติดความยินดี โลภะความโลภอยากได้ก็บังเกิดขึ้น เมื่อเห็นว่าไม่งามก็ไม่สนใจ หรือว่าโทสะปฏิฆะความหงุดหงิดกระทบกระทั่งขัดเคือง ก็บังเกิดขึ้น ก็เป็นความปรุงแต่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาอีก
เหล่านี้สังขารทั้งนั้น คือใจปรุงขึ้นทั้งนั้น ว่างามก็ใจปรุงขึ้น ว่าไม่งามก็ใจปรุงขึ้น ทั้งนี้ก็เพราะว่ายังมีอวิชชาคือไม่รู้ คือไม่รู้ว่านี่คือสังขาร รูปที่ตาเห็นนี่คือสังขาร เป็นสิ่งที่เกิดดับ เห็นรูปนั้นก็เป็นเกิด แล้วก็รูปนั้นก็ดับทันที คือหมายความว่าการเห็นนั้นเป็นปัจจุบัน แล้วก็เป็นอดีตไปทันที เมื่อเป็นอดีตก็คือว่าดับไปแล้ว
อันที่จริงนั้นเมื่อคนเห็นอะไรทางตา รูปที่ตาเห็นนั้นก็เกิดดับไปทันทีในขณะนั้น แล้วรูปอื่น เห็นรูปอื่นขึ้นอีกก็เกิดดับไปทันทีในขณะนั้น แต่คราวนี้ยังไม่ดับอยู่ในใจ เพราะว่าจิตใจนี้ยังมีอวิชชาคือไม่รู้ว่านี่คือตัวทุกข์ เป็นตัวสังขาร เป็นสิ่งที่เกิดดับ เมื่อเป็นดั่งนี้จึงยึดถือ ยึดถือเอารูปนั้นมาตั้งอยู่ในใจ เพราะฉะนั้น รูปนั้นจึงไม่ดับอยู่ในใจ เป็นที่ตั้งของราคะบ้างของโทสะบ้าง หรือว่าของโลภะบ้าง โทสะบ้างสืบต่อไป นี่เป็นสังขารคือปรุงแต่งทั้งนั้น
ดวงตาเห็นธรรมคือเห็นเกิดดับ
คราวนี้ถ้าเมื่อเห็นรูปอะไรทางตาแล้ว รู้ทันทีว่าเกิดดับ รูปที่เห็นในบัดนี้ เกิดไปในบัดนี้ ก็ดับไปในบัดนี้แล้ว คือผ่านไปแล้วเป็นอดีตไปแล้ว ถ้าเห็นเกิดดับทันทีดั่งนี้แล้ว จะไม่เกิดความปรุงแต่ง คือไม่ยึดเอารูปที่ดับไปแล้วนั้นมาปรุงแต่งในใจว่างามหรือไม่งาม แล้วก็เกิดชอบหรือเกิดชังขึ้นมา ก็เป็นสังขารคือปรุงแต่งสืบต่อไป อวิชชาจึงเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารคือปรุงแต่งขึ้นดั่งนี้ แต่ว่าถ้ารู้แล้วก็จะหยุดปรุงแต่งทันที ไม่ปรุงแต่ง ปล่อยให้รูปที่ตาเห็นนั้น รู้ดับไปแล้ว เสียงที่ได้ยินก็ดับไปแล้ว จะเป็นเสียงสรรเสริญเสียงนินทาก็ดับไปแล้ว กลิ่นรสโผฏฐัพพะเรื่องราวที่บังเกิดขึ้นในใจที่คิดที่นึก เกิดก็ดับไปแล้ว คือเป็นอดีตไปแล้วทันที คู่กันไปกับเกิด เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ ไปทันที
ดั่งนี้เรียกว่าธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรม เมื่อเป็นวิชชาขึ้นมาดั่งนี้แล้ว ก็จะหยุดไม่ปรุงแต่งในสิ่งเหล่านี้ ว่าเป็นยังงั้นเป็นยังงี้ แล้วก็ชอบ แล้วก็ชังกันเป็นต้นต่อไป ซึ่งเป็นยังงั้นเป็นยังงี้ ชอบหรือชังเป็นต้นต่อไปนั้นก็เป็นความปรุงความแต่งทั้งสิ้น เป็นสังขารทั้งสิ้น คือใจนี้เองปรุงขึ้นแต่งขึ้น แต่งเอาสิ่งที่ผ่านไปแล้วว่ายังมีอยู่ อันนี้แหละเป็นสิ่งสำคัญคือไม่เห็นเกิดดับ เพราะฉะนั้นความเห็นเกิดดับที่เป็นธรรมจักษุนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ฟังธรรมะทุกข้อทุกบทที่จะเป็นตัวธรรมจักษุคือดวงตาเห็นธรรมนั้น ก็คือเห็นเกิดดับนี้เอง และเมื่อเห็นเกิดดับก็ไม่ใช่หมายความว่า เห็นเกิดดับจำเพาะตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้
แต่ว่าทำให้เห็นเกิดดับในธรรมะ คือในสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ในโลกที่เป็นปัจจุบันนี้ทุกอย่าง คือสิ่งที่มาประสบทางตาเป็นรูปที่ตาเห็น มาประสบทางหูเป็นเสียงที่หูได้ยิน เป็นกลิ่นเป็นรสเป็นโผฏฐัพพะที่จมูกที่ลิ้นที่กายได้ทราบ และเป็นธรรมะเรื่องราวต่างๆ ที่ใจได้คิดนึกที่รู้ เหล่านี้ทั้งสิ้น ที่ประสบพบผ่านอยู่ทุกขณะนี้ เมื่อประสบพบผ่านขึ้นเมื่อใดก็เกิดดับไปเมื่อนั้นทันที คู่กันไปเลยไม่มีเหลืออยู่ นี่เป็นวิชชา เมื่อเป็นวิชชาขึ้นมาดั่งนี้ได้จริงๆ แล้วก็จะหยุดปรุง หยุดแต่ง หยุดยึด ไม่ยึดให้เป็นสัญโญชน์คือข้อที่ผูกพันจิตใจอยู่ จิตใจไม่ผูกพันอยู่กับสิ่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ผูกพันจิตใจอยู่ และไม่ปรุงแต่งว่าสิ่งเหล่านั้นงามหรือไม่งาม ดีหรือไม่ดี ชอบใจหรือไม่ชอบใจ กิเลสที่เป็นกองราคะโทสะโมหะก็ไม่บังเกิดขึ้น ซึ่งล้วนเป็นสังขารคือสิ่งปรุงแต่งทั้งสิ้น
เมื่อเห็นเกิดดับก็ชื่อว่าเห็นทุกข์
เพราะฉะนั้น ธรรมจักษุที่เป็นตัวเห็นทุกข์นั้น จึงต้องเห็นเกิดดับ และเมื่อเห็นเกิดดับก็ชื่อว่าเห็นทุกข์ ฉะนั้นจะเห็นทุกข์ได้ก็ต้องเห็นสังขาร คือเห็นว่าเป็นสังขารสิ่งผสมปรุงแต่ง และเมื่อเห็นสังขารก็จะเห็นเกิดดับของสังขาร เมื่อเป็นดั่งนี้รวมกันเข้าก็ชื่อว่าเห็นทุกข์ ต้องอาศัยวิชชาจึงจะเห็นทุกข์ เห็นสังขาร เห็นเกิดดับ และเมื่อเห็นเป็นวิชชาขึ้นดั่งนี้ก็หยุดปรุงหยุดแต่ง หยุดกิเลสได้ในสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ในโลก แต่ที่ทุกคนยังต้องยึดยังต้องปรุงยังต้องแต่งเป็นตัวสังขารอยู่นี้ ก็เพราะอวิชชาคือไม่รู้ คือไม่เห็นเกิดดับของสิ่งทั้งหลายในโลก ในขณะที่ประสบพบผ่านทางตาทางหูเป็นต้น จึงต้องยึดต้องปรุงต้องแต่ง ก็ใจนี้เอง นี้เป็นสังขารคือการผสมปรุงแต่งทั้งนั้น ที่บังเกิดขึ้นในจิตใจ อวิชชาจึงทำให้เกิดสังขารขึ้นดั่งนี้
แล้วก็กล่าวได้ว่า ก็เพราะอวิชชานี้เอง ก็จะทำให้เกิดวิชชาขึ้น คือทำให้เกิดปรุงแต่งเพื่อที่จะรู้จะเห็นขึ้น ดังที่เมื่อได้ฟังธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเอาไว้ ดังที่เช่นนำมาแสดงนี้ ก็ตั้งใจที่จะปฏิบัติในศีลในสมาธิในปัญญา หรือในมรรคมีองค์ ๘
ความที่ตั้งใจปฏิบัตินี้ก็เป็นสังขารอีกเหมือนกัน คือต้องผสมต้องปรุงต้องแต่ง ต้องทำให้เป็นศีลขึ้นมา เป็นสมาธิขึ้นมา เป็นปัญญาขึ้นมา เป็นมรรคมีองค์ ๘ ขึ้นมา และเมื่อปฏิบัติได้ดั่งนี้ ก็จะได้วิชชาคือความรู้ ตรงกันข้ามกับอวิชชา คืออวิชชาก็จะดับไป วิชชาก็จะบังเกิดขึ้น ก็จะทำให้หยุดปรุงหยุดแต่งในที่สุดได้
อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดวิชชา
เพราะฉะนั้น ก็กล่าวได้อีกว่า ก็เพราะอวิชชานี้เอง เป็นปัจจัยให้เกิดปรุงแต่งเพื่อที่จะรู้เป็นวิชชาขึ้นมา และเมื่อเป็นวิชชาขึ้นมา อวิชชาดับ ก็หยุดหยุดแต่ง เพราะว่ารู้แล้วก็ไม่ต้องปรุงแต่งกันทำไม ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เมื่อเห็นเกิดเห็นดับ ทุกๆ อย่างที่ประสบพบผ่านทางตาทางหู เกิดดับอยู่ในปัจจุบันทุกอย่างไม่มีอะไรเหลืออยู่ ก็ไม่มีอะไรที่จะไปยึดถือ เพราะว่าดับไปแล้ว จึงไม่ต้องคิดปรุงคิดแต่งว่างามหรือไม่งาม ดีหรือไม่ดี แล้วก็เกิดยินดีหรือเกิดความยินร้าย ก็เป็นอันว่าหมดเรื่องกันไป เพราะฉะนั้น อวิชชาจึงเป็นเหตุให้เกิดสังขารคือความปรุงแต่ง และเมื่อเป็นวิชชาขึ้นมา ก็หยุดสังขารคือความปรุงแต่งได้
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป