แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ได้แสดงเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรในข้อสัมมาทิฏฐิมาโดยลำดับ จนถึงในข้อสุดท้ายซึ่งได้แสดงอธิบาย ข้อว่าเพราะอวิชชาเกิดขึ้นจึงเกิดอาสวะ และท่านก็ได้แสดงเหตุผลของธรรมะ ที่เป็นเหตุเกิดสืบเนื่องกันไปเหมือนดั่งลูกโซ่ โดยเฉพาะในข้อสุดท้ายนี้ เมื่อแสดงว่าเพราะอวิชชาเกิดขึ้นจึงเกิดอาสวะ และเมื่อแสดงถึงเหตุปัจจัยที่สืบกันไปเหมือนดั่งลูกโซ่ ก็แสดงต่อไปว่าเพราะอาสวะเกิดจึงเกิดอวิชชา ก็เป็นอันว่าในหมวดสุดท้ายนี้อันเป็นยอดของปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น จึงต่างเป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน อันได้แก่อวิชชาและอาสวะ หรืออาสวะและอวิชชา
เมื่อท่านแสดงถึงอวิชชา ก็จะต้องมีปัญหาว่าเพราะอะไรเกิดจึงเกิดอวิชชา ท่านจึงแสดงว่าเพราะอาสวะเกิด จึงเกิดอวิชชา และก็มีปัญหาต่อไปอีกว่า เพราะอะไรเกิดจึงเกิดอาสวะ ท่านจึงแสดงว่าเพราะอวิชชาเกิด จึงเกิดอาสวะ ก็เป็นอันว่าอาสวะกับอวิชชานี้ เป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน อันนับว่าเป็นเหตุปัจจัยสุดท้ายที่ทางพระพุทธศาสนาได้แสดงไว้ จึงไม่มีเหตุปัจจัยที่จะแสดงสืบต่อขึ้นไปอีก
และก็ได้แสดงอธิบายแล้วว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยเกิดอาสวะ หรือเพราะอวิชชาบังเกิดขึ้นจึงเกิดอาสวะ จึงจักได้แสดงในทางที่กลับกันอีกครั้งหนึ่งว่า เพราะอาสวะเกิด จึงเกิดอวิชชา หรือเพราะมีอาสวะจึงมีอวิชชาบังเกิดขึ้น ในข้อนี้ก็พึงทำความเข้าใจไว้ก่อนข้อหนึ่งว่า บรรดาเหตุปัจจัยเหล่านี้ เหตุปัจจัยที่สุดยอดคืออวิชชากับอาสวะ หรืออาสวะกับอวิชชา และเหตุปัจจัยที่สืบต่อกันไป รวมว่าทั้งหมดย่อมเป็นสิ่งที่เกิดได้ เพิ่มเติมได้ และเป็นสิ่งที่ดับได้ จิตวิมุติหลุดพ้นจากเหตุปัจจัยเหล่านี้ได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่า เหตุปัจจัยเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเนื้อแท้ของจิต
จิต กาย
เนื้อแท้หรือธรรมชาติของจิตนั้น เป็นสิ่งที่ปภัสสรคือผุดผ่อง และเป็นธาตุรู้ ที่เรียกว่าวิญญาณธาตุ ธาตุรู้ และจิตนี้ไม่มีสรีระสัณฐานเหมือนอย่างกาย แต่มีกายนี้เป็นที่อาศัย ดังที่มีพระพุทธภาษิตตรัสเอาไว้ว่า อสรีรัง ไม่มีสรีระ คือไม่มีร่างกาย ไม่ใช่วัตถุคูหาสยัง มีคูหาคือถ้ำเป็นที่อาศัย คูหาคือถ้ำนี้พระอาจารย์ได้แสดงอธิบายคลุมๆ ว่ากาย คือมีกายนี้เป็นที่อาศัย เพราะฉะนั้น ทุกคนจึงมีกายและจิตซึ่งอาศัยกันอยู่
กายนั้นเป็นวัตถุประกอบด้วยธาตุที่เป็นวัตถุทั้งหลาย ที่แสดงไว้ก็คือว่า ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ซึ่งหมายถึงว่าส่วนที่แข้นแข็งในกายนี้ ก็เรียกว่าธาตุดิน ส่วนที่เอิบอาบเหลวไหลก็เรียกว่าธาตุน้ำ ส่วนที่อบอุ่นก็เรียกว่าธาตุไฟ ส่วนที่พัดไหวก็เรียกว่าธาตุลม และในบางพระสูตรยังเติมอีกหนึ่งธาตุคือ อากาสธาตุ ช่องว่าง คือบรรดาช่องว่างทั้งหลายในกายอันนี้ก็เรียกว่า อากาสธาตุ ธาตุคือช่องว่าง เป็นธาตุ ๕ แต่โดยมากแสดงไว้เพียงธาตุ ๔ เพราะอากาสธาตุคือช่องว่างนั้นไม่ใช่วัตถุ แต่ว่าเติมขึ้นอีกก็เพราะว่าในกายนี้ เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป ย่อมมีอากาสธาตุคือช่องว่างอยู่เป็นอันมาก เช่น ช่องหู ช่องจมูก ช่องปาก และช่องเล็กๆ น้อยๆ ตลอดจนถึงทุกๆ ขุมขน
และช่องว่างเหล่านี้เองทำให้แบ่งขอบเขตุของอวัยวะร่างกายเป็นส่วนๆ ออกไปได้ เช่นว่านิ้วทั้ง ๕ ของบุคคลมีช่องว่างอยู่ในระหว่าง จึงได้แบ่งออกได้เป็น ๕ นิ้ว ถ้าไม่มีช่องว่างอยู่ในระหว่าง ก็จะต้องรวมกันเป็นพืด แบ่งออกเป็น ๕ นิ้วไม่ได้ ร่างกายเช่นแขนทั้ง ๒ ขาทั้ง ๒ และทุกส่วนก็ต้องมีช่องว่างอยู่ในระหว่างๆ ทั้งนั้น จึงแบ่งออกได้เป็นส่วนๆ ตลอดจนถึงอวัยวะภายใน เช่นเส้นเอ็น ตับ ปอด หัวใจ เป็นต้น ต่างก็มีช่องว่างในระหว่างๆ จึงทำให้แบ่งออกเป็นส่วนๆ ไปได้
และบรรดาช่องว่างในร่างกายอันนี้มีมาก จนถึงมีผู้ศึกษาวิทยาการในปัจจุบันได้แสดงว่า ร่างกายอันนี้ถ้ายุบรวมเข้า ไม่ให้มีช่องว่างเลยแม้แต่น้อย ร่างกายของทุกๆ คนที่ใหญ่โตอยู่เท่านี้ จะเหลือเล็กนิดเดียว อย่างเช่นขนาดปลายไม้ขีด มีท่านหนึ่งแสดงว่าอย่างนี้ แต่ว่าที่ใหญ่โตปรากฏเป็นอาการต่างๆ ๓๑, ๓๒ เป็นต้น ก็เพราะมีช่องว่างอยู่เป็นอันมาก เพราะฉะนั้นในบางพระสูตรจึงได้ยกขึ้นเป็นอีกธาตุอันหนึ่ง เรียกว่าอากาสธาตุ ธาตุคือช่องว่าง นี้เป็นส่วนกาย ซึ่งมีสรีระรูปร่างสัณฐานทรวดทรง
แต่ว่าจิตไม่มีสรีระสัณฐานเหมือนอย่างกาย แต่ว่ามีคูหาเป็นที่อาศัย ที่ท่านอธิบายว่าก็คือมีกายนี้เป็นที่อาศัย จึงมีปัญหาว่า ถ้าจิตไม่มีสรีระสัณฐาน มองเห็นไม่ได้ จับต้องไม่ได้ ก็รู้ได้อย่างไรว่ามีจิต ก็ตอบได้ว่ารู้ได้ที่ความรู้ เพราะจิตนี้เป็นธาตุรู้ รู้อะไรๆ ได้ หากว่าจะถามว่าจิตอยู่ที่ไหน ก็ตอบได้ว่าจิตอยู่ที่ตัวรู้ รู้อยู่ที่ไหนจิตก็อยู่ที่นั่น และจิตนี้เพราะเป็นธาตุรู้ และไม่มีสรีระสัณฐาน จึงกำหนดได้ที่ตัวรู้ หรือที่ความรู้ที่ทุกๆ คนมีอยู่ดังกล่าว และนอกจากนี้ทุกคนก็รู้จิตใจของตัวเองได้ ว่าจิตเป็นอย่างไร ตั้งต้นแต่ จิตคิดอะไร ดำริอะไร ทุกคนก็รู้จิตของตัวเอง และเมื่อจิตคิดอะไรรู้อะไรแล้ว จิตชอบอะไร ชังอะไร อยากได้อะไร ไม่อยากได้อะไร หรือว่ายินดีอะไร ยินร้ายอะไร หลงไหลอะไร ทุกคนก็รู้
ธาตุรู้
และโดยที่จิตนี้เป็นธาตุรู้ ทุกคนจึงเรียนรู้เพิ่มเติมขึ้นไปได้ ดั่งที่ทุกๆ คนเรียนกันอยู่ ตั้งต้นแต่ขั้นอนุบาล ขั้นประถม ขั้นมัธยม ขั้นอุดม ตามหลักสูตรต่างๆ แต่ว่าเมื่อเรียนรู้อะไรๆ สิ่งที่รู้นั้นก็ไม่มีสรีระสัณฐานอีกเช่นเดียวกัน จะบอกว่าความรู้ที่เรียนนั้นกว้างเท่าไรยาวเท่าไร ใหญ่เท่าไร เหมือนอย่างวัตถุ เช่นว่าตึกรามบ้านช่องใหญ่เล็ก หนึ่งชั้น สองชั้น สามชั้น กี่ห้อง อะไรเป็นต้น จะเอามาแสดงความรู้ที่เรียนหรือที่รู้ ว่ากว้างเท่านั้น ยาวเท่านี้ ใหญ่เท่านี้ หาได้ไม่ ความรู้ที่เรียนกันมาก็ไม่มีสรีระสัณฐานอีกเช่นเดียวกัน
แต่ว่าความรู้ทั้งหมดนี้ ก็เก็บอยู่ที่จิตอันนี้ และจิตอันนี้ เมื่อปฏิบัติทางสมาธิ ได้อุปจาระสมาธิ อัปปนาสมาธิ ดังเช่นพระพุทธเจ้าก่อนจะตรัสรู้ ทรงได้อัปปนาสมาธิ ก็ทรงได้ญาณคือความหยั่งรู้ระลึกชาติได้ ระลึกชาติในหนหลังได้ ว่าทรงเกิดเป็นอะไร มีชื่อ มีนามสกุลหรือโคตรอย่างไร มีสุขมีทุกข์อย่างไร เป็นต้น เป็นอันมาก อันแสดงว่า จิตนี้เป็นที่เก็บสิ่งที่ประสบพบพานไว้ทั้งหมด เก็บอยู่ในจิตที่ขอยืมคำมาพูดว่าจิตส่วนลึก หรือที่พบกันในบัดนี้เรียกกันว่าจิตใต้สำนึก เพราะฉะนั้น เมื่อทำสมาธิจนถึงได้อัปปนาสมาธิ รู้ถึงจิตใต้สำนึกหรือจิตส่วนลึกนี้ได้ สิ่งที่เก็บไว้ในจิตส่วนลึกก็ปรากฏเป็นความรู้ขึ้นมา ดังความรู้ระลึกชาติได้ของพระพุทธเจ้า
บารมี อาสวะ
และจิตนี้เอง ยังเก็บดีเก็บชั่วไว้อีกด้วย เมื่อทำดี กิริยาที่ทำนั้น ทำแล้วก็เสร็จกันไปเป็นคราวๆ แต่ว่าความดีที่ทำไว้นั้นก็ยังเก็บอยู่ในจิตส่วนลึก เรียกว่าบารมี เก็บดี ความดีที่ทำไว้นั้นไม่หายไปไหน แม้ว่ากิริยาที่ทำเสร็จไปเป็นคราวๆ แต่ว่าความดีที่ทำนั้นก็ยังเก็บไว้ในจิตส่วนลึก ทำชั่วก็เหมือนกัน เมื่อทำชั่วทางกายทางวาจาทางใจอะไรไว้ ทำไปแล้ว ความชั่วก็ยังเก็บเอาไว้ในจิตส่วนลึก ก็เป็นอาสวะดองจิตสันดาน เพราะฉะนั้นจิตนี้จึงมีทั้งส่วนดีที่เป็นบารมี ทั้งส่วนชั่วที่เรียกว่าอาสวะ พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ลึกเข้าที่จิตของพระองค์เอง จนทรงพบอาสวะจึงได้ตรัสรู้ และก็ได้ตรัสแสดงสั่งสอนเอาไว้เป็น กามาสวะ อาสวะคือกาม ภวาสวะ อาสวะคือภพ อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา (เริ่ม)…ก็เป็นอันว่า ในจิตของบุคคลทั่วไปมีกามเก็บอยู่ในจิตส่วนลึก คือความใคร่ความปรารถนาต้องการ พร้อมกับสิ่งที่ใคร่สิ่งที่ปรารถนาสิ่งที่ต้องการ มีภวาสวะอาสวะ คือภพความเป็น คือเป็นเราเป็นของเรา เป็นนั่นเป็นนี่เก็บอยู่ในจิตส่วนลึก มีอวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา ซึ่งเป็นตัวไม่รู้ อันหมายถึงว่ารู้ที่เป็นรู้หลงรู้ผิด ก็เหมือนอย่างไม่รู้ ก็คือไม่รู้ในทุกข์ ในเหตุเกิดทุกข์ ในความดับทุกข์ ในทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เป็นต้น เป็นตัวอวิชชาเก็บอยู่ในจิตส่วนลึก นี้เป็นส่วนอาสวะ
เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นอะไรทางตา ได้ยินอะไรทางหู ได้ทราบกลิ่นทราบรส ทราบโผฏฐัพพะสิ่งถูกต้องทางจมูกทางลิ้นทางกาย ได้คิดเรื่องอะไรๆ ต่างๆ ทางใจ
ตัวกามซึ่งเก็บอยู่ในจิตส่วนลึกนั้นจึงโผล่ขึ้นมา ปรากฏเป็นความรักใคร่ปรารถนาพอใจ ในรูปเสียงเป็นต้นที่ประสบพบผ่านนั้น เป็นฝ่ายราคะหรือโลภะ หรือว่าฝ่ายความยินดี แต่ว่าถ้าขัดกับกามที่เก็บไว้ในจิตใจส่วนลึกนี้ ก็เป็นปฏิฆะคือความกระทบกระทั่ง อันเป็นมูลของโกธะความโกรธ โทสะความประทุษร้ายใจ พยาบาทความมุ่งร้ายต่างๆ อันเป็นกองโทสะ
อวิชชาสวะ
และภวาสวะอาสวะคือภพ คือตัวเราของเราก็โผล่ขึ้น มาเป็นตัวเราเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นของเราในสิ่งนั้นในสิ่งนี้ อวิชชาสวะ อวิชชาคือตัวความไม่รู้ก็โผล่ขึ้นเป็นความรู้ที่รู้หลงรู้ผิด คือว่าไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นเหตุเกิดทุกข์ ไม่เห็นความดับทุกข์ ไม่เห็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ แต่เห็นตรงกันข้าม เห็นทุกข์นั้นว่าเป็นสุข เห็นเหตุเกิดทุกข์คือตัณหานั้น ว่าเป็นตัวความเพลิดเพลินยินดีสนุกสนาน ความรักใคร่พอใจ เห็นตรงกันข้ามกับอริยสัจจ์ นี้เป็นตัวอวิชชา
เพราะฉะนั้น เมื่ออาสวะโผล่ขึ้นมา เป็นกาม เป็นภพ เป็นอวิชชา ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ สิ่งถูกต้อง ในเรื่องราวที่ประสบพบผ่าน ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ อยู่เป็นปรกติ จึงเป็นอวิชชาคือตัวความไม่รู้ที่เป็นความรู้จริง แต่ว่าเป็นความรู้ความเห็นว่า น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจบ้าง ไม่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจบ้าง น่าเพลิดเพลินยินดีบ้าง เห็นทุกข์ว่าเป็นสุข เห็นสมุทัย เหตุแห่งทุกข์ คือตัณหา ว่าเป็นสิ่งที่น่าเพลิดเพลินยินดี เป็นตัวความสนุกสนาน ความติดใจยินดี จึงติดใจยินดีอยู่ในตัณหา เหตุให้เกิดทุกข์ และในตัวทุกข์ ไม่เห็นว่าเป็นทุกข์ตามที่เป็นจริง ไม่เห็นอนิจจัง ไม่เห็นทุกขัง ไม่เห็นอนัตตา
แต่เห็นว่าเที่ยง เห็นว่าเป็นสุข เห็นว่าเป็นตัวเราของเรา ความรู้ความเห็นดั่งนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิต่อองค์มรรค เป็นอวิชชาคือตัวความไม่รู้ เป็นโมหะคือความหลง เพราะฉะนั้น เมื่ออาสวะโผล่ขึ้นมาในอารมณ์ คือเรื่องทั้งหลาย ที่ประสบพบผ่านอยู่เป็นปรกติ ดั่งนี้ ความรู้ความเห็นจึงเป็นอวิชชาไปหมด ไม่เห็นอริยสัจจ์ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเอาไว้ เห็นตรงกันข้าม เพราะฉะนั้น อวิชชาจึงได้เพิ่มมากขึ้น ตกตะกอนลงในจิตส่วนลึกเพิ่มขึ้นๆ อาสวะจึงเป็นเหตุให้เกิดอวิชชาดั่งนี้ คือเมื่ออาสวะเกิดขึ้นอวิชชาก็เกิดขึ้น เป็นอันว่าอาสวะเกิดขึ้นอวิชชาก็เกิดขึ้น และก็ลงไปเพิ่มเติมอวิชชาซึ่งเป็นอวิชชาสวะ อันเป็นข้อสำคัญนั้นให้มากขึ้น
แต่ว่าเมื่อบารมีโผล่ขึ้นมาคือความดีที่ได้กระทำเอาไว้ เก็บเอาไว้ในจิตส่วนลึกโผล่ขึ้นมา ดังบุคคลที่เกิดมาเป็นมนุษย์ทุกๆ คนนี้ก็กล่าวได้ว่าบารมีให้เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็คือตัวปัญญาหรือตัววิชชานั้นเอง ซึ่งเป็นตัวความรู้ความฉลาด รู้ถูกต้อง ตั้งต้นแต่รู้จักบาปบุญคุณโทษประโยชน์มิใช่ประโยชน์ ดังที่สามัญชนรู้กันอยู่ เมื่อประสบอารมณ์ทางตาทางหูเป็นต้น บารมีโผล่ขึ้นมา ทั้งได้ฟังได้สดับคำสอน ของพระอริยะทั้งหลาย โดยตรงคือของพระพุทธเจ้าที่ตรัสสอนเอาไว้ ชี้ให้รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ รู้จักความดับทุกข์ รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ก็ปฏิบัติกำหนดพิจารณารู้ว่าสิ่งที่ตาเห็นหูได้ยินเป็นต้นเหล่านั้นเป็นตัวทุกข์ คืออนิจจะไม่เที่ยง เกิดดับ เป็นทุกข์คือต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ไม่ตั้งอยู่คงที่ บังคับไม่ได้ คือบังคับให้เป็นไปตามปรารถนาต้องการไม่ได้ เป็นอนัตตา มิใช่อัตตาตัวตน ไม่ใช่ตัวเราของเรา
มองเห็นตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยากของใจว่าเป็นตัวสมุทัย เห็นความดับตัณหาว่าเป็นตัวดับทุกข์ เห็นมรรคมีองค์ ๘ ย่นลงในศีลสมาธิปัญญา ว่าเป็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ดั่งนี้ ก็เป็นอันว่าเป็นการปฏิบัติเพิ่มวิชชา ผ่อนคลายอวิชชาให้น้อยลง วิชชาคือความรู้ก็ลงไปเพิ่มบารมีส่วนดีในจิตส่วนลึกนี้ให้มากขึ้น
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป