แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ความเห็นชอบคือเห็นถูกต้องในปฏิจจสมุปบาทธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น ตามที่ท่านพระสารีบุตรได้ให้เถราธิบายไว้ ฟังดูก็เป็นเรื่องยาก หรือเข้าใจยาก แต่เมื่อได้ตั้งใจฟัง ทราบอธิบายของข้อธรรมะนั้นๆ และตั้งใจฟังว่าธรรมะนั้นๆ เป็นเหตุปัจจัยที่เกี่ยวเนื่องกันไว้อย่างลูกโซ่อย่างไร แม้ตามที่ได้อธิบาย ก็ย่อมจะพอเข้าใจไปโดยลำดับ
ความเข้าใจนี้แม้ว่าจะเริ่มต้นเพียงเล็กน้อย หรือเฉพาะบางข้อบางประการ ก็ย่อมเป็นการดี เป็นอันว่าได้เริ่มเข้าใจบ้าง และความเข้าใจบ้างนี้ เมื่อได้ตั้งใจฟังตั้งใจพิจารณาซ้ำๆ ไปบ่อยๆ และเมื่อได้มีการปฏิบัติทางศีลทางสมาธิ ประกอบกับปัญญาที่พิจารณา ก็จะทำให้เข้าใจมากขึ้นๆ เปรียบเหมือนอย่างว่า น้ำฝนที่ตกทีละหยาดๆ จากชายคาลงตุ่มน้ำ ก็ทำตุ่มน้ำให้เต็มได้ จากน้ำฝนที่ตกทีละหยาดๆ เท่านั้น
ความเพียรไม่ย่อหย่อน
แต่ท่านก็สอนอยู่เสมอว่าให้ทำบ่อยๆ ใช้คำว่า ส้องเสพให้มาก ปฏิบัติให้มาก ปฏิบัติบ่อยๆ จึงจะได้ผลที่สืบต่อ และเพิ่มพูน เหมือนอย่างน้ำที่ตกทีละหยาดๆ นั้นลงตุ่ม เมื่อตกลงไปได้สัก ๑๐ หยด ๒๐ หยด ๑๐ หยาด ๒๐ หยาด ก็หยุด ทิ้งไว้สักวันสองวัน น้ำในตุ่มนั้นก็จะแห้งไป ก็เป็นอันว่าต้องรองน้ำฝนกันใหม่ อีกทีละ ๑๐ หยาด ๒๐ หยาด แล้วก็หยุดไปอีกวันสองวัน น้ำฝนนั้นก็หมดไปอีก แห้งไปอีก เพราะฉะนั้น จะต้องรองติดต่อ ทีละหยาดๆ นั้นต้องหมายความว่าต้องติดต่อด้วย ไม่ทันที่จะแห้ง น้ำจึงจะเพิ่มเติมขึ้นมาจนถึงเต็มตุ่มได้
เพราะฉะนั้น การทำบ่อยๆ ที่เรียกว่ามีความเพียรไม่ย่อหย่อน แต่ว่ามีความเพียรที่มั่นคง คือติดต่อสืบต่อกันไปอยู่เสมอ แม้ทีละน้อย ที่เหมือนอย่างน้ำทีละหยาดๆ นั้น ก็ทำให้เต็มได้ แต่ให้ติดต่อกันไปอยู่เสมอเท่านั้น ความเข้าใจในธรรมะก็เช่นเดียวกัน ก็ย่อมได้มาทีละน้อยๆ แต่ว่าไม่ติดต่อที่จะฟัง ที่จะพิจารณา ก็จะไม่ได้ความเข้าใจมากขึ้น จะได้แสดงอธิบายต่อถึงข้อที่ว่า เพราะนามรูปบังเกิดขึ้น อายตนะทั้ง ๖ จึงเกิดขึ้น หรือว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัย อายตนะทั้ง ๖ จึงเกิดขึ้น ซึ่งสืบต่อมาจากเบื้องต้น ว่าเพราะอาสวะเป็นปัจจัย อวิชชาเกิด หรืออวิชาเป็นปัจจัย อาสวะเกิด อาสวะเป็นปัจจัย อวิชชาเกิด และเพราะอวิชชาเกิด สังขารความปรุงแต่งก็เกิด เพราะสังขารเกิด วิญญาณก็เกิด เพราะวิญญาณเกิด นามรูปก็เกิด เพราะนามรูปเกิด อายตนะก็เกิด
นามรูป
จะได้กล่าวถึงนามรูปเพิ่มเติมจากที่ได้อธิบายไปแล้ว คำว่า นามรูป นี้ ประกอบขึ้นด้วยนามและรูป หรือว่ารูปและนาม แต่ว่าเมื่อเรียกคู่กัน ย้ายเอานามไว้ข้างหน้าเป็นนามรูป มักจะฟังอธิบายหรือฟังเทศน์กันบ่อยๆ ว่าขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ย่อลงเป็น ๒ รูป ก็เป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็น นาม โดยมากก็เทศน์กัน หรืออธิบายกันดั่งนี้
แต่พึงเข้าใจว่าไม่จำเป็นที่จะต้องจัดอย่างนี้ไปทั้งหมด คือเมื่อเป็นนามแล้ว ก็จะต้อง เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร เป็นวิญญาณ ในขันธ์ ๕ อะไรจะเป็นนาม ก็สุดแต่พุทธาธิบายในหมวดธรรมที่แสดงถึงนามรูปนั้นๆ ในเมื่อแสดงขันธ์ ๕ ก็ย่อขันธ์ ๕ เข้านามรูปดังกล่าว
แต่ว่าเมื่อแสดงในหมวดธรรมอื่น การจะจัดอะไรเข้าเป็นรูปเป็นนามนั้น ก็สุดแต่ปริยายแห่งธรรม คือทางแสดงแห่งธรรมนั้นๆ ดังเช่นในปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้นนี้ ก็ได้มีพระเถราธิบายถึงรูปและนามไว้แล้ว ซึ่งก็ได้แสดงอธิบายไว้ในที่นี้แล้ว แต่จะขอกล่าวซ้ำเพื่อไม่ต้องนึกอีกครั้งอีกครั้งหนึ่งว่า รูปนั้นก็ มหาภูตรูป กับ อุปาทายรูป รูปใหญ่ รูปอาศัย การอธิบายรูปก็ตรงกันในปริยายแห่งธรรมทั้งปวง
ส่วน นาม นั้นท่านพระสารีบุตรได้ให้อธิบายไว้ว่า ได้แก่ เวทนา ความรู้เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข สัญญา ความจำได้หมายรู้ เจตนา ความจงใจ ผัสสะ ก็คือความกระทบแห่งอายตนะภายในภายนอก และ วิญญาณ รวมกัน คือเป็นความกระทบแห่งอารมณ์ถึงจิตที่มีความแรง ให้เกิดเวทนาขึ้นได้ ( เริ่ม ) และมนะสิการความทำไว้ในใจ คือใส่ใจในอารมณ์นั้นๆ ในเรื่องนั้นๆ
นามจึงได้แก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ และมนสิการ ดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ แสดงโดยชื่อไว้ในข้อนามในที่นี้ ทำไมจึงไม่แสดงไว้ ก็น่าจะเห็นว่าเพื่อที่จะให้ไม่เข้าใจสับสน ในลำดับของธรรมะ ที่เกิดเนื่องกันเป็นสาย เหมือนอย่างลูกโซ่ที่คล้องเนื่องกันไปเป็นสาย เพราะว่าสังขารและวิญญาณได้กล่าวไว้ในลำดับข้างต้นมาแล้ว อวิชชาเกิดสังขารเกิด หรืออวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเกิดวิญญาณเกิด หรือว่าสังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเกิดนามรูปเกิด หรือวิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป ก็ได้กล่าวหรือยกเอาคำว่าสังขาร และคำว่าวิญญาณไปใช้ในลำดับข้างต้นนั้นแล้ว มาถึงนามรูปเมื่ออธิบายถึงข้อนาม จึงไม่ใช้คำว่าสังขารไม่ใช้คำว่าวิญญาณในข้อนามนี้
แม้ว่าความหมายของคำว่าสังขารกับคำว่าวิญญาณในลำดับที่กล่าวมาข้างต้น ในหมวดปฏิจจสมุปบาทธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้นนี้ จะมีความหมายที่แตกต่าง ไปจากความหมายของคำว่าสังขารและวิญญาณในขันธ์ ๕ ก็ตาม แต่หากว่าเอามาใช้ในข้อนามนี้ สำหรับในหมวดธรรมนี้ ก็จะเป็นคำที่ซ้ำกัน แม้เนื้อความจะต่างกันก็ตาม ก็จะทำให้เข้าใจสับสน จึงเอาเจตนาผัสสะมนสิการมาใช้แทน แต่ก็ยังมีข้อซ้ำอีกเหมือนกัน คือคำว่า เวทนา กับ ผัสสะ ที่จะกล่าวในอันดับต่อไป แต่แม้เช่นนั้นก็เป็นความจำเป็นที่จะต้องให้มี ๒ ข้อนี้อยู่ในที่นี้ด้วย เพราะว่า ๒ ข้อนี้ ย่อมเป็นนามในขันธ์ ๕ หรือในข้อว่านามรูปนี้ด้วยจริงๆ และแม้คำว่า สังขาร คำว่าวิญญาณ จะไม่ได้กล่าวถึง แต่คำว่า เจตนา ผัสสะ มนสิการ
เจตนา นั้นก็เป็นความจงใจ ก็จัดเป็นสังขารในขันธ์ ๕ นั้นเอง เพราะสังขารในขันธ์ ๕ นั้นได้แก่ความคิดปรุงหรือปรุงคิด ตามสัญญาคือความจำหมาย เจตนา คือความจงใจ ก็มีลักษณะเป็นความคิดปรุง หรือความปรุงคิดนั้นเอง ซึ่งเป็นไปตามสัญญา
ผัสสะ นั้นเล่าก็เนื่องด้วยวิญญาณในขันธ์ ๕ และ มนสิการ นั้นเล่า ทำไว้ในใจ ก็เท่ากับเป็นวิญญาณเหมือนกัน เพราะวิญญาณนั้นที่เป็นความรู้คือเห็นรูป รู้คือได้ยินเสียงเป็นต้นนั้น ก็ต้องเอาเรื่องรูปเรื่องเสียงนั้นเข้ามาใส่ไว้ในใจ จึงจะเกิดการรู้รูป ที่เรียกว่าเห็นรูป รู้เสียง ที่เรียกว่าได้ยินเสียงขึ้นมา เพราะฉะนั้นผัสสะมนสิการนั้นก็เนื่องกับวิญญาณ หรือจัดเข้าเป็นวิญญาณในขันธ์ ๕ ได้ แต่ใช้คำให้แตกต่างกันไปเสีย
ทางพิจารณาว่าเนื่องกันไปอย่างไร
และก็พึงเข้าใจว่า ทุกๆ ข้อในปฏิจจสมุปบาทนี้ มีอยู่ด้วยกันแล้วทั้งนั้นในจิตนี้ หรือในกายและจิตนี้ของทุกๆ คน สำหรับในธรรมะที่แสดงถึงข้อที่อาศัยกันบังเกิดขึ้นดังกล่าวมานั้น ก็แสดงเป็นทางพิจารณาถึงว่าทุกๆ อย่างที่มีอยู่ในทุกๆ คนนี้เนื่องกันไปอย่างไร เหมือนอย่างว่า เรือนหลังหนึ่งย่อมมีอยู่พร้อมตั้งแต่ ฐานราก เสา และเครื่องทัพพะสัมภาระทั้งหลายของเรือน จนถึงหลังคา มีอยู่พร้อมทุกๆ อย่าง คราวนี้เมื่อต้องการที่จะแสดงว่า ความประกอบเข้าเป็นเรือนทั้งหลังนี้ ตัวทัพพะสัมภาระมีเครื่องไม้เป็นต้น ที่ประกอบเข้าเป็นเรือนนั้น ต่อเนื่องกันขึ้นไปอย่างไร ตั้งแต่รากฐานจนถึงหลังคา หรือว่าตั้งแต่หลังคาลงมาจนถึงรากฐาน เหมือนดังจะกล่าวว่า รากฐานมีก็มีเสาตั้งขึ้น เมื่อมีเสาตั้งขึ้นก็มีตัวพื้นเรือนตั้งขึ้น อันประกอบด้วยส่วนประกอบต่างๆ ของพื้นเรือน และเมื่อมีพื้นเรือนตั้งขึ้นก็มีฝาตั้งขึ้น เมื่อมีฝาตั้งขึ้นก็ย่อมมีประตูมีหน้าต่างตั้งขึ้น และเมื่อมีประตูหน้าต่างตั้งขึ้นก็มีที่สุดของฝา เมื่อมีที่สุดของฝาก็ต้องมีหลังคา หลังคามีอะไรบ้างตั้งขึ้น ก็ต่อกันขึ้นไปจนถึงอกไก่ จนถึงกระเบื้องมุงหลังคา
เพราะฉะนั้นเรือนหลังหนึ่งที่ตั้งขึ้นมานั้น ก็ต่างเป็นปัจจัยอาศัยซึ่งกันและกันขึ้นไปดั่งนี้
ตั้งแต่รากฐานขึ้นไปจนถึงยอด หรือว่ายอดลงมาจนถึงรากฐานข้างล่าง นี่เปรียบเหมือนว่าเป็นเรือนไม้ ใต้ถุนโปร่ง เหมือนอย่างเรือนของชาวบ้านในชนบททั่วไป แม้วัตถุอื่นก็เช่นเดียวกัน และในการอธิบายของทัพพะสัมภาระแต่ละชิ้นนั้น เช่นว่าเพราะมีรากฐาน จึงมีเสาตั้งขึ้นมาบนรากฐาน รากฐานนั้นได้แก่อะไร รากฐานก็เช่นว่าเป็นไม้เสาเข็ม เป็นคอนกรีตผสมด้วยปูนทรายหิน แล้วคราวนี้เมื่อมีรากฐาน ก็มีเสาตั้งขึ้นมาบนรากฐาน เสานั้นก็ได้แก่อะไร ก็จะต้องถ้าเป็นเสาปูนก็ต้องเป็นคอนกรีต ก็จะต้องว่ากันถึงว่า ต้องประกอบด้วยเหล็กด้วยหินด้วยทรายด้วยปูน ก็ซ้ำกันกับรากฐานนั่นแหละ แต่ว่าสิ่งที่ซ้ำกันนั้นมีหน้าที่ต่างกัน สำหรับที่เป็นเสาเข็ม เป็นปูน เป็นทราย เป็นเหล็ก เป็นหิน ที่ทำเป็นรากฐานนั้นมีหน้าที่เป็นรากฐาน แต่ว่าเมื่อมาถึงเสา เป็นปัจจัยให้เสาตั้งขึ้นบนรากฐาน พวกเหล็กปูนทรายหินเหล่านี้ก็มาทำหน้าที่เป็นเสา
แม้เครื่องใช้ทัพพะสัมภาระสูงขึ้นๆ ถ้าเป็นเครื่องปูนก็จะต้องใช้วัตถุที่ซ้ำกันอยู่นี่แหละ ถ้าเป็นเครื่องไม้เช่นว่าเป็นฝาไม้ ก็ต้องประกอบด้วยไม้เป็นประตูหน้าต่าง ถ้าเป็นไม้ก็ต้องประกอบด้วยไม้ แต่ว่าทำหน้าที่ต่างกันว่านั่นเป็นฝา นั่นเป็นประตูเป็นหน้าต่าง ครั้นมาถึงเครื่องหลังคา ถ้าหากว่าเป็นปูน ก็ต้องใช้วัตถุที่เป็นเหล็กเป็นปูน เป็นทรายเป็นหิน นั่นแหละ แต่ว่ามาใช้เป็นเครื่องบนของหลังคา ถ้าเป็นไม้ก็ใช้ไม้นั่นแหละ แต่มาใช้เป็นเครื่องบนของหลังคา จนถึงยอด ก็แปลว่า วัตถุที่มาประกอบเป็นเรือนนั้นก็ใช้ไม้ใช้เหล็กใช้อิฐใช้ปูนใช้ทราย ก็ตั้งแต่รากฐานขึ้นไปจนถึงหลังคา ถ้าใช้ไม้ก็ต้องใช้ไม้เรื่อยขึ้นไปจนถึงหลังคานั่นแหละ เพราะฉะนั้น แม้ว่าวัตถุเหล่านี้จะซ้ำกัน แต่ว่าก็ใช้ทำหน้าที่ต่างกัน เป็นนั่นเป็นนี่ขึ้นไป ดังที่กล่าวมาแล้ว
ฉันใดก็ดี เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้นนี้ ก็มีข้อที่ซ้ำๆ กันอยู่ ในข้อที่เป็นเหตุปัจจัยของกันนั้น แต่ว่าก็จำเป็นที่จะต้องซ้ำกันดังที่กล่าวมา ในเมื่อเทียบกับบ้านเรือนที่กล่าวมานั้น แต่ว่าแม้ว่าจะซ้ำกัน แต่ก็ทำหน้าที่ต่างกัน อวิชชาก็ทำหน้าที่เป็นอวิชชาให้เกิดสังขาร สังขารก็ทำหน้าที่เป็นสังขาร ที่เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณก็ทำหน้าที่เป็นวิญญาณ คือเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป และนามรูปก็ทำหน้าที่เป็นนามรูป ที่เป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะทั้ง ๖ ซึ่งแสดงในวันนี้
ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น จึงให้ทำความเข้าใจดั่งนี้ คือเข้าใจว่าธรรมะทุกข้อในธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้นนี้ มีอยู่พร้อมแล้วในทุกๆ คน และในทุกๆ ข้อก็มีผสมกันอยู่ ดังเมื่อแสดงถึงอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ในตัวสังขารนั้นเองก็มีอวิชชาปนอยู่ด้วย สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ในวิญญาณนั้นเองก็มีตัวอวิชชามีตัวสังขารปนอยู่ด้วย วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป ในนามรูปนี้เองก็มีอวิชชามีสังขารมีวิญญาณปนอยู่ด้วย และนามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ ในนามรูปนี้เองก็มีข้างต้นนั้นปนอยู่ด้วย คือ อวิชชา สังขาร วิญญาณ จึงจะเป็นนามรูปที่เป็นสายบังเกิดขึ้นสืบเนื่องมาจากอวิชชา ซึ่งเป็นสายสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์
อายตนะ ๖
และนามรูปดังกล่าวนี้ ก็เป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ คือหมายความว่าเมื่อนามรูป เป็นนามรูปขึ้นมา รูปก็เป็นมหาภูตรูป อุปาทายรูป นามก็เป็นนามดังที่ท่านแสดงไว้ว่า เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ และดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ก็มีข้างต้นมารวมอยู่ด้วยทั้งหมด ก็เป็นนามรูป และเมื่อนามรูปเกิดขึ้นมาเป็นขึ้นมา ดังที่ทุกๆ คนในบัดนี้ก็มีนามรูปของตน บังเกิดขึ้นอยู่พร้อมอยู่ และในนามรูปนี้ก็มีอวิชชามีสังขารมีวิญญาณรวมอยู่ด้วย และเมื่อเป็นดั่งนี้ อายตนะทั้ง ๖ จึงเกิดขึ้น
อันหมายความว่าอายตนะทั้ง ๖ จึงปฏิบัติหน้าที่ของอายตนะได้ คือตาก็รับรูปได้ หูก็รับเสียงได้ จมูกก็รับกลิ่นได้ ลิ้นก็รับรสได้ กายก็รับโผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูกต้องได้ ตลอดจนถึงมโนคือใจก็รับธรรมะคือเรื่องราวทางใจได้ ตลอดจนถึงปฏิบัติหน้าที่คู่กันไปกับ ๕ ข้อข้างต้นนั้นได้
คือข้อมโนคือใจนี้อันเป็นอายตนะข้อที่ ๖ นั้น ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงรับอารมณ์ คือเรื่องที่ใจคิดใจรู้เพียงอย่างเดียว แต่ว่ามีหน้าที่ประกอบไปกับตาด้วย ตาจึงจะรับรูปให้เกิดจักขุวิญญาณคือเห็นรูปได้ มโนคือใจต้องประกอบไปกับหู หูจึงจะรับเสียงให้เกิดโสตะวิญญาณคือได้ยินเสียงได้ มโนคือใจจะต้องประกอบไปกับฆานะคือจมูก จมูกจึงจะรับกลิ่นให้เกิดฆานะวิญญาณคือรู้กลิ่นได้ มโนคือใจจะต้องประกอบไปกับลิ้น ลิ้นจึงจะรับรสให้เกิดชิวหาวิญญาณคือรู้รสได้ มโนคือใจจะต้องประกอบไปด้วยกาย กายจึงจะรับสิ่งถูกต้อง ให้เกิดกายวิญญาณคือรู้สิ่งถูกต้องทางกายได้ และมโนคือใจนี้ก็ยังรับธรรมะคือเรื่องราว เช่นเรื่องของรูปเสียงเป็นต้นที่ได้พบได้เห็นมาแล้ว เช่นว่าได้พบได้เห็นมาแล้วเมื่อเช้านี้ เย็นวันนี้มโนคือใจก็ยังเอามาคิดได้ มานึกถึงได้ ก็เป็นเรื่องเป็นราวที่บังเกิดขึ้นทางมโนคือใจซึ่งเป็นอายตนะข้อที่ ๖
เพราะฉะนั้น มโนคือใจนี้จึงต้องประกอบไปกับอายตนะ ๕ ข้อข้างต้นนั้น และต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนเองได้ด้วย จึงเป็นอายตนะข้อพิเศษ ในข้อนี้ได้กล่าวมาหลายหนแล้วว่า เช่นกำลังฟังอยู่นี้ มโนคือใจต้องฟังด้วยจึงจะได้ยิน ถ้ามโนคือใจไม่ฟัง เช่นว่าจิตไปคิดถึงเรื่องอื่น หูก็ดับทันที เสียงที่พูดนี้ก็จะไม่ได้ยิน ต่อเมื่อจิตตั้งที่จะฟัง ดังที่ได้เตือนตั้งแต่ข้างต้นแล้วว่าให้มีสมาธิในการฟัง มโนก็มาพร้อมกับจิต มาฟังเสียง เมื่อเป็นดั่งนี้หูจึงไม่ดับ หูก็ได้ยิน จึงได้เกิดโสตะวิญญาณ คือได้ยินเสียง รู้เสียงขึ้นมาได้
มโนทวาร
เพราะฉะนั้น มโนคือใจนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเท่ากับเป็นทวารในของจิต สำหรับตาหูจมูกลิ้นกายนั้นเป็นทวารนอก ถ้าจะเปรียบก็เหมือนอย่างว่าเป็นบ้านที่มีประตูนอกอยู่ ๕ ประตู และยังมีประตูในอีก ๑ ประตูของห้องชั้นใน ตัวจิตเองนั้นอยู่ในห้องชั้นใน เหมือนอย่างว่านั่งอยู่ในห้องชั้นใน ทุกๆ อย่างที่ผ่านเข้ามาจะต้องผ่านประตูนอก ๕ ประตูนั้น และจะต้องผ่านประตูในคือมโน ซึ่งเป็นตัว มโนทวาร จึงจะถึงจิต จิตก็รับอารมณ์ทางมโนทวาร และก็ทางทวารตาทวารหูเป็นต้น ตามประเภทของรูปของเสียงเป็นต้น ฉะนั้น มโนจึงเป็นสิ่งสำคัญ
แต่รวมความว่าอายตนะทั้ง ๖ นี้ ในเมื่อนามรูปบังเกิดขึ้น อายตนะทั้ง ๖ นี้จึงปฏิบัติหน้าที่ได้ ถ้าหากว่านามรูปไม่บังเกิดขึ้น อายตนะทั้ง ๖ นี้ก็ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ แม้ว่าตาหูจมูกลิ้นกายที่เป็นส่วนเนื้อ ที่เป็นส่วนประสาทจะมีอยู่ก็ตาม แต่ก็เหมือนไม่มี ยกตัวอย่างเช่นว่า เมื่อนามรูปต้องสลบไสลไปคือในเวลาที่สลบ หรือว่าแม้ในเวลาที่หลับสนิท อายตนะทั้ง ๖ คือตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจ ก็ไม่บังเกิดขึ้น คือไม่ปฏิบัติหน้าที่
แต่ว่าถึงการหลับนั้นโดยมากหลับไม่สนิท จึงมีฝัน ซึ่งก็มีอธิบายว่า กายส่วนที่เกี่ยวแก่ประสาททั้ง ๕ ข้างต้น จักขุประสาท โสตะประสาท ฆานะประสาท ชิวหาประสาท กายประสาทหลับ แต่ว่าข้อที่ ๖ คือตัวมโนทวารนี้ไม่หลับ เพราะฉะนั้นจึงฝัน ฝันถึงเรื่องนั้นถึงเรื่องนี้ โดยมากก็เป็นสิ่งที่ได้เคยเห็นมาแล้ว เคยได้ยินมาแล้ว หรือเคยคิดเคยนึกมาแล้ว เก็บมาฝัน ก็คือมโนนี่เองไม่หลับ แต่ถ้ามโนหลับก็แปลว่าหลับสนิท ไม่ฝัน ในปัจจุบันนี้ท่านก็ยังแสดงกันว่า คนเรานั้นหลับสนิทน้อย ฝันมาก แต่ว่าฝันที่จำไว้ได้ในเมื่อตื่นนั้นมีน้อย โดยมากจำไม่ได้ อันแสดงว่าหลับไม่สนิทจริงๆ
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป